ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-3
“เอ่อ…”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงของใครบางคนที่เรียกตนเอง เป็นหนึ่งในพยาบาลที่แอบชำเลืองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้นั่นเอง
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไรจะช่วยเซ็นลายเซ็นให้หน่อยได้ไหมคะ ฉันเป็นแฟนคลับตัวจริงของคุณเลย”
อีอูยอนที่เอียงตัวและเท้าคางอยู่แสดงสีหน้าไม่ดีออกมาครู่หนึ่ง ถ้าเป็นเวลาปกติเขาจะเซ็นลายเซ็นให้สองสามแผ่นด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้น
“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวไว้ผมเซ็นให้ทีหลังนะครับ”
แม้แต่คำตอบของเขายังไม่อ่อนโยน
“งั้นช่วยถ่ายรูป…”
“…”
โอ๊ย ไอ้เหี้ย เป็นถึงพยาบาล แต่มาพูดเรื่องพรรค์นั้นตอนนี้เนี่ยนะ
อีอูยอนจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่สักพัก สุดท้ายพยาบาลที่เดินไปเดินมาอยู่สักพักก็ทนไม่ไหวและกลับไปยังที่ของตนเอง
อีอูยอนก้มลงมองหน้าของผู้จัดการส่วนตัวที่นอนอยู่บนเตียง เขารู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นว่ามีแผลอยู่ทั่วสันจมูกและแก้มของอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกแปลกในตอนที่ได้ยินคนอื่นเล่าเรื่องของผู้จัดการส่วนตัวที่กระโดดลงไปในทะเลสาบที่เย็นเป็นน้ำแข็งเพื่อช่วยชีวิตของตนไว้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจการเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเชื่ออีกว่าชเวอินซอบเกลียดตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะจับตามองอินซอบอยู่ข้างๆ เพราะรู้สึกแปลกๆ กับการกระทำที่ขัดแย้งกันของอีกฝ่าย
แต่แล้ววันนี้ก็เกิดเหตุการณ์ที่อีอูยอนไม่เข้าใจอีกจนได้ เกิดอุบัติเหตุสายบังเหียนถูกตัดในฉากที่เขาจะต้องขี่ม้าและล้มลงเมื่อผู้กำกับให้สัญญาณ อีอูยอนสูญเสียการทรงตัวทันทีที่สายบังเหียนขาดก่อนที่ขาของม้าจะทันได้แตะพื้น ทันทีที่อีอูยอนร่วงลงบนพื้น คนที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงกรีดร้อง
ม้าเองก็เริ่มเตลิดตั้งแต่ตอนนั้น แม้จะได้รับการฝึกมาดีแค่ไหน แต่โดยพื้นฐานแล้วม้าก็ยังเป็นสัตว์ที่ขี้กลัว ซ้ำร้ายม้าของอีอูยอนยังตื่นตกใจและเริ่มดิ้น เพราะม้าของคังยองโมที่ตามหลังมาไม่ยอมลดความเร็วลงเลยและโฉบผ่านหน้าไป
เท้าของอีอูยอนติดอยู่ในโกลน[1] และเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ รองเท้าที่มีผ้าพันไว้ตรงข้อเท้าและช่วยล็อกเท้าของเขาไว้เพื่อที่จะทำให้เขาสามารถขี่ม้าได้อย่างมั่นคงกลับไม่ช่วยอะไร แม้เขาจะเพิ่มแรงลงไปมากแค่ไหน เท้าของเขาก็ไม่ยอมหลุดออกมา ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามวิ่งเข้ามา เนื่องจากม้าตกใจมาก ตอนที่อีอูยอนพยายามเกร็งตัวและดึงเท้าออกมา เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงบริเวณกล้ามเนื้อตรงไหล่ เขาไม่สามารถขยับได้อย่างที่ตั้งใจ เพราะไหล่ของเขากระแทกลงมาก่อน และคงหลุดในตอนที่ตกจากหลังม้า
ตอนนั้นเองอีอูยอนก็เห็นใบหน้าซีดเผือดของชเวอินซอบที่วิ่งมาทางตนเอง อีอูยอนมองชเวอินซอบที่หวาดกลัวเหมือนจะเอื้อมมือไปที่โกลนที่ติดอยู่กับม้าที่กำลังดีดตัวพร้อมกับคิด
จะช่วยชีวิตฉันในขณะที่ตัวสั่นเทาขนาดนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้เหรอ ด้วยใบหน้าที่หวาดกลัวขนาดนั้นเนี่ยนะ คิดจะช่วยฉันด้วยสภาพที่น่าสงสารและน่าสมเพชสุดนั่นน่ะเหรอ
‘ไป!’
อีอูยอนตะโกนออกไปอย่างนั้น แต่อินซอบกลับใช้มือที่สั่นเทาจับโกลนไว้และดึงเท้าของอีอูยอนออกมาได้ในท้ายที่สุด แต่ม้าที่หวาดกลัวและตื่นตกใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับตั้งแต่ตอนที่อินซอบเดินเข้ามาก็สะบัดขาหน้าไปทางอีอูยอนและพุ่งตัวไปข้างหน้า อีอูยอนหลับตาและก้มหน้าลง แต่สิ่งที่ตะครุบเขาไว้กลับไม่ใช่ขาหน้าของม้า แต่เป็นร่างกายผอมแห้งของชเวอินซอบ เขารู้สึกถึงน้ำหนักที่หนักพร้อมกับเสียงดัง ปัก ที่ดังอย่างต่อเนื่อง เขาได้ยินเสียงร้องของอินซอบ และอีอูยอนก็กลิ้งตัวไปด้านข้างได้อย่างหวุดหวิดในขณะที่เอื้อมมือออกไปดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอด
คนเลี้ยงม้าที่ได้ยินข่าวก็วิ่งมาหาเพื่อทำให้เหตุการณ์สงบลง แต่ม้ากลับไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้และดีดตัวอยู่อีกพักหนึ่งอย่างน่าประหลาด อีอูยอนมองสตาฟสองสามคนวิ่งเข้ามาและลากม้าออกไปได้อย่างยากลำบาก หลังจากนั้นเขาก็หันมาดูชเวอินซอบที่อยู่ใต้ร่างของตน
“เป็นอะไรไหมครับ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
อินซอบที่หวาดกลัวตัวสั่นทึมในขณะที่หมอบตัวไว้ และไม่สามารถตอบอะไรออกมาได้ อีกฝ่ายมีสภาพที่น่าสงสารและน่าเวทนามากเสียจนยากที่จะทนดู อีอูยอนระงับความโกรธที่อยากจะถามว่า ‘ถ้าจะเป็นแบบนี้แล้วจะเข้ามาสอดทำไม’ เอาไว้พร้อมกับดึงไหล่ของอินซอบเข้ามากอด ทันทีที่เขากอดอีกฝ่ายเอาไว้และพยายามจะลุกขึ้น อินซอบก็กรีดร้องพร้อมกับมีน้ำตาไหลลงมา ทันใดนั้นไฟก็ลุกโชนขึ้นในหัวของอีอูยอนที่เห็นว่านิ้วมือสองนิ้วของอินซอบบิดเบี้ยวเป็นรูปร่างประหลาดๆ
อีอูยอนตะโกนบอกให้สตาฟเตรียมรถและหาโรงพยาบาลใกล้ๆ แม้เขาจะคิดว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่ไม่เป็นตัวเองเลย แต่ตอนนั้นเขาไม่สามารถข่มความโกรธเอาไว้ได้ ไม่สิ เขาไม่แม้แต่จะคิดแบบนั้นด้วยซ้ำ เขาคิดแค่ว่าต้องย้ายชเวอินซอบที่กำลังร้องไห้และตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
‘ไม่เป็นไรนะครับ คุณไม่ต้องกังวลนะ คุณจะไม่เป็นอะไร’
อีอูยอนช่วยเอาผ้าห่มมาห่มให้อินซอบพร้อมกับพูดแบบนั้น แม้อินซอบจะยังน้ำตาร่วง แต่เขาก็พยักหน้าเบาๆ เพราะเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
ผู้กำกับวิ่งเข้ามาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า อีอูยอนตอบว่าน่าจะต้องเลื่อนวันถ่ายทำออกไปก่อน เพราะน่าจะต้องไปโรงพยาบาลก่อนจะขึ้นรถออกไป
แม้จะขึ้นรถไปแล้วเขาก็ยังปลอบอินซอบที่กำลังร้องไห้พร้อมกับคิดว่าทำไมตนถึงโมโหขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถตอบได้ว่าทำไม สุดท้ายทันทีที่อินซอบอ้วกและหมดสติไป อีอูยอนก็ขึ้นเสียงใส่สตาฟที่รอสัญญาณไฟจราจรอยู่ว่า ‘ทำอะไรอยู่กันแน่’
แม้แต่คนที่แบกชเวอินซอบขึ้นหลังเข้าไปในห้องฉุกเฉินก็ยังเป็นอีอูยอน ทั้งหมอ พยาบาล และคนไข้ต่างรู้สึกตกใจทันทีที่อีอูยอนปรากฏตัวในห้องฉุกเฉินอย่างกะทันหัน
แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่อยู่ในสายตาของอีอูยอนเลย เขากอดอกและยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ชเวอินซอบจนกระทั่งได้ยินหมออธิบายว่าอินซอบไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกไปจากกระดูกหัก และเขาหมดสติไปเพราะตกใจมากเท่านั้น
อีอูยอนที่แน่ใจกับความจริงที่ว่าอินซอบกำลังหลับอยู่แล้วก็หันไปบอกกับสตาฟที่ตามมาโรงพยาบาลด้วยกันอย่างสุขุมว่าให้กลับไปก่อนก็ได้ เพราะเดี๋ยวตนจะเป็นฝ่ายอยู่ที่นี่เอง ตอนที่ผู้กำกับโทรศัพท์มาเขาก็บอกให้ผู้กำกับไม่ต้องกังวล เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจริงๆ
ตอนนั้นเองคังยองโมก็โทรศัพท์มาหา
[บาดเจ็บขนาดนั้นจะทำยังไงล่ะ แล้วผู้จัดการส่วนตัวเป็นอะไรหรือเปล่า โชคร้ายสุดๆ เลยเนอะ ทำไมต้องมาเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ถ้าหากนายต้องการถอนตัวออกตอนนี้ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่รีบๆ หายก็ดี เพราะคนอื่นเขาเป็นห่วง ไว้เจอกันที่กองถ่ายนะ]
อีอูยอนตอบกลับไปสั้นๆ ว่า ‘ไม่ต้องกังวลหรอกครับ’ และวางสายไป ทันทีที่เขานึกถึงใบหน้าของคังยองโมที่เฉียดหน้าตัวเองไปอย่างหวุดหวิดราวกับจงใจทำแบบนั้น คำด่าทอต่างๆ ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
อีอูยอนโทรศัพท์ไปบอกให้กรรมการผู้จัดการคิมมาที่นี่ทันที อีอูยอนเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินหลังจากที่โทรศัพท์เสร็จ และนั่งข้างเตียงที่อินซอบกำลังนอนอยู่
อินซอบกำลังหลับพร้อมให้น้ำเกลือที่ผสมยาระงับประสาทและยาแก้ปวด เขาไม่ตื่นขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียว ไอ้นี่มันยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม อีอูยอนคิดพลางเอามือไปอังไว้ที่ใต้จมูกของอินซอบ
กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชากระหืดกระหอบเข้ามาในห้องฉุกเฉินหลังจากนั้นสองสามชั่วโมง
“กำลังหาคนไข้อีอูยอนอยู่เหรอคะ”
“คุณอีอูยอนอยู่ตรงนั้นค่ะ…”
พยาบาลชี้ไปที่ผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงตรงมุมห้อง
“อูยอน! เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมเดินมาหาเขาและเอ่ยถาม
“เขามีปัญหามากกว่าผมอีกครับ”
อีอูยอนชำเลืองไปทางผู้จัดการส่วนตัวที่นอนอยู่บนเตียงพลางตอบกลับ
“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง อินซอบเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บมากไหม แล้วนั่นอะไรน่ะ กระดูกหักเหรอ”
เนื่องจากกรรมการผู้จัดการคิมถามไม่ยอมหยุด สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับคำเตือนจากพยาบาลว่าคนเฝ้าไข้สามารถอยู่ได้แค่คนเดียวเท่านั้น
“ออกไปแล้วเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ”
“เดี๋ยวผมอยู่ที่นี่เองครับ”
หัวหน้าทีมชาลากเก้าอี้มานั่งพลางเอ่ยพูด อีอูยอนเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับกรรมการผู้จัดการคิมและเดินไปตรงที่ที่ไม่ค่อยมีคนในส่วนด้านในของโรงพยาบาล
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกันแน่”
“ตกลงมาในตอนที่มีฉากขี่ม้าครับ”
“ใคร? อินซอบเหรอ”
“เปล่าครับ ผมเอง”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมมองหน้าอีอูยอนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากอีอูยอนที่เขารู้จักมีประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ดีมากถึงขนาดถูกเรียกว่าเป็นนักกีฬาที่เก่งรอบด้าน
“บังเหียนข้างหนึ่งหลุดเพราะมาติงเกล[2] หลวมน่ะครับ แล้วจู่ๆ ม้าก็ดีดตัวอย่างกับเป็นบ้า แม่งเอ๊ย นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย”
แค่นึกถึงเหตุการณ์นั้นความโมโหของอีอูยอนก็พุ่งขึ้นมาจนเขาถึงกับพ่นคำด่าที่เจือความรำคาญออกมา กรรมการผู้จัดการคิมรีบหันไปมองรอบๆ พร้อมกับทำมือสั่งให้เขาพูดเบาๆ ไม่บ่อยนักที่อีอูยอนจะแสดงความรู้สึกในแง่ลบออกมาตรงๆ ด้วยวิธีแบบนี้
“แล้วทำไมอินซอบถึงบาดเจ็บล่ะ”
“เพราะผมหัวทิ่มลงมา เท้าของผมเลยติดอยู่กับโกลนและถูกลากไปเรื่อยๆ ครับ”
“…”
ตอนนั้นเองกรรมการผู้จัดการคิมถึงได้เห็นว่าบริเวณไหล่กับหลังของอีอูยอนเปื้อนโคลน ก่อนที่เขาจะทันได้ตกใจกับความจริงที่ว่าอีอูยอนผู้มีนิสัยรักสะอาดยังปล่อยสิ่งนั้นไว้แบบนั้น อีอูยอนก็เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจขึ้นไปอีกออกมา
“แล้วตอนนี้ไอ้โง่นั่นก็อยู่มาอยู่ในสภาพนี้เพราะวิ่งเข้ามาช่วยผมครับ”
“อะไรกัน เรียกผู้จัดการส่วนตัวว่าไอ้โง่เนี่ย”
“ต้องแก้ให้ถูกสินะครับ ผู้จัดการส่วนตัวที่โง่เง่า”
“…ว่าแต่อินซอบกระโดดเข้าไปช่วยนายเหรอ อีกแล้วเหรอ”
“ครับ”
อีอูยอนเดาะลิ้นเหมือนกับไม่พอใจในขณะที่ตอบ กรรมการผู้จัดการคิมมองภาพของอีกฝ่ายที่เสียสติสัมปชัญญะและโมโหอย่างไม่ใช่ตัวเองพลางขมวดคิ้ว
“ถึงแม้นายจะซ่อนมันได้อย่างดีมาตลอด แต่ฉันก็คิดว่าต้องมีสักช่วงที่นิสัยเน่าเฟะนั่นเปิดเผยออกมา ยิ่งพอเห็นนายช่วงนี้แล้วฉันก็ยิ่งคิดแบบนั้น”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะต่อให้โดนเปิดเผย มันก็น่าจะถูกเปิดเผยหลังจากที่จดหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมเบี่ยงประเด็นหลังจากกระแอมอยู่ครั้งสองครั้ง เพราะเขารู้สึกว่าถูกอ่านความคิดภายในหัว
“ถึงการพูดเรื่องแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้มันจะดูเกินไปหน่อย แต่ว่า…ไล่อินซอบออกดีไหม”
“ครับ?”
“อืม แม้ฉันจะพูดเรื่องนี้กับหัวหน้าทีมชาไปแล้วเมื่อกี้ก็เถอะ เด็กนั่นน่ะเป็นเด็กดีนะ แต่เหมือนจะทำให้เกิดเรื่องโชคร้ายกับอุบัติเหตุอยู่เรื่อยเลย”
เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ท้ายประโยคของเขาเลือนรางขึ้นเรื่อยๆ เพราะอีอูยอนมองตนด้วยสายตาเยือกเย็น
“ว้าว ถึงกรรมการผู้จัดการจะไม่ได้ดูเป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นคนที่ชั่วร้ายจริงๆ นะครับเนี่ย”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับทำตายิ้มไปด้วย
“ว่าไงนะ”
“พูดแบบนั้นออกมาในตอนที่เขายังนอนอยู่แบบนั้นน่ะเหรอครับ”
“เปล่านะ ที่ฉันจะพูดก็คือ…”
“เป็นคนชั่วร้ายจริงๆ นะครับ ชั่วร้ายมาก”
เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น อีอูยอนยิ้มในขณะที่วิจารณ์กรรมการผู้จัดการคิมอย่างรุนแรงไปด้วย
“คุณพูดว่าจะไล่อินซอบซึ่งเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตของผมออกได้ยังไงครับ บอกว่าโชคร้ายเหรอครับ คนที่โชคร้ายไม่ใช่คุณชเวอินซอบเหรอครับ เขาก้าวข้ามจุดวิกฤตระหว่างความเป็นกับความตายเพราะผมมาตั้งสองครั้งแล้วนะครับ”
อีอูยอนที่เพิ่งเรียกผู้จัดการส่วนตัวที่กระโดดเข้ามาช่วยตนเองว่าคนโง่เมื่อสักครู่นี้กัดฟันกรอดและติเตียนกรรมการผู้จัดการคิม
“เฮ้ย ไอ้นี่นิ ฉันรู้แล้ว ก็แค่ลองพูดสักครั้งเท่านั้นเอง”
“ถ้าคุณจะไล่เขาออกก็ต้องไล่ผมออกด้วยสิครับ เพราะช่วงนี้ผมโชคร้ายจริงๆ ไม่ใช่เหรอครับ”
“นี่อีอูยอนทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ การไล่ชเวอินซอบออกเป็นเรื่องที่นายจะต้องโมโหขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ หา? นี่มันไม่ใช่ตัวนายเลย”
ทันทีที่กรรมการผู้จัดการคิมทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยถาม อีอูยอนก็ฉีกยิ้มสวยและตอบด้วยน้ำเสียงที่หวานเหมือนกับสารภาพรัก
“เพราะตอนนี้ผมอารมณ์เสียครับ”
[1] โกลน ห่วงที่ห้อยลงมาจากอานม้าทั้งสองด้านสำหรับสอดเท้าเวลาขึ้นม้าหรือขี่ม้า
[2] มาติงเกล สายที่คล้องระหว่างบังเหียนกับอุปกรณ์ที่ใส่ไว้ตรงหน้าของม้าเพื่อควบคุมม้า