แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 397 ต้องการทำให้โกรธจนตาย
บรรยากาศระหว่างเจียงป่าวชิงกับช่างชื่อนั้นดีมาก ทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี พวกนางคุยกันอย่างสุขใจ
ถึงแม้ภายนอกดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่กงจี้กลับจวนติ้งกั๋วโฮ่ว แต่ในความเป็นจริงนั้น ตอนที่เขาได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาเคยกลับมาที่โถงพระเพื่อพบกับช่างชื่อในคืนเดือนมืดมีลมแรงครั้งหนึ่งแล้ว เขาเล่าให้ช่างชื่อฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบ้าง ช่างชื่อฟังจนไม่รู้ว่านางเสียน้ำตาไปมากแค่ไหนในคืนนั้น
เวลานี้ เมื่อมาเจอกับเจียงป่าวชิง หญิงสาวตัวเล็กที่ช่วยชีวิตลูกชายของนางไว้อย่างถึงที่สุด อีกฝ่ายทั้งรูปโฉมงดงาม คำพูดคำจาของนางก็เป็นที่น่าพึงพอใจ ช่างชื่อจึงมีแต่ความรู้สึกชื่นชอบในใจ ยิ่งมองสาวน้อยเจียง ช่างชื่อก็ยิ่งรู้สึกถูกอกถูกใจจริง ๆ
ในตอนนั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งเข้ามารายงานบางอย่างต่อหน้ากงจี้ด้วยเสียงเบา
ฟังรายงานเสร็จแล้วกงจี้ก็โบกมือเพื่อให้องครักษ์ออกไป ไม่เห็นอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าของเขา ทั้งยังมีแววความสนใจอยู่ในสีหน้าของเขาด้วย
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร เป็นช่างชื่อที่เอ่ยถามกงจี้อย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือลูก ?”
“ไม่มีอะไรขอรับ ก็แค่พวกที่ชอบก่อกวนไม่กี่ตัวเท่านั้น” กงจี้ยิ้มน้อย ๆ “ถ่อไปหาท่านย่าเพื่อฟ้องเรื่องของข้า ทำให้ท่านย่าไม่พอใจที่ข้าไม่ได้ไปคารวะนางที่เรือนก่อน ท่านย่าจึงโกรธข้า”
ช่างชื่อขมวดคิ้ว “นายท่านหญิงนิสัยเหมือนเด็กตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นางชอบให้คนอื่นประจบประแจง นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เจ้ากลับจวนหลังจากหายไปนาน เจ้ามาพบเจอใครเป็นคนแรกย่อมแสดงให้เห็นถึงทัศนคติและท่าทีของเจ้าเป็นธรรมดา… ช่างเถอะจี้เอ๋อร์ เจ้าไปพบนายท่านหญิงเถอะ ให้แม่นางป่าวชิงอยู่พูดคุยกับข้าที่นี่แหละ” พูดถึงช่วงหลัง ตอนที่ช่างชื่อเรียกชื่อของเจียงป่าวชิง ในน้ำเสียงนางมีความสนิทสนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่ากงจี้กลับยื่นมือไปหาเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง เจ้าไปด้วยกันกับข้า มีบางคนที่เจ้าควรทำความรู้จักก่อนล่วงหน้า จะได้รู้ไว้ในใจด้วย”
ช่างชื่อถึงกับสำลักน้ำชาจนไอไม่หยุด
อะไรคือ… “ทำความรู้จักก่อนล่วงหน้า” ความมุ่งมาดปรารถนานี้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนมาก
แม่นมช่วยลูบหลังให้ช่างชื่อ ช่างชื่อเองก็ยื่นมือออกไปพลางส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร
“ทางฝั่งของข้าไม่มีปัญหาอะไรหรอก” ช่างชื่อพูดด้วยคำรื่นหูแต่แฝงไว้ด้วยความหมายบางประการ “แต่ปากของชาวบ้านในตอนนี้ช่างอันตรายนัก พวกเขาเข้มงวดจ้องจับผิดกับผู้หญิงเป็นพิเศษ เพื่อคำนึงถึงอนาคตของเจ้ากับป่าวชิง ข้าคิดว่าเจ้าอย่าทำอะไรโจ่งแจ้งจนเกินไปก่อนจะดีกว่า”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากรู้ว่าเหตุใดพิษที่ขาข้าถึงสามารถกำจัดออกไปได้จนกลับมาเดินได้เป็นปกติอย่างนั้นรึ ? หึ ๆ” กงจี้แค่นหัวเราะเย็นชาตบท้าย กระแสสังหารปกคลุมอยู่บนหน้าผากของเขา “ข้าจะรอดูว่ามีใครที่กล้าแตะต้องป่าวชิง”
เจียงป่าวชิงตีแขนกงจี้เบา ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร นั่นแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของนางที่มีต่อคำพูดของกงจี้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นลูกชายกับลูกสะใภ้ในอนาคตกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ช่างชื่อก็ยิ้มพลางถอนหายใจ ความรู้สึกในอกที่เงียบไปเป็นเวลานานถูกจุดประกายความมุ่งมั่นในการต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
พวกคนรุ่นหลังยังไม่กลัวเลย แต่ผู้อาวุโสอย่างนางกลับห่วงหน้าพะวงหลังจนทำให้สูญเสียปณิธานไปในที่สุด
……
ในเรือนสืออัน กงหว่านยกชาเขียวเข้าไปหนึ่งถ้วย นี่เป็นชาที่นายท่านหญิงตี๋ชอบดื่มที่สุด
นายท่านหญิงตี๋สวมสายรัดหน้าผากไว้บนศีรษะ นั่งพิงอยู่บนแท่นยกสูง ทำท่าทางคล้ายพระอรหันต์และใช้มือค้ำศีรษะไว้อย่างนั้น เมื่อเห็นหลานสาวคลานเข่าเข้ามา นางก็โบกมือด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “ไม่ดื่ม ข้าไม่อยาก”
น้ำเสียงของกงหว่านนุ่มนวล นางพูดกล่อมเสียงเบา “ท่านย่าเจ้าขา ท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ พี่ชายใหญ่ทำไม่ถูกต้อง กลับไปข้าค่อยให้ท่านพ่อตำหนิเขาก็ได้ ท่านย่าต้องดูแลตัวเองสิเจ้าคะ ถ้าหากว่าพี่ชายสองรู้ว่าท่านย่าโกรธเพราะพี่ชายใหญ่ นั่นเท่ากับว่าหว่านเอ๋อร์ไม่ได้ทำตัวกตัญญูต่อท่านย่า แบบนี้พี่ชายสองจะต้องดุว่าข้าเป็นแน่”
พี่ชายสองที่กงหว่านพูดถึงหมายถึงพี่ชายที่เกิดจากแม่เดียวกัน ซึ่งเป็นลูกชายคนโตจากภรรยาคนที่สอง
นายท่านหญิงตี๋ยิ่งรู้สึกไม่สบายมากกว่าเดิม “พวกหลาน ๆ ของข้าต่างก็กตัญญูกันทั้งนั้น แต่ดูพี่ชายใหญ่ของเจ้าแล้วหันกลับมาดูพี่ชายสองของเจ้า ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมาก!”
นายท่านหญิงตี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ กงหว่านจึงยกชาแล้วชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดปลอบ
คำพูดที่กงหว่านพูดปลอบนั้น ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดที่ทำให้หายโมโห ทว่าแต่ละประโยคกลับไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียดว่าปลอบจริง ๆ เกือบทั้งหมดที่นางพูดออกมาต่างก็แฝงความหมายโดยนัยที่ทำให้ท่านย่าของนางยิ่งโกรธกงจี้เสียมากกว่าที่จะหายโกรธ
“เอาล่ะหว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องพูดแทนพี่ชายใหญ่ของเจ้าแล้ว” นายท่านหญิงตี๋พยายามระงับความโกรธ “ถ้าหากว่าเขากตัญญูจริง ๆ ทำไมตอนนี้เขายังไม่มาพบข้า ทำไมยังไม่มาพบท่านย่าของเขาอีกเล่า!”
แต่ทันทีที่พูดจบก็เห็นเย่ชุ่ยเลิกม่านและเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
สำหรับสาวใช้ทั้งสี่คนของคนทั้งหมดที่เรียกว่า เย่ นายท่านหญิงตี๋มีความลำเอียงอยู่มาก โดยเฉพาะกับเย่ชุ่ย นางเป็นลูกบุญธรรมของแม่นมที่หวีผมให้นายท่านหญิงตี๋มากว่ายี่สิบปี และถือได้ว่านายท่านหญิงตี๋เห็นนางเติบโตอยู่ข้างกายตั้งแต่เล็ก ๆ ไมตรีจิตของนายท่านหญิงตี๋ที่มีต่อนางจึงไม่ธรรมดา ต่อมาเย่ชุ่ยได้เข้ามาเป็นคนใช้ในเรือนสืออันอย่างเป็นทางการ นายท่านหญิงตี๋จึงยกลำดับ “เย่” ให้แก่นางโดยตรง นางจึงกลายเป็นสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ในเรือนสืออัน
เมื่อนายท่านหญิงตี๋เห็นว่าเย่ชุ่ยเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา นางก็ถามโดยไม่รู้ตัว “มีอะไรก็พูดสิ จะอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ทำไมล่ะ ?”
เย่ชุ่ยก้มหน้าถอนสายบัว “เจ้าค่ะ ตอบนายท่านหญิง คุณชายใหญ่มาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า…”
เมื่อนายท่านหญิงตี๋ได้ยินว่ากงจี้มาที่นี่แล้ว นางรู้สึกดีใจ แต่เมื่อคิดได้ว่านี่ก็ผ่านไปนานแล้วตั้งแต่พวกคนรับใช้รายงานว่าเขาเข้ามาในจวน หลานอกตัญญูคนนี้ เป็นครั้งแรกที่เขากลับจวนในรอบหลายปีแต่กลับไม่มาพบนางก่อน!
นายท่านหญิงตี๋เคืองอีกครั้ง
กงหว่านเป็นคนคิดไวหัวไว นางรีบพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่เย่ชุ่ยเป็นอะไรไป พี่ชายใหญ่กลับมาก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แล้วทำไมพี่ถึงได้อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้เล่า ?”
เย่ชุ่ยยังคงก้มหน้า “ตอบคุณหนูหว่าน เพราะว่า…” นางลังเลเล็กน้อย
จังหวันนั้นนายท่านหญิงตี๋ที่กำลังโกรธเลือดขึ้นหน้าอยู่ในขณะนี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “มีอะไรก็รีบพูด หรือว่าเจ้ากลัวข้าจะกินหัวเจ้า!”
เย่ชุ่ยรีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่ามิบังอาจอย่างต่อเนื่อง “นายท่านหญิงเป็นคนมีเมตตาและใจดีที่สุด ข้าน้อยจะคิดเช่นนั้นได้ยังไงล่ะเจ้าคะ คือว่า… คือว่า…” เย่ชุ่ยกัดฟันแล้วพูดออกไปหมดหน้าตัก “คือว่าคุณชายใหญ่พาแม่นางคนหนึ่งมาที่นี่ด้วยเจ้าค่ะ”
นี่คือสิ่งที่แม้แต่กงหว่านก็ไม่คาดคิด นางตอบสนองอย่างรวดเร็วและหันกลับไปแสดงความยินดีกับนายท่านหญิงตี๋ “ไอ้ยาท่านย่า! ก่อนหน้านี้ท่านย่ายังบ่นอยู่เลยว่าพี่ชายสองของข้ามีบุตรแล้ว แต่เรื่องแต่งงานของพี่ชายใหญ่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ท่านย่าดูสิว่าพี่ชายใหญ่กตัญญูขนาดไหน กลับมาพบท่านย่าครั้งนี้ก็พาแม่นางคนหนึ่งมาด้วย คิดดูแล้วพี่ชายใหญ่คงอยากให้ท่านย่าได้เจอกับหลานสะใภ้ในอนาคตเจ้าค่ะ”
กงหว่านพูดอย่างรื่นเริง แต่นายท่านหญิงตี๋กลับโกรธจนตัวสั่น นางตะเพิดเสียงดัง “เหลวไหล!”
รอยยิ้มแห่งความสำเร็จฉายวาบอยู่ในดวงตาของกงหว่าน แต่นางกลับแสดงความงุนงงออกมาทางสีหน้าราวกับถูกทำให้ตกใจอย่างไรอย่างนั้น “ท่านย่า เป็นอะไรไปเจ้าคะ ?”
นายท่านหญิงตี๋สูดหายใจเข้าลึก ๆ “หว่านเอ๋อร์เจ้ายังเด็กนัก แต่ก็เป็นสตรีผู้สูงส่งจากตระกูลเก่าแก่เช่นกัน ตระกูลของเรา ครอบครัวไหนแต่งงานต่างก็ต้องผ่านการตัดสินใจจากพ่อแม่และผ่านการแนะนำจากแม่สื่อกันทั้งนั้น มีอย่างที่ไหนที่กำหนดเรื่องการแต่งงานเอาเองเช่นนี้! นี่ยังไม่ทันมีสามตำราหกพิธีการก็พาหญิงที่ไหนไม่รู้กลับมาที่บ้านแล้ว ข้าคิดว่าพี่ชายใหญ่ของเจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาซะมากกว่า!”
กงหว่านใช้มือปิดปากพร้อมทำท่าทางตกใจ “เมื่อสักครู่หว่านเอ๋อร์มัวแต่ดีใจจนลืมว่ายังมีขั้นตอนนี้ด้วย เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ… แต่ท่านย่าอย่าได้ร้อนใจจนเกินไป ถ้าหากว่าหญิงคนนั้นเป็นแค่เมียน้อยล่ะเจ้าคะ ?”
นายท่านหญิงตี๋ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม “เหอะ! พาเมียน้อยมาพบข้ายิ่งเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับข้า! ข้าคิดว่าพี่ชายใหญ่ของเจ้าต้องการทำให้ข้าโกรธจนตาย!”
กงหว่านพยายามพูดกล่อม แต่ก็เหมือนเฉกเช่นเดิม ในคำพูดนางมีแต่คำพูดปลุกปั่นทั้งนั้น นางพูดจนนายท่านหญิงตี๋รู้สึกโกรธจนจะระเบิดก่อนจะเอ่ยสั่งเย่ชุ่ยในตอนท้าย
“เย่ชุ่ย เจ้าไปเอาไม้เท้าหัวมังกรมาให้ข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนหลานอกตัญญูคนนี้!” นายท่านหญิงตี๋ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดออกมา ท่าทางของนางดูดุร้ายอย่างมาก