記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 3 มินาโตะ อาสึกะ
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 3 มินาโตะ อาสึกะ
บทที่ 3 มินาโต อาสึกะ
หลายวันหลังจากได้พบกับแฟนสาวทั้งสามคน
ผมได้ทำการตรวจสุขภาพและรับคำปรึกษาอีกหลาย ๆ อย่างจนในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาล คนที่อยู่กับผมตลอดทั้งกระบวนการนั้นก็คือเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนของผม อาสึกะนั่นเอง
คำว่าเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแฟนอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่มันก็อธิบายสถานะได้อย่างชัดเจนที่สุด
ดูเหมือนอาสึกะจะมีกุญแจสำรองบ้านของผมอยู่ด้วย เห็นว่ามีมาตั้งแต่ก่อนผมจะออกโรงพยาบาลอีก
ส่วนอีกสองคนตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เลยคิดว่าสมแล้วที่เป็นคนที่คบมานานที่สุด
….ความคิดแปลก ๆ นี่มันอะไรกัน
รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลยแฮะ ทิ้งความคิดแปลก ๆ ไปก่อนดีกว่า
พอเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่เหมือนจะเป็นบ้านผมเอง
ประตูสีน้ำตาลขอบทอง ทางเข้าก็รู้สึกว่าหรูหรากว่าแมนชั่นที่เดินผ่านมาเมื่อกี้ทำเอาผมประทับใจจนเผลอส่งเสียงออกมาเลย
[เห ที่นี่คือบ้านฉันงั้นเหรอ รู้สึกคุ้นเคยจังเลย]
[เป็นประโยคที่แปลกจังนะ]
เพื่อนสมัยเด็กของผม มินาโตะ อาสึกะที่อยู่ข้างหลังผมกล่าวพูดออกด้วยความประหลาดใจ
[ช่วยไม่ได้นี่นา นี่จริงจังนะเนี่ย]
ผมเสียบกุญแจเข้าไปที่ประตู จังหวะที่บิดรู้สึกหนักอึ้งนิดหน่อย แต่สักพักก็ได้ยินเสียงออกมา
กริ๊ก
[รบกวนด้วยคร้าบ!]
[เดี๋ยว มันรบกวนเพื่อนบ้านนะ!]
ผมเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนที่อาสึกะดุ พอเข้ามาแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้เข้ามานานแล้วชวนให้คิดถึงเหมือนกัน
เข้าไปก็เจอห้องรับแขกที่ใหญ่มาจนคิดว่าจะวิ่งเล่นได้ ที่ห้องนี้มีโต๊ะตัวยาววางอยู่กลางห้อง มีประตูสองบานเพื่อไปสู่ห้องอื่นได้ หลังใหญ่เกินกว่าจะอยู่ได้สองคนเลยมั้งเนี่ย
บ้านของผมเนี่ย อย่างกว้างเลย
[งี้นี่เอง ฉันเนี่ยค่อนข้างอู้ฟู่เลยสินะ บ้านดูใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียวด้วยสิ]
[กว้างสิ เป็นคนฟุ่มเฟือยเลยละ ขนาดว่ามีแฟนตั้งสามคน]
[มาแบบนี้ไม่รู้จะตอบยังไงดีเลยเพราะงั้นหยุดพูดแบบนั้นเถ๊อะ!]
[ล้อเล่นน่า ฉันไม่ได้คิดมากสักหน่อย]
[แต่ที่ไม่ได้คิดมากก็รู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดีละนะ…]
เสียงกระซิบของผมปลิวไปกับสายลม ตอนนี้อาสึกะกำลังเอาสัมภาระไปวางแล้วเริ่มจัดของ
พอเรียบร้อยแล้วเธอก็หันมาเรียกผม
[งั้น เดี๋ยวจะทำอะไรให้กินนะ ยูกินั่งดูทีวีรอก่อนได้เลย รีโมตน่าจะอยู่ลิ้นชักของโต๊ะนั่นแหละ]
[เอ ลิ้นชักของโต๊ะเหรอ?]
พอลองเปิดลิ้นชักดูแล้วก็เจอรีโมทอยู่จริง ๆ ด้วย
[อ๊ะ เจอแล้ว อาสึกะมาที่นี่บ่อยเหรอ]
[ก็นะ มาบ่อยจนจำตำแหน่งของได้หมดแล้วน่ะ]
[เห แสดงว่ามาบ่อยมากเลยสินะเนี่ย]
[ก็คบกันมาตั้งสองปีแล้วนี่นา]
[….นานจังเลยน้า]
[ใช่ ไม่พอใจอะไรหรือไง!]
[จะไม่พอใจได้ยังไงเล่า!]
ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธแล้วก็นึกถึงแฟนทั้งสามคนขึ้นมา ผมคิดว่าบนโลกเราคงมีคนสวยที่อยู่ในรุ่นเดียวกันแล้วก็รับเรื่องแบบนี้ได้อยู่ไม่กี่คนซึ่งนั่นก็คือทั้งสามคนนี้นี่แหละ
ผมคิดว่าการนอกใจของตัวผมคนเก่านี่เป็นสิ่งที่ควรจะถูกทัณฑ์สวรรค์มาก ๆ เพราะฉะนั้นที่ความจำเสื่อมนี่ก็คงเป็นเพราะโดนแล้วนั่นแหละ
แต่สภาวะที่รับได้กันทั้งสามคนแบบนี้เนี่ย มันเรียกว่านอกใจได้หรือเปล่าอันนี้ก็ตอบไม่ได้แฮะ
[อืม ถ้าไม่ได้ไม่พอใจก็ดีแล้ว]
อาสึกะหันมาจ้องหน้าผมจากนั้นก็กลับไปทำงานของเธอต่อ ดูเหมือนว่าจะเริ่มทำอาหารแล้วเพราะได้ยินเสียงเหล็กสะท้อนอยู่ในห้องครัว ดูท่าทางจะมาบ่อยจริง ๆ แฮะ หยิบข้าวหยิบของได้คล่องแคล่วมากเลย
[จะว่าไปแล้ว นายจำได้ไหมว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างน่ะ?]
[อา…นิดหน่อยละนะ อย่างที่อยู่รีโมตนี่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน]
[เอ- เหรอ งั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความจำเสื่อมละมั้ง]
[ก็อาจจะใช่นะ ตอนที่เข้ารับคำปรึกษาก็ถูกบอกมาว่าอาการยังคลุมเครืออยู่ด้วยสิ]
พอพูดจบผมก็เอารีโมตกลับไว้วางไว้
สิ่งที่ควรทำก่อนจะดูทีวีนั่นคือการสำรวจบ้านก่อนเผื่อว่าจะนึกอะไรได้ ผมเดินสำรวจห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ แล้วก็ห้องนอน ผมพยายามนึกเรื่องราวทุกครั้งที่สำรวจไปด้วย ผลลัพธ์ก็คือความทรงจำเกี่ยวกับในบ้านของผมเริ่มค่อย ๆ กลับมา
คุณหมอก็เคยพูดไว้ด้วยนี่ ว่าแต่ละคนก็จะมีอาการจากภาวะความจำเสื่อมที่แตกต่างกันออกไป
อย่างของผมที่ลืมความทรงจำเกี่ยวกับสัมพันธ์มนุษย์ไปนั้น พอได้มาดูสถานที่ที่เคยมีสัมพันธ์กับใครไว้แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน คิดว่าถ้าบ้านเป็นแบบนี้แปลว่าตอนไปอยู่โรงเรียนก็คงจะเหมือนกัน
ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงนึกเรื่องราวได้ในบ้านได้ ก็คงเป็นเพราะว่าคนที่จะเข้ามาในบ้านได้มีจำกัดนั่นแหละ
เพราะความทรงจำเหตุการณ์เกี่ยวกับคนที่อยู่ในบ้านนี้ไม่ได้เลย กระทั่งเรื่องครอบครัวก็ด้วย
ห้อง 2LDK เป็นที่อยู่อาศัยใหญ่เกินไปสำหรับเด็กม.ปลายคนเดียว….การที่อยู่คนเดียวได้แบบนี้ แสดงว่าสถานะทางสังคมของผมคงจะสูงไม่น้อยเลย
[เป็นแค่นักเรียนม.ปลายแท้ ๆ]
ผมเดินดูห้องไปเรื่อย ๆ พร้อมกับพึมพำออกมา ในขณะที่กำลังตำหนิตัวอยู่นั้นผมก็ได้เปิดประตูห้องสุดท้ายออก
[….นี่มัน?]
ที่เห็นคือแท่นบูชา
พอลองสำรวจดูก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ผมอยู่
…แม่ของผมเหรอ
เรื่องที่แม่ของผมเสียไปแล้วอันนี้รู้ตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วละ
ผมสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ของผมถึงไม่มาเยี่ยมกันสักทีเลยตัดสินใจไปถามอาสึกะมา
ถ้าแม่ยังมารู้สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ ต้องเป็นห่วงมากไม่ผิดแน่
[ทำอะไรอยู่เหรอ]
[อุหวา!?]
พอผมหันหลังกลับไปก็เห็นอาสึกะกำลังตกใจอยู่เหมือนกัน
[อย่าทำให้ตกใจสิ คิดว่าเป็นโยไคซะอีก!]
[หา ทำไมต้องโยไคด้วยละ!? ไม่ใช่เป็นผีหรืออย่างอื่นงั้นเรอะ!?]
พอได้ฟังผมพูดอะไรประหลาด ๆ ออกมาก็ทำให้อาสึกะใจเย็นลง
[ทำตัวไม่ดีต่อหน้าคุณแม่เลยนอะ…]
[คิดว่าไม่เป็นไรหรอก คิดว่าตอนนี้แม่คงกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ]
ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาจากใจ อาสึกะที่ได้ยินคำพูดของผมก็กระพริบตาหนึ่งที
[ก็คิดแบบนั้นอะนะ ว่ายังไงละวัตสันคุง?]
[ใครเป็นวัตสันคุงกันยะ อย่างมาเปลี่ยนเพศกันเอาเองนะ…แต่ฉันว่าคิดถูกแล้วละ คุณแม่เป็นคนใจดีมากเลยนี่นา]
[คิดถูกจริงด้วยเหรอเนี่ย]
[อื้อ ตอนที่ฉันลำบากใจ ก็ได้คุณแม่นี่แหละที่คอยสอนฉันในหลาย ๆ เรื่องเลย]
อาสึกะนั่งลงด้านหน้าแท่นบูชาพร้อมกับพนมมือขึ้น
….ตอนที่อาสึกะลำบากงั้นเหรอ
เพราะว่าเป็นสมัยเด็กกัน แม่ก็คงจะปล่อยให้ลำบากไม่ได้ละนะ
ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันก็เถอะ แต่คิดว่าต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน
ผมถามอาสึกะที่กำลังพนมมืออยู่ตรงนั้น
[นี่ พ่อของฉันเนี่ยคงเป็นพวกเย็นชาอะไรแบบนั้นใช่ไหม?]
[ทำไมคิดแบบนั้นละ?]
อาสึกะคลายมือตัวเองออกแล้วหันมาทางผม
[ก็พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ แต่กลับไม่เคยมาเยี่ยมกันที่โรงพยาบาลเลยสักครั้งนี่นา]
พ่อของผมเซนต์ร้บรองเรื่องอพาร์ทเม้นต์ไว้ให้แล้วก็ทิ้งลูกทิ้งเต้าของตัวเองไปหมกหมุ่นกับงาน
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นงานอะไร แม้แต่อาสึกะที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นว่าไม่ได้เจอผมมาสามปีแล้ว
[อา- ก็นะ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน]
[ครอบครัวแท้ ๆ เพียงคนเดียวไม่เคยติดต่อกันมาเลย จริง ๆ เลย เหมือนกับเล่นเกมโหมดยากเลยละ]
[เสียงเบาจนไม่ได้ยินอะไรแล้วนะ…]
[หัวใจของฉันกำลังร้องไห้อยู่น่ะ!]
พอผมแกล้งทำเสียงสะอื้นเหมือนร้องไห้อาสึกก็ทำเป็นเมินใส่ แอบรู้สึกว่าเย็นชาอยู่เหมือนกันนะ ผมกระแอมหนึ่งที่พร้อมกับหันไปมองที่แท่นบูชาอีกครั้งก็เจอแม่กำลังยิ้มให้อยู่ ถ้ารู้ว่าความจำเสื่อมขึ้นมาคงจะเสียใจแย่เลย ส่วนที่พ่อไม่เศร้าไม่โศกก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วละมั้ง
[การที่ไม่มีใครต้องเศร้าถือว่าเป็นเรื่องที่ดี คิดแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาแหละนะ]
แอบมีความรู้สึกว่าอยากจะมีพี่น้องอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเป็นลูกคนเดียวนั่นแหละดีแล้ว
พอได้ยินที่ผมพูดเมื่อกี้ อาสึกะก็ตอบกลับมา
[เป็นประโยคที่น่าขยะแขยงเหมือนกันนะ]
[มันน่าอายเพราะงั้นหยุดเถอะนะ!]
[แต่ก็ สมกับเป็นนายดีละนะ]
ผมกระพริบตาหนึ่งทีจากที่อาสึกะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบกว่าปกติ
จังหวะนั้นก็ได้เสียงน้ำมันและกลิ่นหอม ๆ มาจากห้องครัว
บรรยากาศการทำอาหารส่งมาถึงห้องนี้เลยแฮะ
ชวนอบอุ่นดีจัง
บรรยากาศที่ถูกแช่แข็งค่อย ๆ ได้ถูกหลอมละลายไป
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้น อาสึกะก็พูดอะไรบางอย่างออกมา
[ก่อนหน้านี้น่าจะเคยบอกไปแล้วว่าการทำความสะอาดอาจจะยากสักหน่อยเพราะมันกว้าง บางครั้งบางคราวฉันจะมาช่วยเอง เพราะจริง ๆ แล้วฉันก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลบ้านหลังนี้อยู่แล้วน่ะ]
[เป็นหน้าที่ของแฟนสาวงั้นเหรอ?]
[ใช่แล้วละ ฉันกับซากิก็แบ่งหน้าที่กันไปทำน่ะ]
อาสึกะตอบมาแบบนั้นแล้วหันมามองหน้าผม ทั้งผมสีทองนี้และดวงตาสีฟ้ากลมโตนี้
ตอนนี้ผมกำลังไล่ตามเงาของอดีตผ่านทางตัวของอาสึกะ
ชีวิตสิบหกปีที่หายไปของผม
ความหนาของความทรงจำที่สะสมมาเป็นเวลาสิบหกปีถูกทำให้กระจายหายไปในครั้งเดียว สร้างมาถึงสิบหกปีเชียวนะแต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงมันเลยสักนิด
และเพราะว่าไม่เหลืออะไรแล้ว ทำให้ผมยอมรับสถานการณ์สุดจะแปลกนี้ได้
—–ไม่สิ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับมันต่างหาก
เพราะเป็นฟองน้ำอันว่างเปล่าที่จำต้องดูดซึมทุกอย่างตรงหน้า ต้องเก็บทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่คงจะเป็นผลจากที่ความจำเสื่อมงั้นสินะ ตัวผมคนเก่าเป็นตัวตนแบบไหนผมก็ไม่รู้เลยสักนิด
[นี่]
อาสึกะเข้ามาใกล้ ๆ แล้วเอานิ้วแตะจมูกของผม
[ถึงนายจะมีเรื่องให้กังวลก็จริง แต่ถ้ามีฉันอยู่ละก็ไม่เป็นไรหรอกนะ]
[เอ่อ เปล่า…]
[ถ้ายูกิมีเรื่องอะไรฉันจะเป็นกำลังให้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม]
[เรื่องอะไรก็ตามเหรอ?]
ผมตอบกลับประโยคไปโดยไม่รู้ตัว อาสึกะก็กลับมาจ้องหน้าผม
[นี่นาย เมื่อกี้จินตนาการอะไรแปลก ๆ ใช่ไหม?]
ท่าทางคำตอบของผมจะชวนให้สับสนนิดหน่อย เพราะงั้นรอบนี้ตอบไปตามตรงดีกว่า
[อื้อ คิดสิ]
จังหวะนั้นผมก็โดนบีบจมูก ความเจ็บปวดทำให้ผมร้องออกมา
[เจ็บ!! ทำอะไรกับผู้ป่วยที่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลกันเนี่ย!?]
[หนวกหู จะตอบกลับมาแบบนั้นทำไมละยะ!เอาความเป็นห่วงของฉันคืนมาเลย!]
[ช่วยไม่ได้นี่ เป็นชายวัยหนุ่มสุขภาพดีคนไหนก็ตอบแบบนี้ทั้งนั้นแหละน่า!]
[แต่นายตอนนี้สุขภาพไม่ดีไม่ใช่หรือไง!]
[ถ้ายังบีบอยู่แบบนี้ได้เป็นแผลแน่เพราะงั้นหยุดเถอะ?!]
จากการโต้ตอบกันเมื่อกี้ทำให้ผมเข้าใจความสัมพันธ์ของอาสึกะกับผมได้มากขึ้น
เรามีความสัมพันธ์แบบที่คุยกันแบบตรงไปตรงมากได้ และผมจะต้องเจ็บตัวแบบไม่ค่อยมีเหตุผลด้วย
ต่อให้ความทรงจำที่สร้างมาอย่างยาวนานได้หายไป แต่ผมคิดว่าหัวใจของผมนั้นยังจำได้อยู่แน่นอน
ที่คิดได้แบบนี้ก็เพราะว่าเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่ตอบโต้กับฮินะน่ะนะ
[นี่ ความสัมพันธ์ของฉันกับอาสึกะนี่เบาบางไปหรือเปล่า พวกเราคบกันมาตั้งสองปีแล้ว—]
[หา เบาบาง? เป็นคำทีไม่ควรออกมาจากปากนายที่สุดเลยนะตอนนี้]
[ตัดบทกันบ่อยไปแล้ว เธอชอบตัดบทเวลาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทุกทีเลย]
วันแรกที่เราเจอกันยังมีความเกรงใจกันอยู่บ้าง แต่การเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไร
เราสามารถตอบโต้กันได้โดยไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องคำพูดมากนัก แม้ว่าความทรงจำจะหายไปแต่สัมพันธ์ที่เคยสร้างขึ้นมาก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหายไปพร้อมกันด้วย
พอได้คุยกับอาสึกะผมก็รู้สึกแบบนั้น
ผมพยายามนึกถึงเรื่องต่าง ๆ ภายในใจของผม
เพียงแต่ตอนนี้กลับรู้สึกแปลก ๆ จากภายนอกตัวผมมากกว่า
[…เหมือนได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ เลย]
[เอ๋?]
อาสึกะกระพริบตาหนึ่งครั้ง แล้วค่อย ๆ เดินออกไปตรงทางเดิน
ก็ได้เจอกับตัวการที่ทำให้รู้สึกแปลก ๆ
ห้องครัวนั่นเอง
เพราะในกระทะนั้น มีควันดำสนิทลอยออกมาอยู่
[อุหวาาาา อะไรกันเนี่ย สาเหตุคือไฟไหม้เองงั้นเรอะ!?]
[ว้าย!? ไหม้หมดแล้ว!]
อาสึกะกรีดร้องออกมาแล้วรีบวิ่งไปที่กระทะ
กลิ่นไหม้ที่อยู่ในห้องครัวยังคงวนเวียนในอาหารที่อยู่ตรงนั้น
[แย่ที่สุดเลย!] [ลืมตั้งตัวจับเวลาซะได้!] [ทั้ง ๆ ที่มันจะเป็นออมไรซ์แสนอร่อยแท้ ๆ !]
เสียงโดยวายยังคงดังขึ้นไม่หยุดระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
———ตั้งพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแล้ว
ความกังวลยังคงมีเหลืออยู่
แต่ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าคงไม่เป็นไร
แค่มีอาสึกะอยู่ข้าง ๆ กันก็พอแล้ว
และในขณะที่ผมกำลังมองเครื่องครัวที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า ผมก็ตัดสินใจได้ว่าพรุ่งนี้ผมจะทำข้าวกล่องด้วยตัวเอง
TL: 2LDK หมายถึงห้องที่มี 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องรับประทานอาหารอยู่ในตัวห้องพัก