ไหปีศาจ - ตอนที่ 314 ไม่จำเป็นต้องกลับไป
บทที่ 314 ไม่จำเป็นต้องกลับไป
บทที่ 314
ไม่จำเป็นต้องกลับไป
“เจ้าว่ายังไงนะ!” เซาฉางผู้กำลังยุ่งอยู่กับงานเทศกาลเสริมอายุยืนยาว แทบจะล้มลงทันทีหลังจากได้ยินรายงานของ เลขาเฉิน
เลขาเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านหวังฉี ขอให้ข้ามารายงานท่านว่าลั่วอู๋เป็นแขกของท่านหวังฉี และคนสนิทของท่านได้ทำให้ลั่วอู๋โกรธ และงานนี้ต้องคิดบัญชีกันภายหลังแน่ขอรับ”
“ นี่มันเรื่องบ้าอะไร!” เซาฉางโกรธมาก “ไอ้เจ้าอ้วนหวังฉีนั่น จู่ ๆ ก็มาหาเรื่องกันซะงั้น ลั่วอู๋มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นมีใครมารายงานข้าเลย”
ถ้าเขาได้รับข่าวว่าลั่วอู๋มาที่นี่ เขาพักงานไปชั่วคราวแล้วไปหาเขาในทันที
เนื่องจากการติดต่อทางธุรกิจก่อนหน้านี้ ทำให้เขาและลั่วอู๋มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ดังนั้นลั่วอู๋จึงถือเป็นแขกของเขาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าความสนใจของเขาที่มีต่อลั่วอู๋นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้
เขามีหน่วยข่าวกรองอยู่ในสำนักเฉียนหลง ทำให้ข้อมูลเขารู้เกี่ยวกับลั่วอู๋ละเอียดชัดเจนที่สุด
ลั่วอู๋ นั้นได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในรายชื่อเฉียนหลง และถูกกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจในอนาคต
บุคคลที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเช่นนี้ควรที่จะไปผูกมิตรด้วยและไม่ควรไปรุกราน
เลขาเฉินตอบไปว่า “ลั่วอู๋ นั้นเป็นเจ้าของร้านค้าที่มีชื่อว่า สำนักโล่พิทักษ์ ซึ่งในคราวนี้ท่านหวังฉีนั้นได้ทำการเชิญสำนักโล่พิทักษ์มาที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการทำสินค้าเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ”
เห็นได้ชัดว่าหวังฉี รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับธุรกิจที่สำนักเฉียนหลง เขาสนใจสำนักโล่พิทักษ์มากและไม่ใช่เพียงเพราะมิตรภาพของพวกเขา
เขาตั้งใจที่จะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ยิ่งขึ้นกับลั่วอู๋ในทางธุรกิจ
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งที่สอง เซาฉางก็เข้าใจในแผนการของหวังฉี
“อืมข้าเสียโอกาสแรกไปแล้วสินะ” เซาฉางถอนหายใจ เขายังไม่ได้รู้จักลั่วอู๋ดีพอในตอนแรก เขารู้แค่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจากตระกูลลั่ว มันจึงไม่มีความหมายสำหรับเขาที่จะลากเข้ามามีส่วนร่วมในด้านธุรกิจ
ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีผลทางธุรกิจได้ถึงขนาดนี้
“ไปเรียกตัวเจ้าโง่หลี่ มาให้ข้า” เซาฉาง อุทานอย่างเย็นชา
ไม่นานนักเลขาหลี่ก็มาถึงในสภาพที่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
เขารู้สึกวู่วาม เนื่องจากคนที่มาแจ้งบอกเขาว่าตอนนี้เซาฉางกำลังโกรธจัด
“ ท่านเซาฉาง ข้ายังต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในพิธีมอบของขวัญอยู่นะขอรับ” เลขาหลี่กระซิบ “สมบัติจากร้านค้าต่าง ๆ ต่างก็เต็มไปด้วยของหายาก”
เซาฉาง ตะคอกอย่างเย็นชา “งั้นเหรอ ? พวกมันเทียบกับหินแก่นวิญญาณได้รึเปล่าล่ะ ?”
หัวใจของเลขาหลี่สั่นสะท้าน
นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ๆ
“ ท่านเซาฉาง … ” เลขาหลี่เฉิงตื่นตกใจกลัว
เซาฉางกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าโง่ เจ้าจงไปขอโทษลั่วอู๋เดี๋ยวนี้ แล้วไปขอให้เขากลับมาซะ”
“ท่านเซาฉาง เขาเป็นแค่ตัวแทนของร้านค้าเล็ก ๆเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านหวังฉีก็เถอะ …”
เขารู้สึกว่าเซาฉางกำลังเอะอะโวยวายมากเกินไป
พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผู้บริหารลำดับเจ็ดจะต้องเสียหน้าใช่ไหมล่ะ?
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นห่วงไอ้อ้วนหวังฉีคนนั้นงั้นเหรอ?” เซาฉาง คำราม “เจ้ารู้ไหมว่าถ้าไม่ได้ลั่วอู๋ช่วยตอนนี้ข้าก็คงจะยังหาของขวัญที่องค์ชายเล็กสั่งมาไม่ได้หรอก! เขาเป็นแขกคนสำคัญของข้า นอกจากนี้ในแง่ของตัวตนและภูมิหลัง เขานั้นสูงส่งกว่าข้าหลายพันเท่า เขาเป็นถึงบุตรของตระกูลลั่วที่มีอำนาจ! เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้ามันงี่เง่าแค่ไหน?!”
หัวใจของเลขาหลี่สั่นสะท้าน
นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง
เจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ ในพื้นที่หัวมุมจะไปมีภูมิหลังสูงส่งไปได้ยังไงกัน?
ผู้มีอำนาจอย่างองค์ชายเนี่ยนะจะไม่มีอะไรไปให้เป็นของขวัญหากไม่ได้ลั่วอู๋ช่วย
เลขาหลี่ร้องโหยหวนในใจ
“เจ้ามัวยืนบื้ออะไรอยู่เล่า ข้าบอกเจ้าให้ไปตามเขาก็ไปสิ ถ้าเจ้าพาลั่วอู๋กลับมาไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้า” ใบหน้าของเซาฉางเย็นชาลง
เลขาหลี่วิ่งออกจากคฤหาสน์ชวนเทียนด้วยความกลัว เขารีบใช้หน่วยข่าวกรองของตนเองค้นหาว่าลั่วอู๋กำลังจะไปที่ไหน จากนั้นก็วิ่งไปตามตัวเขาไปอย่างบ้าคลั่ง
ลั่วอู๋กำลังเตรียมตัวกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลลั่ว
เขาต้องการให้ตวนซีได้ดูลิงเผือกของตระกูลลั่ว นอกจากนี้แล้วเขาไม่ได้ต้องการมีความสัมพันธ์อื่น ๆ กับตระกูลลั่ว ในขณะนี้
ถึงแม้ว่าสำนักโล่พิทักษ์สามารถตั้งหลักในเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาใช้อำนาจของตระกูลลั่ว แต่ลั่วอู๋ไม่ต้องการที่จะใช้วิธีแบบนั้น
สำนักโล่พิทักษ์เป็นธุรกิจของเขา ถ้าตระกูลลั่วเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคนอื่น ๆ ก็จะมองว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลั่ว
มันก็คงไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนให้ สำนักโล่พิทักษ์ เป็นส่วนหนึ่งของศาลาไป่หยู่ ไม่ใช่เหรอ?
หากเป็นแบบนั้นแล้ว ถ้าวันหนึ่งลั่วอู๋ออกไป ตระกูลลั่วก็คงจะสามารถกลืนสำนักโล่พิทักษ์ได้อย่างง่ายดาย แล้วเขาพยายามมาตลอดมันจะไปมีความหมายอะไร?
กลับกันแล้วถ้าใช้ความช่วยเหลือจากทางคฤหาสน์ชวนเทียน มันก็จะเป็นในแง่ของความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกันทางธุรกิจ และสำนักโล่พิทักษ์ก็จะยังคงรักษาความเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง
“โปรดหยุดรอก่อน!” เลขาหลี่รีบตามมาจากด้านหลังของทั้งสามคนด้วยความตื่นเต้นราวกับกำลังจะร้องไห้
อาฟู่เดินเข้ามาขวางเลขาหลี่เอาไว้แล้วพูดว่า “เลขาหลี่ ท่านไล่พวกเราออกมาแล้ว ท่านยังจะต้องการอะไรอีก ถึงได้ตามพวกเรามาที่นี่ ?”
ยังไงซะอีกฝ่ายก็มาจากคฤหาสน์ชวนเทียน อาฟูจึงไม่อยากจะทำให้เขาขุ่นเคือง เขาพยายามรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด
“อย่าเข้าใจผิดไป ข้ามาที่นี่เพื่อขอโทษ” เลขาหลี่เต็มไปด้วยความขมขื่นและความอ่อนน้อมถ่อมตน “ข้าผิดไปแล้ว โปรดอย่ารังเกียจกันเลยเจ้าของร้านลั่ว”
ใบหน้าของอาฟูมึนงงและสับสน เลขาหลี่ผู้หยิ่งผยองกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“ ไปกันเถอะ อาฟู อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” ลั่วอู๋กล่าว เบา ๆ
อาฟูพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าลั่วอู๋พร้อมที่จะจากไป เลขาหลี่ก็ลุกลี้ลุกลนและรีบวิ่งไปดักหน้า “เจ้าของร้านลั่ว ข้ามาเชิญท่านกลับไปที่คฤหาสน์ชวนเทียนในนามของท่านเซาฉาง”
“ ข้ายังไม่อยากกลับไป” ลั่วอู๋ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
เลขาหลี่ลุกลี้ลุกลน “เจ้าของร้านลั่วท่านเป็นผู้ที่สูงส่งมาก ข้าผิดไปแล้วที่ไปหาเรื่องท่าน แต่ข้าทำลงไปด้วยความไม่รู้”
“โอ้” การเดินของลั่วอู๋ช้าลงเล็กน้อย
หัวใจของเลขาหลี่มีความสุขเพราะเห็นว่าเขาเริ่มจะมีโอกาส
“มันเป็นความผิดข้าเอง ข้าไม่ควรไปหัวเราะเยาะเย้ยพวกท่านในการประชุมเสนอของขวัญ”เลขาหลี่ กล่าวด้วยความจริงใจว่า “ตราบใดที่ท่านยอมกลับไปกับข้า ท่านจะขออะไรข้าก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”
“อะไรก็ได้งั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม
เลขาหลี่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋ชี้ไปที่ทางคฤหาสน์ชวนเทียน “จงออกไปจากตรงนี้ซะ เจ้ามันทั้งเสียงดังและน่ารำคาญ”
ใบหน้าของเลขาหลี่แข็งทื่อ
“ ถ้าท่านไม่กลับไปกับข้า ข้าก็ไม่สามารถกลับไปได้เหมือนกัน” เลขาหลี่เกือบจะร้องไห้ “ท่านเซาฉางฆ่าข้าแน่”
ลั่วอู๋หยุดแล้วถาม “ถ้าข้าไม่ยอมกลับไปกับเจ้า เจ้าจะกลับไปที่คฤหาสน์ชวนเทียนไม่ได้อย่างนั้นเหรอ์”
“ใช่แล้วขอรับ” เลขาหลี่คิดว่าลั่วอู๋เป็นคนใจอ่อน
เขาไม่ได้คาดหวังว่า ลั่วอู๋ จะพยักหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วพูดออกมาแบบนี้ “คนอย่างเจ้าไม่เหมาะที่จะทำงานอยู่ในคฤหาสน์ชวนเทียน จริงๆ เจ้าทำให้คุณภาพโดยรวมของคฤหาสน์ชวนเทียนลดลง ข้าเองก็ชอบคฤหาสน์ชวนเทียน ดังนั้นข้าจะช่วยพวกเขาทำความสะอาดคฤหาสน์ชวนเทียนเอง หลี่หยินจัดการเอาเขาออกไปให้พ้นหน้าข้าสิ”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายน้อย” หลี่หยินพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
หลังจากที่ได้ฝึกฝนตามหนังสือ “ปณิธานของฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่” ความเร็วของหลี่หยินก็พัฒนาขึ้นมาก ความรู้ในหนังสือนั้นไม่เพียงเพิ่มพูนความเร็วในการตอบสนอง แต่ยังเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่อีกด้วย
นางเร็วเสียยิ่งกว่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงทั่ว ๆ ไปเสียอีก
เลขาหลี่ตกใจ
ความเร็วนี่มันอะไรกัน แม้แต่สาวใช้ของเขาก็มีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
ลั่วอู๋ คนนี้เป็นใครกันแน่ ?
หลี่หยินสยบเลขาหลี่ในชั่วพริบตา จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของลั่วอู๋ เอาอีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้ามัดเขาแล้วแขวนไว้บนต้นไม้
“นี่ไงไม่เลวใช่ไหมล่ะ ? แบบนี้ต่อให้ข้าไม่กลับไปเจ้าก็ไม่ต้องโดนต่อว่า” ลั่วอู๋ กล่าวอย่างสบาย ๆ
เลขาหลี่สั่นสะท้านไปทั้งตัวและพยายามที่จะยิ้มออกมา “เจ้าของร้านลั่วนี่มันเรื่องตลกอะไรกัน … ”
ลั่วอู๋ไม่ตอบและเบือนหน้าหนี
เขายังต้องแวะไปที่คฤหาสน์ชวนเทียนอีกแน่ ๆ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภายใต้การแนะนำของชายคนนี้
ลั่วอู๋ ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยคฤหาสน์ชวนเทียนขับไล่เลขาหลี่คนนี้ออกไป เขาคิดว่าทางคฤหาสน์ชวนเทียนเองก็คงจะไม่รังเกียจอะไรหากจะต้องไล่เลขาหลี่ออก
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาต้องกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วก่อน
“เจ้าของร้านลั่ว อย่าเพิ่งไป กลับมาก่อน” เลขาหลี่ร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสร้อย
น่าเสียดายที่ไม่มีใครให้ความสนใจกับเขา