และแล้วบาดแผลจะลบเลือน - ตอนที่ 5 เด็กสาวกับกรรไกรตัดผ้า
ที่ที่ผมได้กินมื้อแรกในรอบยี่สิบชั่วโมงคือร้านอาหารข้างนอก ก่อนหน้านั้นผมลืมความหิวของตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ จนได้กลิ่นอาหารโชยออกมานั่นแหละถึงได้นึกอยากอาหารขึ้นมา
พอสั่งชุดแพนเค้กยามเช้าสองที่แล้วผมก็จิบกาแฟพลางถาม
“จากพ่อเธอ แล้วก็พี่สาว งั้นที่จะแก้แค้นคนต่อไปคือแม่หรือเปล่า”
เด็กสาวส่ายหน้าช้า ๆ คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้หลับถึงได้หาวอยู่บ่อย ๆ วันนี้ผมให้เธอใส่เสื้อแจ็กเก็ตผ้าไนลอนเพื่อปกปิดคราบเลือดบนเสื้อของเธออย่างเมื่อคืน
“ไม่ค่ะ มีแค่แม่ที่ไม่ได้ทำอะไรฉัน แต่ก็ไม่ได้เป็นคนใจดีอะไรน่ะนะคะ ฉันจะปล่อย ๆ เธอไปก่อน”
ร้านอาหารในยามเช้าตรู่อย่างนี้คนดูโหรงเหรง ส่วนมากเป็นพนักงานบริษัทในชุดสูท โต๊ะถัดจากผมเป็นคู่หญิงชายวัยประมาณมหาวิทยาลัยนอนฟุบโต๊ะอยู่ ซึ่งคงจะอยู่มาตั้งแต่กลางดึกแล้ว ที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ มีก้นบุหรี่กองอยู่
เป็นภาพที่ชวนให้คิดถึงเหลือเกิน ไม่กี่เดือนก่อนผมก็มักจะมาผลาญเวลาอันมีค่ากับชินโดที่ร้านอาหารในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่พวกผมคุยกันตอนนั้นผมจำไม่ได้เสียแล้ว
“รายต่อไปจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าของฉันค่ะ” เธอว่าต่อ “อาจจะไม่ต้องไปไกลแบบเมื่อวาน”
“เพื่อนร่วมชั้นเก่าเหรอ ชายหรือหญิงล่ะ”
“หญิงค่ะ”
“แล้วทำให้เธอเป็นแผลเป็นด้วยใช่มั้ย”
เธอลุกขึ้นแล้วมานั่งข้าง ๆ ผม จากนั้นถกกระโปรงขึ้นให้เห็นต้นขาข้างซ้าย จากนั้นรอยแผลเป็นก็โผล่ขึ้นมา ความยาวประมาณเจ็ดเซนติเมตร กว้างอีกหนึ่งเซนติเมตร แค่เห็นสีของแผลที่ขัดกับสีขาวของขาเธอก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว
“พอ ๆ เอากลับไปซ่อนเหมือนเดิมได้เลย”
ผมเกรงว่าคนรอบข้างจะมองไม่ดีนัก กลัวว่าจะถูกมองว่าเธอแค่อยากให้ผมดูต้นขาของเธอ ต่อให้เจ้าตัวจะไม่ทันได้คิดอย่างนั้นก็ตาม
“ตอนนั้นเธอผลักฉันให้ตกท่อระบายน้ำ แล้วเอาเศษกระจกมากรีดค่ะ” เธอเล่าเอื่อย ๆ “แต่ปกติเธอไม่ได้ทำร้ายร่างกายนะคะ จะเป็นการทำร้ายจิตใจเสียมากกว่า เธอเป็นคนฉลาดค่ะ เก่งเรื่องการใช้ ‘ความอับอาย’ มาต้อนคนให้จนมุม”
งั้นเองหรอกหรือ ผมรู้สึกทึ่ง การกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นในช่วงการศึกษาภาคบังคับส่วนมากมักใช้ความคิดที่ว่า ‘จะทำให้อับอายได้แค่ไหน’ พวกเขาเหล่านั้นรู้ดีว่าจะต้องใช้วิธีแบบไหนที่จะทำให้ใจของคน ๆ หนึ่งแหลกสลายได้ง่ายที่สุด
ช่วงเวลาที่มนุษย์จะอ่อนแอที่สุดคือตอนที่พวกเขาเริ่มชิงชังตัวเอง ความอับอายจะทำให้ความชิงชังนั้นไปลงกับตัวคนที่ถูกรังแกเสียเองก่อนที่ทันจะได้ไปลงกับคนรังแก ส่วนคนที่ถูกทำให้อับอายจนถึงที่สุดนั้นจะรู้สึกว่าปกป้องตัวเองไม่ได้อีกต่อไป และต่อต้านอะไรไม่ได้แล้วทั้งสิ้น
“…ตอนที่ฉันเข้าเรียนตอน ม. ต้น แรก ๆ พวกชื่อเสียของโรงเรียนก็กลัวฉันกันค่ะ” เธอเล่าต่อ “พี่ฉันตอนนั้นรู้จักกับคนที่นิสัยไม่ดีเยอะ พวกเพื่อนร่วมชั้นฉันก็เลยกลัวว่าถ้าฉันเป็นอะไรไป พี่สาวฉันจะตามมาเล่นงานแน่ แต่ความเข้าใจผิดที่ว่าก็อยู่ไม่นานค่ะ มีเพื่อนร่วมชั้นคนนึงที่อยู่แถวบ้านฉันไปเล่าต่อกันว่า ‘พี่ของยัยนั่นท่าจะเกลียดมัน เห็นลากไปตบตีตลอด’ พวกชื่อเสียของโรงเรียนที่เคยกลัวฉันก็เลยมารุมฉันอย่างกับว่าจะระบายความแค้นใจที่มีอยู่เลยค่ะ”
เด็กสาวเล่าราวกับเรื่องนั้นผ่านมาสักสิบยี่สิบปีได้จนทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องราวในอดีตที่เธอก้าวข้ามผ่านมันมาแล้ว
“ฉันก็ทนเพราะคิดว่าพอย้ายโรงเรียนแล้วคงจะดีขึ้น แต่ฉันก็เข้าเรียนได้แค่ที่โรงเรียน ม. ปลาย ละแวกบ้าน ซึ่งหลาย ๆ คนที่เคยเรียนด้วยกันสมัย ม. ต้น ก็มาเข้าด้วย สุดท้ายสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ไม่สิ หนักกว่าเก่าอีกค่ะ”
“แล้ว” ผมแทรกให้เรื่องราวตัดจบตรงนั้น ผมไม่อยากฟังเรื่องทำนองนั้นให้ยืดยาว และคิดว่าเธอก็คงไม่ได้รู้สึกดีนักที่จะเล่า “รอบนี้ก็จะฆ่าน่ะเหรอ”
“…ค่ะ แหงสิคะ”
พูดจบเธอก็ลุกกลับไปนั่งกินต่อที่เดิม
“แล้วก็” เธอพูดอีก “เมื่อวานฉันแค่ตกใจนิดหน่อยเองนะคะ”
คงจะหมายถึงที่เข่าอ่อนไปเมื่อวาน แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรักษาหน้าอะไรขนาดนั้นกับมนุษย์ที่เกินเยียวยาแบบผม
“ไม่ได้กลัวการฆ่าคนหรืออะไรเลยนะคะ”
เธอพูดเหมือนไม่พอใจนัก หรือไม่ก็คงเป็นการรักษาหน้ากับตัวเองเสียมากกว่า ใจของเธอคงยังไม่สงบจากเหตุการณ์เมื่อวาน จึงพยายามบอกตัวเองว่าเหตุการณ์เมื่อวานนั้นเป็นเหมือนอุบัติเหตุเท่านั้น
“จะว่าไป ดูจากเมื่อวานแล้ว ผมว่า” ผมเปรย “ในเมื่ออาจจะได้คราบเลือดมาอีก เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนดีมั้ย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจน่า เอาเงินผมไปซื้อเสื้อผ้าที่เธออยากได้ก็ได้ คราบเลือดบนเสื้อมันก็ใช่ว่าจะหายไปหรอก”
“ก็บอกว่าไม่เอาไงคะ” เธอส่ายหน้าดูรำคาญ
“ไม่ใช่แค่เรื่องเลือดน่ะสิ ในเมื่อเธอไปฆ่าทั้งพ่อกับพี่สาวอย่างนั้น ป่านนี้คงมีคนออกตามหาตัวเธอแล้ว แล้วอีกอย่าง ใส่ชุดนักเรียนไปไหนมาไหนตอนกลางวันแสก ๆ มันเตะตาจะตาย พลังการ ‘เลื่อนเวลา’ ของเธอก็ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น ถ้าเป็นเรื่องยิบ ๆ ย่อย ๆ ก็จะใช้ไม่ค่อยได้ใช่มั้ยล่ะ
“ก็แค่อยากจะเลี่ยงปัญหาอะไร ๆ ที่มันจะตามมานั่นแหละ”
“…ก็ฟังดูมีเหตุผลดีนะคะ” เธอยอมรับจนได้ “งั้นซื้อให้สักสองสามตัวได้มั้ยคะ”
“ย่อมได้ แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเสื้อผ้าผู้หญิงเท่าไหร่ คงต้องให้เธอไปด้วยแล้วละ”
“ก็คงต้องเป็นงั้นละนะคะ”
เธอวางส้อมลงบนจานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
น้ำที่ขังในแอ่งบนทางเท้าสะท้อนท้องฟ้าสีฟ้าหม่นกับเงาต้นไม้โรยราสีดำทะมึน ใบเมเปิลที่ตกตามทางเดินเมื่อมองจากข้างบนแล้วดูคล้ายรูปดาวที่เด็กอนุบาลวาดด้วยสีเทียน ส่วนใบที่ร่วงลงในน้ำพุที่ลานกลางแจ้งนั้นก็กระเพื่อมตามผิวน้ำที่ขยับ
เมื่อมาถึงห้างฯ ที่ใกล้ที่สุดแล้วผมก็ปล่อยให้เธอเลือกชุดตามใจชอบ แต่เธอก็ยังเดินลังเลใจอยู่หลายร้าน หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่เธอก็เลือกร้านขายเสื้อผ้าสำหรับวัยรุ่นและก้าวเท้าเข้าไปในร้าน แต่ก็ยังใช้เวลาอยู่อีกนาน
พอวนรอบร้านอยู่ห้ารอบ เด็กสาวก็หยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินดูเรียบ ๆ กับกระโปรงสีน้ำตาลคาราเมลมาแล้วถามว่า
“อันนี้แปลกไปมั้ยคะ”
“ก็เหมาะดีออก” ผมตอบไปตามที่คิด
เธอจ้องเข้ามาในตาผม
“โกหกสินะคะ ฉันหยิบอะไรมาคุณก็ว่าตามหมดแหละ”
“ไม่ได้โกหกนะ คนเราอยากใส่อะไรก็ใส่ไปเถอะ ตราบใดที่มันไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนน่ะ”
“ค่ะ คุณคนไร้ประโยชน์” เธอว่า และผมก็ได้ชื่อเล่นอันทรงเกลียดเพิ่มมาอีกหนึ่ง
เธอลองเทียบเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจกแล้วก็เอาไปเก็บที่เดิม และเริ่มเดินวนรอบร้านอีกครั้ง
มีพนักงานร้านผู้หญิงขายาว ๆ ที่แต่งตัวแบบหมิ่นเหม่จะเป็นคนขายบริการได้อยู่แล้วคนหนึ่งเข้ามาถามว่า “น้องสาวเหรอคะ” แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คงเห็นตอนที่กัดกันแล้วดูเหมือนพี่น้องละมั้ง
ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ต่างบอกความจริง จึงตอบไปว่า “ใช่ครับ”
“พาออกมาซื้อของแบบนี้ เป็นพี่ชายที่ใจดีจังนะคะ”
“แต่ไม่รู้ว่ารายนั้นจะคิดงั้นหรือเปล่านะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีน้องสาวคุณอาจจะนึกขอบคุณคุณขึ้นมาก็ได้ เพราะฉันก็เป็นเหมือนกัน”
“หวังว่านะครับ” ผมฝืนยิ้มแกน ๆ “แล้วก็ รบกวนไปช่วยเธอเลือกเสื้อผ้าให้หน่อยได้ไหมครับ เห็นลังเลอยู่นานแล้ว”
“ได้เลยค่ะ”
แต่เด็กสาวก็หนีออกไปจากร้านทันทีที่รู้สึกตัวว่าพนักงานคนนั้นกำลังไปหา ผมรีบเดินตามเธอไป เธอพูดเสียงหอบว่า
“เสื้อผ้าไม่ต้องแล้วค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ผมไม่ได้ถามเหตุผล แต่ก็พอจะอนุมานได้
อาจจะเป็นเพราะตอนที่อยู่กับครอบครัวเธอคงไม่ได้มีโอกาสเลือกซื้อเสื้อผ้ามากนัก พอได้มาซื้อเป็นครั้งแรกจึงยังพะวักพะวนอยู่
“เดี๋ยวจะไปซื้ออะไรหน่อย ไม่ต้องตามมานะคะ”
“ได้ จะเอาเงินเท่าไหร่ดี”
“จ่ายเองได้ค่ะ คุณไปรอที่รถได้เลย ไม่น่านานเท่าไหร่”
ผมกลับไปที่ร้านเดิมหลังจากเธอเดินไปแล้ว “เลือกชุดที่ดูเหมาะ ๆ กับเธอคนเมื่อกี้หน่อยได้ไหมครับ” ผมบอกกับพนักงานคนเดิมและเธอก็เลือกให้อย่างชำนิชำนาญ ทั้งยังขอให้เอาป้ายราคาออกด้วย เผื่อมีเหตุอะไรจะได้ใช้ทันที จากนั้นผมก็ไปซื้อเสื้อจากอีกร้านที่อยู่ข้าง ๆ โดยเลือกทรงที่คล้าย ๆ ตัวเปื้อนเลือดตัวนั้นเผื่อไว้ เพราะเห็นว่าเธอคงจะชอบใส่เสื้อนักเรียนมากกว่า
พอกลับมาที่รถของผมที่จอดไว้ชั้นใต้ดินแล้วผมก็ยัดถุงข้าวของที่ซื้อมาไว้ที่เบาะหลังและมานั่งยืดเส้นยืดสายพลางผิวปากรอเด็กสาว ท่าทีของผมดูเหมือนคนเดินห้างฯ ทั่ว ๆ ไป — ไม่เหมือนว่ากำลังเตรียมการไปฆ่าคนอยู่
ผมมานั่งคิดเรื่องที่จะเกิดหลังจากที่การ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดลง เธอก็คงจะตาย การแก้แค้นของเธอก็จะสูญเปล่า แต่ผมก็จะกลายเป็นคนขับรถชนเธออีก ซึ่งก็คงจะโดนจับข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนั้นผมก็นึกไม่ค่อยออกแล้ว แต่ก็คงจะโดนจับไปขังที่คุกสำหรับผู้กระทำความผิดบนท้องถนน และอาจต้องอยู่ในนั้นสักสองสามปีหรือเป็นสิบ ๆ ปีเลยก็ได้
ผมคิด ว่าพ่อผมคงจะไม่สนใจใยดีอะไรผม ต่อให้ลูกชายทั้งคนถูกจับ พ่อผมเป็นคนที่ต่อให้ทำผิดพลาดอะไรก็ยังใช้ชีวิตต่อไป ไม่ต่างอะไรกับการลอกคราบไปเรื่อย ๆ แค่เมาแล้วขับไปชนคนตายนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะประหลาดใจ ถ้าจะให้เขาตกใจได้ก็คงต้องจงใจไปฆ่าสักคนอย่างที่เด็กสาวทำเท่านั้นละมั้ง ส่วนแม่ของผม… ผมพอจะนึกภาพออกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะยิ่งถูกใจเธอไปอีก ประมาณว่า “เห็นมั้ย ดีนะที่หนีมาจากผู้ชายอย่างนั้นได้ก่อน” แม่ผมเป็นคนแบบนั้น
ให้ตายเถอะ ผมพ่นลมระบายออกมา ตัวผมเกิดมาทำไมกันแน่ ตลอดระยะเวลายี่สิบสองปีที่ผ่านมา ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะรู้สึกว่า ‘มีชีวิตอยู่’ ผมอยู่โดยไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแรงบันดาลใจในชีวิต อยู่ไปแค่เพราะไม่อยากตาย จนผมมายืนอยู่จุดนี้
“…งั้นถ้าผมชิงจากโลกนี้ไปเร็ว ๆ แบบชินโดก็คงดีเหมือนกัน”
ผมพูดคำเหล่านั้นที่ผ่านไปผ่านมาในหัวผมนับครั้งไม่ถ้วนออกมา
ผมไม่ได้คิดว่าโลกนี้เกินเยียวยาหรืออย่างไร
แต่เป็นเพียงชีวิตผมต่างหากที่เกินเยียวยา
เวลาประมาณบ่ายสองพวกเราก็มาถึงที่ศูนย์อาร์เคตหนึ่งซึ่งเป็นที่หมาย ภายในบริเวณมีทั้งโบว์ลิง สนุกเกอร์ ปาเป้า โรงตีเบสบอล เกมอาร์เคต ตู้เกมหยอดเหรียญ และร้านขายเครื่องดื่มและของกินตั้งเรียงราย ความดังของเสียงรอบ ๆ ตัวไม่ต่างกับการมีนาฬิกาปลุกสักห้าร้อยเรือนที่ดังพร้อมกัน การใช้ชีวิตที่อุดอู้อยู่แต่ในห้องของผมสองสามเดือนที่ผ่านมาทำให้ไม่ชินกับบรรยากาศเช่นนี้จนหัวหมุน
เด็กสาวเธอบอกว่าเป้าหมายของการแก้แค้นรายถัดไปลาออกจากโรงเรียน ม. ปลาย และมาทำงานที่ร้านอาหารอิตาลีในนี้ ที่ผมสงสัยก็คือเธอไปได้ข้อมูลที่ว่ามาอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรนัก คงจะใช้เวลาหาข้อมูลนั่นนี่อยู่พอสมควร
กำแพงร้านอาหารนั้นทำด้วยกระจกจึงเห็นภายในร้านได้ชัด ผมเลือกที่นั่งเหมาะ ๆ แล้วลองทายดูว่าคนไหนจะเป็นเป้าหมายการแก้แค้นของเธอ กระทั่งเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็กลับมาหาผม ผมบอกให้เธอเปลี่ยนชุดเพราะถ้าใส่ชุดนักเรียนอยู่ที่คนเยอะ ๆ ในเวลาแบบนี้แล้วอาจจะถูกจับตัวไปได้
“พนักงานคนนั้นนี่ตาถึงจริง ๆ ” ผมชมชุดนั้น เป็นชุดเดรสลายจุดเล็ก ๆ พร้อมกับเสื้อคาร์ดิแกนสีเขียวอย่างมอสส์กับรองเท้าบูตเรียบ ๆ “ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเลย เดินเข้ามหา’ลัยได้สบาย”
เธอเมินคำยอของผมแล้วบอกว่า “ยืมแว่นกันแดดนั่นหน่อยค่ะ”
“อันนี้เหรอ” ผมชี้ไปที่ตาตัวเอง “ก็ได้หรอก แต่มันจะเด่นน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตราบใดที่คนนั้นไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร”
เธอใส่แว่นกันแดดนั้นแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผมพลางจดจ่อสมาธิจ้องเข้าไปในร้าน
“นั่นค่ะ คนนั้น”
คนที่เธอชี้ไปนั้น — เหมือนคนเมื่อวานตรงที่ว่า — ดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ตาอาจจะดูชิดกันไปหน่อย แต่พอหลับตาก็จะเห็นว่าได้รูปพอดี ตัดผมสั้นสีน้ำตาลเข้มดูอย่างผู้ชาย แต่ริมฝีปากอิ่มกับจมูกเล็กนั้นช่วยขับเน้นให้มีความดึงดูดอย่างผู้หญิง ทั้งอาอัปกิริยากับการพูดจาดูคล่องแคล่ว ดูเป็นคนสดใสร่าเริงที่เป็นที่รักของทุกคน นั่นคือความคิดเห็นของผมที่มีต่อเธอหลังจากที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก
แต่แน่นอนว่าคนไม่ดีก็ใช่ว่าจะหน้าตาไม่ดีตามเสมอไป
“คนนั้นสินะเป้าหมายต่อไปของเธอ”
“ค่ะ วันนี้จะมาฆ่าเธอ” เธอตอบสบาย ๆ
“วันนี้ก็จะเข้าไปทักทายด้วยกรรไกรอีกหรือเปล่า”
เธอกอดอกคิด “ไม่ค่ะ ถ้าใช้วิธีนั้นตอนนี้เลยจะเตะตาคนเกินไป คงต้องรอจนถึงเวลาเลิกงานค่ะ ตรงด้านหลังร้านมีทางเข้าออกสำหรับพนักงานอยู่ พอเห็นเธอทำท่าจะกลับก็ค่อยไปดักรอค่ะ”
“เห็นชอบ ครับ รอบนี้ก็ให้ผมรออยู่หลังเวทีอีกหรือเปล่า”
“คงงั้นแหละค่ะ ถ้าเธอพยายามหนีขอให้รีบจับตัวไว้เลยนะคะ”
“เข้าใจละ”
และเนื่องจากพวกเราไม่รู้ว่าเธอจะเลิกงานตอนไหน จึงได้แต่นั่งคอยอยู่ที่ม้านั่งตรงนั้น หลังจากนั้นเธอก็ไปหาไอศกรีมพูนสองชั้นมารองท้อง ส่วนผมเป็นฟิชแอนด์ชิปส์ มีเสียงพินโบว์ลิงล้มดังอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก เสียงของเหล่าหนุ่มสาวรอบ ๆ ต่างดูสนุกสนาน ปลาทอดของผมคงจะใช้น้ำมันทอดซ้ำ ส่วนมันฝรั่งทอดก็จืดเกินไป ผมจึงกินไปเพียงเล็กน้อยแล้วตามด้วยน้ำอัดลมล้างคอ
และไม่นานนักเด็กสาวก็เบนความสนใจจากร้านอาหารจ้องไปยังที่ตู้คีบตุ๊กตาที่ตั้งเรียงอยู่ขนาบทางเดิน ในตู้กระจกนั้นมีตุ๊กตาแบบเดียวกันกองอยู่ ตุ๊กตานั้นดูเหมือนหมีกับลิงผสมกัน พอผมหันกลับมาก็สบตาเข้ากับเธอพอดี
“…ไปคีบในนั้นมาให้หน่อยสิคะ” เธอขอ “ยังไงก็คงจะต้องรออีกสักพักใหญ่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวผมดูให้ เธอไปเถอะ” ผมยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ “ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรยังไงจะไปเรียก”
“ให้เวลาฉันคีบปีนึงยังไม่พอเลยมั้งคะ คุณนั่นแหละไปคีบมาให้หน่อย”
“ไม่หรอก ผมก็คีบไม่เก่งเหมือนกัน เกิดมายังไม่เคยได้ของในตู้คีบเลยสักอย่าง”
“ไปคีบมาเถอะค่ะ”
เธอยัดกระเป๋าสตางค์คืนใส่มือผมแล้วตบหลัง
ผมเอาธนบัตรหนึ่งพันเยนไปแลกที่ตู้แลกเหรียญแล้วมายืนอยู่หน้าตู้คีบและยืนเล็งหาตัวใกล้ ๆ ช่องทางออกที่น่าจะคีบง่ายสุดพลางหยอดเหรียญกลบเกลื่อนความอาย ผมถอนหายใจด้วยความเสียดายที่เธอไม่อยู่ด้วย อย่างน้อย ๆ ก็จะได้เก๊กหล่อเสียหน่อย พอคิดว่าชายหนุ่มเรียนมหาวิทยาลัยที่หมดอาลัยตายอยากอย่างผมต้องมามาคีบตุ๊กตาอย่างสุดความสามารถในวันธรรมดาอย่างนี้ก็รู้สึกสมเพชขึ้นมา
หนึ่งพันห้าร้อยเยนถูกผลาญไป และหลังจากที่ผมขอให้พนักงานหนุ่มที่เดินผ่านมาช่วยปรับตำแหน่งให้ก็หยอดเหรียญไปอีกแปดร้อยเยน ในที่สุดตุ๊กตาก็หล่นออกมา เป็นของจากตู้คีบชิ้นแรกในชีวิต ผมเดินกลับมาที่ม้านั่งแล้วยื่นให้เด็กสาว เธอหยิบไปดื้อ ๆ แล้วยัดใส่กระเป๋า หลังจากนั้นก็มีบางทีที่เธอล้วงมือเข้าไปสัมผัสตุ๊กตาในนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเลิกงานประมาณหกโมงเย็น
เด็กสาวลุกขึ้น “รีบไปกันเถอะค่ะ” แล้วเดินออกไปโดยมีผมตามไปด้วย
ท้องฟ้าไม่มีแสงจันทร์ เป็นค่ำคืนที่เหมาะกับการแก้แค้น และยิ่งทางออกด้านหลังตรงลานจอดรถไม่ค่อยมีแสงสว่างเช่นนี้ทำให้ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อะไรมากนัก หูของผมยังอื้ออันเป็นผลจากการอยู่ท่ามกลางเสียงดังเป็นเวลานาน ตอนยืนขึ้นก็ยังหน้ามืด ลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วงยามกลางคืนพัดผ่านต้นคอของผมจนรู้สึกเย็น ผมหยิบแจ็กเก็ตที่หนีบมาด้วยมาสวมใส่
เธอหยิบกรรไกรตัดผ้าอันเมื่อวานออกมาจากเคสหนังที่เก็บไว้ในกระเป๋า ด้ามจับเป็นสีดำที่ไม่สมมาตรกันเพื่อให้เข้ากับรูปมือ ใบมีดสีเงินสะท้อนแสงในความมืด ความทรงจำของภาพเหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมเห็นมันเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้ทำร้ายคนเท่านั้น เมื่อได้มองชัด ๆ แล้วจึงเห็นรูปร่างอันน่าขนลุกของมัน ห่วงตรงด้ามจับทั้งสองข้างนั้นดูเหมือนดวงตาน่าเกลียดน่ากลัวที่บิดเบี้ยวด้วยความพิโรธ
ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมออกมาเสียที และในขณะที่ผมเริ่มพะวงแล้วว่ามาช้าไปก้าวหนึ่งหรือเปล่านั้น ประตูก็ถูกเปิดออก เธอถอดชุดที่ทำงานออกแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อเทรนช์โค้ตกับกระโปรงสีไวน์แดง ทำให้ดูมีอายุมากกว่าตอนเห็นในร้านนั้น ถ้าเธอคนนี้เป็นคนที่ไปรังแกตอนนั้น แปลว่าคงอายุราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปด แต่ดูแล้วออกจะใกล้ ๆ คนรุ่นเดียวกับผมด้วยซ้ำ หรือไม่ก็เด็กกว่าสักหน่อย
เธอดูประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กสาวที่มายืนขวางทาง
“จำฉันได้มั้ยคะ” เด็กสาวถาม
สายตาของผู้หญิงคนนั้นเพ่งดูอย่างพินิจ
“เอ ขอโทษนะ แต่เหมือนคุ้น ๆ ” เธอแตะคางทำท่าคิด
และหรี่ตามองเด็กสาวเมื่อความทรงจำประดังเข้ามา
“อ้อ แหม ก็นึกว่าใคร…”
ตามด้วยรอยแสยะยิ้ม
ผมรู้จักหลายคนที่มีรอยยิ้มเช่นนั้น คนที่เหยียบย่ำคนอื่นเพื่อความพอใจของตัวเอง เป็นคนที่ดูออกว่าคนอย่างไหนจะสมยอมหรือต่อต้าน และทำร้ายคนที่ดูแล้วว่าจะไม่ต่อต้านให้สาหัส เป็นรอยยิ้มของพวกที่ทำเช่นนั้นเพื่อยกให้ตัวเองสูงขึ้น
เธอมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย คงจะประเมินความต่างของคนที่เธอเคยรู้จักกับคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้อยู่เพื่อจะได้เห็นว่าควรทำอย่างไรต่อ
และเธอตัดสินใจแล้วว่าควรตอบโต้อย่างไร
“ยังอยู่อีกเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นพูด
ผมลองคิดดูว่าเธอหมายความว่าอะไร “(ในเมื่อเธออยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แล้ว) ยังอยู่อีกเหรอ” หรือไม่ก็ “(โดนเล่นไปขนาดนั้น) ยังอยู่อีกเหรอ”
“ไม่ค่ะ ฉันตายไปแล้ว” เด็กสาวสั่นหัว “และจะพาคุณไปด้วย”
เด็กสาวไม่รีรอให้เธอได้ตอบ ในชั่วพริบตาถัดมา กรรไกรตัดผ้านั้นก็แทงเข้าไปที่ต้นขาของอีกฝ่าย
ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องเสียงแหลมออกมาแล้วล้มลงตรงนั้น เด็กสาวส่งสายตาชิงชังไปยังร่างที่ทุรนทุรายจากความเจ็บปวด ที่แขนเสื้อเทรนช์โค้ตสีน้ำตาลอ่อนนั้นมีเลือดเปื้อนอยู่ แต่ผมคอยมองอยู่นิ่ง ๆ เนื่องจากเตรียมใจมาแล้ว
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสูดหายใจเตรียมร้องขอความช่วยเหลือ เด็กสาวใช้เท้าที่ใส่รองเท้าโลฟเฟอร์ข้างหนึ่งเตะเข้ากับจมูกนั้น จากนั้นจึงหยิบบางอย่างที่ดูคล้ายกรรไกรตัดเล็บออกมาถูกับใบมีดกรรไกรต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นที่กุมหน้าทำเสียงอู้อี้ด้วยความทรมาน
คงกำลังใช้ตะไบเล็บลับใบมีดอยู่
พอลับใบมีดไปข้างละห้าครั้งแล้วเด็กสาวก็รวบผมดึงหัวเธอขึ้นมา ดวงตาที่มองด้วยความหวาดกลัวนั้นถูกแทงเข้าทั้งสองข้างโดยกรรไกรที่อ้าออก ใบมีดข้างหนึ่งปักหลักอยู่นิ่งตรงตาข้างขวา ส่วนใบมีดข้างที่ขยับเข้าออกอยู่ในตาข้างซ้าย และผู้หญิงคนนั้นก็แน่นิ่งไป
เป็นค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ลมหายใจของผมมีไอสีขาวออกมาทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ” เด็กสาวถาม
เธอคนนั้นพยายามร้องขอความช่วยเหลือโดยที่ตัวยังเปื้อนเลือดกำเดา ทว่าออกเสียงไม่เป็นภาษาด้วยซ้ำ
น้ำเสียงของเด็กสาวคล้ายคนกำลังถามเด็กที่เวลาพูดออกมาแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
“จะบอกว่า ขอโทษค่ะ ใช่มั้ยคะ”
เด็กสาวถอนกรรไกรออกรวดเดียว อีกคนยังไม่ทันได้โล่งใจที่ใบมีดถูกดึงออกไปจากตาตัวเอง คอของเธอก็ถูกแทงเข้าเต็มแรง
แต่กรรไกรนั้นไม่ได้แทงเข้าที่กลางลำคอ ดูเหมือนจะเล็งไปที่หลอดเลือดแดงคาโรติดที่อยู่ข้างคอ ทันทีที่ใบมีดถูกถอนออก เลือดจำนวนมากก็พุ่งทะลักออกมาจากปากแผลนั้น ไม่ใช่แค่ไหลออกมา แต่ล้นทะลักทีเดียว
เธอคนนั้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดแผลราวกับจะหยุดเลือดที่ทะลักล้นออกไปจากตัว แต่ไม่กี่สิบวินาทีให้หลังก็สิ้นลมไปทั้ง ๆ ท่านั้น
“…ทำเปื้อนอีกแล้วสิ” เธอพูดแล้วหันมาทางผมพร้อมทั้งรอยเลือดที่ยังสดอยู่ “ชุดนี้ใส่ไปใส่มาก็ชอบเหมือนกันนะคะ”
“ไว้ค่อยไปซื้ออีกก็ได้” ผมตอบ
ผมพอจะเดาความรู้สึกของเด็กสาวได้จากสีหน้าที่ซีดไปอย่างนั้น หลังจากที่เธอแอบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดนักเรียนแล้วผมก็พาเธอกลับเข้ามาในห้างฯ และเธอก็วิ่งไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ร้านอาหาร ผมได้ยินเสียงแว่วอาเจียนมาไกล ๆ คงกำลังระบายอยู่
ดูจากการที่เธอฆ่าคนโดยไม่ลังเลแล้ว จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็คงไม่แปลก ซึ่งเธอไม่เหมือนฆาตกรต่อเนื่องหลาย ๆ คนตรงที่ว่าเธอรังเกียจการใช้ความรุนแรง เพราะถ้าไม่รังเกียจก็คงไม่มาอาเจียนหรือเข่าอ่อนหลังฆ่าคนอย่างนี้
ความโกรธแค้นคงรุนแรงพอที่จะเปลี่ยนให้คนอย่างนั้นกลายเป็นฆาตกรได้
แล้วผมเล่า ทั้งที่เห็นการฆ่าคนแบบจะจะ ทำไมถึงยังเฉยชาอยู่ได้ ผมไม่บ้ากว่าตัวฆาตกรอีกหรือที่ชินชากับการอยู่ด้วยกันกับฆาตกรเลือดเย็นเช่นนั้น
เอาเถอะ ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดให้วุ่นวายตอนนี้
ผมนั่งสูบบุหรี่รอเด็กสาวอยู่ตรงโซฟาเก่า ๆ ในทางเดินทึม ๆ เธอกลับมาหลังจากที่ผมสูบไปได้สามมวน พร้อมเดินขาลากตาแดงก่ำมาแต่ไกล ของที่เธอกินเข้าไปวันนี้คงถูกขย้อนออกมาหมดแล้ว สีผิวขาวซีดจนดูอย่างกับผี
“ดูไม่ได้เลยนะ”
ผมกระเซ้า และเธอก็ตอบมาเหม่อ ๆ ว่า “เคยดูได้ด้วยเหรอคะ”
“เคยสิ” ผมแย้ง
จริง ๆ แล้วพวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ต่อให้ซ่อนศพเอาไว้ในพงหญ้าแล้ว แต่เดี๋ยวก็คงมีคนมาเห็นแน่ ๆ ในกระเป๋าของเด็กสาวก็ยังมีกรรไกรตัดผ้าที่เป็นอาวุธกับเสื้อเปื้อนเลือดตัวนั้นอยู่ ส่วนชุดผมก็ยังมีคราบเลือดเปื้อนจาง ๆ เหมือนกัน ถ้าเกิดถูกจับไปสอบสวนเข้าละก็จบเห่แน่นอน
กระนั้นก็ตาม ผมยังเสนอเธอว่า
“เอ้อ วันนี้พักเรื่องแก้แค้นไว้ก่อนแล้วไปทำอย่างอื่นเปลี่ยนบรรยากาศกันดีมั้ย ดูเธอเพลีย ๆ นะ”
เธอปัดผมยาวที่ปรกตาอยู่แล้วจ้องผม
“…เช่นอะไรคะ”
ผมเตรียมใจว่าข้อเสนอจะถูกปัดทิ้งทันที แต่ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยจนยอมเออออตามไปด้วย
นี่แหละคือโอกาส ‘ทำแต้ม’ อันดี
“เล่นโบว์ลิงกัน” ผมตอบ
“โบว์ลิงเหรอคะ” เธอหันไปมองทางลานโบว์ลิงที่อยู่ตรงข้ามแล้วเบิกตา “ที่นี่ ตอนนี้ น่ะเหรอคะ”
“อืม ไปโบว์ลิงในที่เกิดเหตุทั้ง ๆ ที่อาวุธอยู่ในกระเป๋านี่แหละ คนอาจจะคิดว่าเดี๋ยวฆาตกรก็คงกลับไปที่เกิดเหตุ แต่คิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าฆาตกรจะยังอยู่ในที่เกิดเหตุแล้วเล่นโบว์ลิงอยู่”
เธอส่งสายตาถามว่า เอาจริงเหรอคะ ส่วนผมก็ส่งสายตาตอบกลับไปว่า เอาจริง
“ความคิดไม่เลวเลยใช่มั้ยล่ะ”
“…นั่นสินะคะ ไม่เลวเลย”
ความเห็นของพวกเราตรงกันได้สักครั้ง นั่นคือการมาพักผ่อนหย่อนใจกันในสถานที่เกิดเหตุ อันเป็นการหยามเกียรติคนตายอย่างที่สุด
หลังจากจัดการธุระที่เคาน์เตอร์เสร็จพวกผมก็ได้รองเท้าโบว์ลิงทรงน่าเกลียด ๆ มา จากนั้นเดินมายังเลนโบว์ลิง แน่นอนว่าเด็กสาวเธอไม่เคยเล่นโบว์ลิงมาก่อน เธอยังตกใจกับลูกโบว์ลิงซึ่งหนักแปดปอนด์
ผมเริ่มก่อนเพื่อเป็นการแสดงวิธีเล่นให้ดูโดยกะให้ล้มสักเจ็ดพิน และผมก็ทำให้ล้มได้เจ็ดพินพอดีดังคาด ส่วนสไตรก์แรกผมจะยกให้เธอ
ผมหันไปบอก “ตาเธอแล้ว”
เด็กสาวใช้นิ้วสอดเข้าไปที่ลูกโบว์ลิงอย่างตั้งใจแล้วเพ่งมองไปที่พิน ท่าโยนลูกโบว์ลิงของเธอที่ดูทะมัดทะแมงทำให้พินล้มไปได้แปดพิน นับว่ามีกำลังกล้ามเนื้อกับสมาธิดีทีเดียว เฟรมที่สี่เธอเก็บสแปร์ไป ส่วนเฟรมที่เจ็ดเธอทำสไตรก์ได้
เป็นความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงเมื่อก่อน มีช่วงหนึ่งที่ชินโดดูหนังเรื่อง ‘The Big Lebowski’ (บิ๊ก เลโบสกี) แล้วบ้าโบว์ลิงมาก จนแต้มที่เขาทำได้สูงสุดตอนนั้นคือสองร้อยยี่สิบแต้ม ส่วนผมคอยนั่งมอง มีเข้าไปเล่นด้วยบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งเขาก็ให้คำแนะนำมาจนบางครั้งผมทำแต้มได้ถึงร้อยแปดสิบแต้ม ถือว่าทำได้ดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างผม
ผมคอยทำแต้มให้มากกว่าเด็กสาวมาแบบเหลื่อม ๆ เพื่อกระตุกต่อมความไม่ยอมแพ้ของเธอ วิธีเช่นนี้คงจะดีกว่าการออมมือให้แพ้ไปเลย
และก็เป็นดังคาด พอเกมจบแล้วเธอยังดูไม่ค่อยเต็มอิ่มสักเท่าไหร่
“ขออีกรอบค่ะ” เธอพูดขึ้น “เล่นอีกรอบนะคะ”
พอจบไปสามเกมแล้วหน้าของเธอที่เคยซีดก็กลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง และดูเหมือนว่ายังไม่มีใครพบศพตอนที่พวกเรายังอยู่ในห้างฯ นี้ หรือไม่ก็เธออาจจะแอบ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน พวกเราก็ได้ใช้เวลาอันแสนสงบด้วยกัน หลังจากเล่นโบว์ลิงเสร็จก็ไปกินอาหารที่ดูหรู ๆ ในร้านอาหารที่ผู้หญิงที่ถูกฆ่าเคยทำงานอยู่
วันนั้นพวกผมไม่ได้กลับอพาร์ตเมนต์ เธอบอกว่าเป้าหมายการแก้แค้นรายถัดไปต้องขับรถไปอีกหกชั่วโมง ผมลองเสนอให้นั่งรถไฟชินคันเซนไป แต่เธอปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ชอบขึ้นที่คนเยอะ ๆ ค่ะ” และเสริมอีกว่า ถ้าต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างนั้น เธอยอมนั่งเบียด ๆ สักครึ่งวันอยู่ในรถคันเดียวกับคนที่ฆ่าเธอดีกว่า
เธอคงจะยังไม่หายช็อกหลังจากที่ไปฆ่าเพื่อนร่วมชั้นมา ประกอบกับอาการอดนอนเมื่อคืนของเธอ เป็นผลให้ขาเธอสั่น ๆ ตอนออกมาจากศูนย์อาร์เคตนั้น ส่วนผมก็เอาแต่นอนตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาพาให้กะปลกกะเปลี้ย ผมขับรถไปยังไม่ทันพ้นยี่สิบนาทีดีตาก็เริ่มปรือ ๆ แล้ว
ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงแตรรถ น่าจะเผลอหลับไปตอนที่กำลังหยุดรอไฟจราจร เท้าของผมเหยียบคันเร่งเร่งเครื่องด้วยความร้อนใจ จากนั้นเปลี่ยนเกียร์แล้วออกตัวด้วยความหงุดหงิด
และเมื่อหันไปมองที่นั่งข้างคนขับเพื่อจะด่าว่าทำไมไม่ปลุกกันก็เห็นว่าเธอเองก็หลับไปเหมือนผมเมื่อกี้ ความอ่อนล้าของเธอคงจะถึงขีดสุดแล้วเพราะเธอไม่ตื่นเลยแม้จะมีเสียงแตรกับแรงสั่นของรถที่เร่งเครื่องเมื่อครู่
ผมพิจารณาแล้วว่าถ้าขืนยังขับรถต่อไปแล้วสภาพเป็นกันอย่างนี้อันตรายแน่ คงต้องหาแวะจอดพักสักที่ แต่ถ้าจะนอนในรถแบบคืนนั้นก็คงนอนได้ไม่เต็มอิ่มแน่ ถ้าหาที่พักสักที่คงจะดีกว่า เธออาจจะบ่นผมอีกว่า “ไม่มีเวลาแล้วนะคะ ยังจะพักอีกเหรอ” แต่ก็คงดีกว่าหลับในแล้วขับไปเกิดอุบัติเหตุจุกจิกน่ารำคาญอีก
ดูเหมือนว่าเธอเองก็ใช้พลัง ‘เลื่อนเวลา’ ตามอำเภอใจไม่ได้ สมมติว่าผมหักพวงมาลัยแล้วไปชนเข้ากับรถบรรทุกตอนที่เธอหลับสนิทอยู่อย่างนี้จะยังใช้พลัง ‘เลื่อนเวลา’ ได้อยู่หรือเปล่า หรืออาจจะไม่ได้เพราะไม่มีเวลาให้ทันได้มีภาพย้อนเหตุการณ์ก่อนตาย ไม่มีเสียงเพรียกครวญแห่งจิตวิญญาณที่จะตะโกนว่า ‘ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้เลย’
เด็กสาวเองก็น่าจะไม่รู้เช่นกัน เพราะฟังจากที่เธอเคยเล่าเรื่องพลังแล้วก็เหมือนว่าเธอยังไม่ค่อยเข้าใจพลังตัวเองมากนัก
ยังไงความปลอดภัยต้องมาก่อน ผมขับรถเข้าไปที่โรงแรมประหยัดที่อยู่เลียบทางหลวงและปล่อยให้เธอนอนในรถไปก่อน จากนั้นผมไปที่เคาน์เตอร์หน้าโรงแรมเพื่อสอบถามห้องว่างและได้คำตอบมาว่าเหลือห้องเดียวซึ่งเป็นเตียงแฝดที่แยกเป็นสองหลัง ดีเลย เพราะถ้าเป็นเตียงคู่ที่เป็นหลังใหญ่หลังเดียวผมคงได้ระเห็จไปนอนที่พื้นเป็นแน่
ระหว่างที่ผมกรอกเอกสารอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่รู้ชื่อของเด็กสาว แต่จะไปถามตอนนี้ก็คงไม่ได้ จึงใส่ชื่อปลอมไปว่า ‘ยูงามิ จิซูรุ’ ให้ดูเหมือนพี่น้องที่อยู่อพาร์ตเมนต์ด้วยกัน และน่าจะช่วยให้อะไร ๆ หลังจากนี้ราบรื่นขึ้นด้วย ขนาดพนักงานที่ร้านยังเข้าใจผิดว่าเป็นพี่น้องกัน โกหกไปอย่างนี้ก็คงเนียนอยู่
ผมกลับมาที่รถแล้วเขย่าตัวปลุกเธอที่หลับสนิทอยู่ “นอนพักที่นี่ก่อนจะไปแก้แค้นต่อกันเถอะ” เธอไม่บ่นสักคำแล้วยอมตามมาแต่โดยดี นอนพักบนเตียงนุ่ม ๆ คงจะดีกว่านั่งอยู่กับเบาะแข็ง ๆ ละนะ
ผมหันไปถามเธอตรงหน้าประตูอัตโนมัติ
“เป็นห้องสำหรับสองคนนะ ได้ใช่มั้ย มันไม่มีห้องว่างแล้ว”
เธอไม่ตอบ และผมก็ถือวิสาสะถือว่าความเงียบนั้นคือคำว่า “ก็ได้ค่ะ”
ภายในห้องตกแต่งเรียบ ๆ สมเป็นโรงแรมประหยัด ผนังเป็นสีงาช้าง ตรงกลางระหว่างเตียงทั้งสองหลังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ใช้วางโทรศัพท์ ด้านบนโต๊ะนั้นมีรูปสีน้ำมันที่ดูราคาถูกแขวนไว้ ข้าง ๆ เตียงเป็นโต๊ะทำงาน มีของจำพวกกาน้ำร้อนกับโทรทัศน์วางอยู่
พอดูจนแน่ใจแล้วว่าประตูล็อก เด็กสาวก็หยิบกรรไกรตัดผ้าที่มีเลือดแห้งกรังออกมาจากกระเป๋าแล้วนำไปล้างที่อ่างล้างหน้าในห้องอาบน้ำ ทำความสะอาดรอยเปื้อนเป็นอย่างดี จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดตามใบมีดให้แห้ง เธอหย่อนตัวลงนั่งที่ข้างเตียงแล้วลับใบมีดอย่างทะนุถนอม เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เธอปิดงานได้เสมอมา
แต่ทำไมต้องเป็นกรรไกรล่ะ ผมนั่งคิดอยู่ที่โต๊ะทำงานข้างเตียงพลางสูบบุหรี่หลังจากหยิบที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกจากโต๊ะทำงานมาที่โต๊ะข้างเตียง อาวุธที่ดูเหมาะสมกว่านี้ก็น่าจะมีถมเถไป เพราะไม่มีเงินซื้อมีดงั้นเหรอ เพราะจะได้เนียนว่าไม่ใช่อาวุธงั้นเหรอ เพราะพกพาสะดวกงั้นเหรอ เพราะมีอยู่ที่บ้านงั้นเหรอ เพราะใช้ง่ายที่สุดงั้นเหรอ เพราะเป็นของสำคัญงั้นเหรอ
ผมลองจินตนาการว่าเธอถูกขังอยู่ในห้องเก็บของ หนาวสั่นพลางร้องไห้ หลังจากที่ถูกพ่อและพี่สาวทำร้ายมาในค่ำคืนกลางฤดูหนาว แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีเธอก็ลุกขึ้นในความมืดมิดแล้วเริ่มควานหาของที่พอจะใช้งัดออกไปข้างนอกได้ เธอคุ้นเคยดีกับการเปลี่ยนความเศร้าให้เป็นความโกรธ เพื่อเธอจะได้มีความกล้าอันโดดเดี่ยวขึ้นมาบ้าง ร้องไห้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และไม่มีใครที่จะมาช่วยเธอ
เมื่อเธอเปิดกับกล่องเก็บของที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาตามนิ้ว เธอชักมือกลับโดยอัตโนมัติ แต่ก็ค่อย ๆ ยื่นมือไปหา ‘สิ่งนั้น’ ที่บาดนิ้วเธออย่างหวาด ๆ แล้วยกขึ้นมา ทำให้แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางช่องระบายอากาศสะท้อนวับ
กรรไกรตัดผ้าขึ้นสนิม
แต่ทำไมกรรไกรถึงมาอยู่นี่ได้ ถ้าเป็นประแจ ไขควง หรือคีมก็พอเข้าใจได้ หรือเพราะหน้าตาเหมือน ๆ กันถึงได้ถูกเอามากองรวมกัน
เธอลองสอดนิ้วเข้าไปในห่วงด้ามจับแล้วออกแรงค่อย ๆ กางใบมีดทั้งสองข้างออก
เด็กสาวไม่สนใจเลือดที่ไหลจากนิ้วลงไปที่ข้อมืออีกต่อไป เป็นความหลงรักที่มีต่อกรรไกรเล่มนั้น เธอมองปลายแหลมของมันแล้วเริ่มรู้สึกถึงความกล้าที่ก่อตัวขึ้น
ตาของเธอชินกับความมืดจนเริ่มเห็นของที่อยู่ด้านในกล่องเก็บอุปกรณ์แล้ว เธอจึงคอยไล่เปิดลิ้นชักฝืด ๆ นั้นจากชั้นบนลงล่างจนเจอของที่ต้องการในที่สุด เธอหยิบตะไบออกมาแล้วเริ่มขัดสนิมออกจากใบมีดอย่างบรรจง
ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ
มีเสียงลับมีดอันเป็นลางร้ายแว่วออกมาจากห้องเก็บของกลางดึกคืนนั้น
เธอสาบาน ว่าสักวันจะใช้สิ่งนี้คร่าชีวิตพวกเขาเหล่านั้น
เหล่านั้นเป็นเพียงจินตนาการของผมเท่านั้น กรรไกรเล่มนั้นทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมา
ตอนนี้เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนที่โรงแรมเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นชุดเดรสสีขาวเรียบ ๆ ที่ดูเหมือนชุดของหมอมากกว่าชุดนอน
เธอหยิบกรรไกรมาดูสภาพใบมีดของกรรไกรที่ลับเสร็จแล้ว ผมถาม
“ขอดูอันที่เธอถืออยู่หน่อยได้มั้ย”
“…ทำไมเหรอคะ”
นั่นสินะ ทำไม ถ้าบอกว่าแค่สนใจคงจะปฏิเสธไม่ให้ดูแน่ ๆ ผมนึกหาคำดี ๆ ที่น่าจะได้ผล
และในขณะที่เธอกำลังจะเก็บกรรไกรเข้าเคสหนัง ผมพูดอีก
“เห็นสวยดี”
เหมือนจะเป็นคำตอบที่พอใช้ได้ เธอยื่นกรรไกรมาให้พร้อมสายตาระแวดระวัง คงจะดีใจที่อุปกรณ์อันโปรดของเธอได้รับคำชม
ผมนั่งอยู่ต่อหน้าเธอแล้วยกกรรไกรขึ้นมาส่องดูแบบเดียวกับที่เธอทำเมื่อครู่ ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่ว่าเธอลับใบมีดเพื่อให้สะอาดวาววับอย่างกระจก พอได้มองใกล้ ๆ แล้วก็เห็นรอยนั่นนี่อยู่บนใบมีดเต็มไปหมด จริงสิ สิ่งสำคัญคือการทำให้ส่วนปลายแทงเข้าเนื้อได้โดยง่าย ถ้าไปลับส่วนอื่นก็คงทำให้สิ่งสำคัญนี้หายไป ดูเหมือนว่าสนิมจะถูกขัดออกไปเพียงเท่าที่จำเป็น — และผมก็นึกขึ้นได้ ว่าผมคิดไปเองว่ากรรไกรขึ้นสนิมมาก่อน
“คมนะเนี่ย” ผมเปรย ๆ กับตัวเอง
ไม่ว่าใครได้ลองถืออุปกรณ์ก็ต้องนึกภาพตัวเองตอนใช้ทั้งนั้น ผมจ้องกรรไกรที่ปรับมาใช้ฆ่าคนเป็นพิเศษเล่มนี้แล้วรู้สึก ‘อยากลองใช้กรรไกรนี้แทงใครสักคน’ ขึ้นมา คมขนาดนี้คงแทงเนื้อเข้าง่าย ๆ ได้ไม่ต่างอะไรกับการแทงผลไม้สุก
ผมลองนึกภาพตอนใช้ ผมอยากใช้กรรไกรนี้แทงคน — แล้ว จะแทงใครดีล่ะ
เป้าหมายสำหรับความคิดผมเมื่อครู่ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กสาวที่นั่งบนเตียงตรงหน้าผมตอนนี้ เธอจ้องกรรไกรที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เธอแล้ว
กรรไกรตัดผ้าเล่มนี้เป็นที่พึ่งทางใจของเธอเหมือนกับตุ๊กตา เธอคงไม่รู้ตัวจนกระทั่งกรรไกรนั้นถูกพรากไปจากมือเธอ ดูเหมือนว่าเธอพยายามทำเฉยอยู่ทั้งที่ในใจเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว
เมื่อเธอไม่มีอาวุธแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้ทางสู้ ผมจินตนาการดูว่าถ้าลองฆ่าเธอเสียตรงนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าลองแทงเข้าที่กลางหน้าอกตรงที่ไม่ได้ติดกระดุมไว้จนเปิดให้เห็นแบบวับ ๆ แวม ๆ หรือถ้าลองแหวกตรงที่คอของเธอที่เสียงใสดุจแก้ว หรือถ้าลองคว้านตรงท้องของเธอที่ไม่ค่อยมีไขมันมากนัก
ดูเหมือนว่ากรรไกรเล่มนี้จะส่งผ่านเจตนาการฆ่าของเธอมาด้วย
ผมเอานิ้วสอดเข้าไปในด้ามจับกรรไกรข้างหนึ่งแล้วหมุนเล่น เธอลนลาน “เอาคืนมาได้แล้วค่ะ” แล้วยื่นมือออกมา แต่ผมไม่หยุดเหวี่ยง ยังคงสนุกอยู่กับจินตนาการรุนแรงของผม
ผมคิดว่า — ถ้าขอร้องอีกสองครั้งถึงค่อยคืน ตาของเด็กสาวเปลี่ยนสี แต่ใช้คำว่าขุ่นขึ้นน่าจะดีกว่า
เป็นสีหน้าที่คุ้นเคยดี สีหน้าที่เธอใช้เมื่อเผชิญกับคู่กรณีของเธอ
และผมรู้สึกถึงของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าจนตาพร่า ความเจ็บปวดที่หน้าผากแล่นริ้วจนเหมือนหน้าผากจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อได้กลิ่นขี้เถ้าที่ติดอยู่บนหน้าถึงได้รู้ว่าผมโดนที่เขี่ยบุหรี่ทุบ
เหมือนว่ากรรไกรจะถูกฉวยไปจากมือซ้ายของผม ทีแรกผมคิดว่าอาจจะถูกใบมีดนั้นเล่นงานเสียแล้ว โชคยังดีที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ผมนอนแบ็บอยู่ด้วยความเจ็บปวดสักพักจึงลุกขึ้นมาปัดขี้เถ้าออกจากเสื้อของผม ลองเอานิ้วแตะ ๆ ที่หน้าผากเพื่อดูสภาพอาการแล้วก็เห็นเลือด แต่สองวันมานี้ผมเห็นเลือดจนเบื่อแล้วเลยไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่รู้สึกไม่ค่อยดีที่ว่าเป็นมือผมที่เปื้อนเลือด พอดมดูก็ได้กลิ่นเหมือนสนิม ผมก้มลงเก็บที่เขี่ยบุหรี่ไปวางบนโต๊ะตามเดิม
เธอนั่งอยู่บนเตียงหันหลังมาให้ผม
ความคิดแย่ ๆ เหล่านั้นเริ่มจางไป ผมเอือมตัวเองเหลือทน ทั้งที่จะทำตัวให้ใจเย็นแล้ว แต่เหมือนว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ผมเริ่มเสียสติไปทีละน้อย
ผมคิดว่าคงจะทำให้เธอโกรธ แต่เมื่อตบบ่าเพื่อจะขอโทษที่ล้อเล่นแรงไปอย่างนั้นเธอก็ขดตัวด้วยความหวาดกลัว
เธอหันหน้ามาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
จิตใจของเธอคงจะเปราะบางเสียยิ่งกว่าที่ผมคิดไว้อีก
คงจะเห็นภาพผมซ้อนทับกับพวกที่เคยรังแกเธอตอนที่เห็นผมถือกรรไกรแล้วยิ้มจิต ๆ อย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าผมจะไม่ทำอะไรเธอจึงมีเสียงพึมพำออกมา
“…อย่าทำอย่างนั้นอีกนะคะ”
ขอโทษนะ ผมตอบ
หน้าผากของผมเจ็บจี๊ดขึ้นมาตอนที่แชมพูถูกเข้ากับแผลตอนกำลังสระผมด้วยน้ำร้อน จะว่าไป ผมก็ไม่ได้แผลมานานแล้ว ผมปิดฝักบัวระลึกดูว่าแผลครั้งสุดท้ายที่ได้มาคือเมื่อไหร่ อ้อ เมื่อสามปีก่อน — ตอนที่ใส่รองเท้าคับไปหน่อยแล้วออกไปเดินทั้งวันจนเล็บนิ้วโป้งเท้าลอก — น่าจะเป็นตอนนั้น
แต่ว่า พอมานึกถึงเรื่องเมื่อกี้แล้วก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าเธอไม่เอาที่เขี่ยบุหรี่มาทุบแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นอยู่ ๆ ความคิดที่ว่า ‘ฆ่าเธอเลย’ ก็ลอยเข้ามาในหัวดื้อ ๆ ราวกับว่าเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำยังไงยังงั้น ผมเคยเชื่อว่าผมเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยน ห่างไกลจากคำว่าหัวรุนแรง แต่บางทีผมอาจจะแค่ซ่อนความหัวรุนแรงที่มีมากกว่าคนทั่วไปเอาไว้ไม่ให้โผล่ออกมาเท่านั้น
ระหว่างที่ผมเปลี่ยนชุดนอนแล้วกำลังเช็ดผมให้แห้งอยู่นั้นเอง โทรศัพท์ในกางเกงยีนที่ถอดไว้ก็สั่น ผมนั่งอยู่ขอบอ่างรับสายโดยไม่แม้แต่จะดูว่าใครโทรมา
“พอดีคิดว่านายน่าจะอยากให้ฉันโทรมาน่ะ” สาวสายศิลป์ทัก
“ก็ไม่อยากยอมรับหรอก แต่ก็ใช่ครับ” ผมตอบไป “จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
“นี่ ๆ ตอนนี้ฉันใช้โทรศัพท์ตู้สาธารณะโทร. หานายอยู่ละ” เธอพูดอย่างภูมิใจ “อยู่ตรงหัวมุมถนนแน่ะ แต่ว่ามีแต่ใยแมงมุมของพวกแมงมุมหน้าร้อนอยู่บนหัวเต็มเลย ขนลุกไปหมด”
“อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ใช้มือถือโทร. มา แล้วพอผมออกมาไกลนี่ก็ใช้โทรศัพท์ตู้เลยเหรอครับ”
“ก็ออกมาเดินข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนแล้วฝนก็ตก เลยหาที่หลบฝนแล้วเจอตู้โทรศัพท์นี่พอดี แถมไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะด้วย ก็เลยกะจะโทร. หาพ่อคนเก็บตัวรอจนฝนซา แต่ไม่มีเหรียญสิบเยนเลยหยอดเหรียญร้อยเยนไป คุยกันยาว ๆ เลยนะ …เดี๋ยว เมื่อกี้นายบอกว่า ‘ออกมาไกล’ เหรอ”
“ครับ” ถึงอาจจะไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่ผมก็เล่าต่ออีกหน่อย “ตอนนี้โรงแรมที่ผมอยู่ต้องขับรถมาจากตรงนั้นประมาณห้าชั่วโมงเลย”
“หืม แบบนี้ก็เรียกว่าพ่อคนเก็บตัวไม่ได้แล้วสิเนี่ย” น้ำเสียงเธอเหมือนผิดหวังนิดหน่อย “แล้วกับเธอคนนั้นไปได้สวยมั้ย”
“ทำเขาร้องไห้ไปแล้วน่ะสิครับ โดนที่เขี่ยบุหรี่ฟาดจนหน้าผากแตกเลือดซิบเลย”
สาวสายศิลป์หัวเราะร่วน “จะทำมิดีมิร้ายเขาล่ะสิ”
“ถ้าผมเป็นคนแบบนั้นจริงนี่คุณน่าจะโดนก่อนใครเลยนะครับ”
“ก็ เห็นนายน่าจะชอบคนหม่น ๆ แบบนั้นนี่นา”
พวกเราคุยเรื่อยเปื่อยกันไปจนครบเวลาหนึ่งร้อยเยน พอสายตัดไปผมก็เช็ดผมให้แห้งแล้วออกมาจากห้องอาบน้ำ ส่วนฆาตกรเลือดเย็นขี้แยเธอนอนหันหลังอยู่ ผมสีดำยาวของเธอที่ยังชื้นอยู่แผ่ไปทั่วหมอนสีขาวกับผ้าปูที่นอน ไหล่บอบบางของเธอขยับขึ้นลงน้อย ๆ
ผมคิด ว่าถ้าเธอฝันร้ายก็คงดี เพราะเธอก็จะกลัวแล้วผมจะได้พูดเอาใจทำนองว่า “ให้ไปซื้ออะไรมาให้ดื่มมั้ย” หรือ “แอร์เย็นไปหรือเปล่า เดี๋ยวปรับให้” ผมก็จะได้ ‘ทำแต้ม’ แล้วความผิดของผมก็จะเบาลงสักเล็กน้อย
ถ้าผมเปิดโทรทัศน์ก็อาจจะเห็นข่าวฆาตกรรม แต่ดูไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปื้อนเลือดนั้นมาอีกครั้งแล้วใช้ไฟแช็กซิปโปจุดบุหรี่สูบอยู่ที่โต๊ะ หลังจากที่สูดควันเฮือกใหญ่ก็กลั้นเอาไว้ประมาณสิบวินาทีแล้วพ่นออกมา ตรงหน้าผากยังเจ็บ ๆ อยู่ แต่ผมรู้สึกสบายใจ เพราะความเจ็บปวดนี้คือเครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนของผม