แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 95 เลี้ยงอาหารเช้า
ตอนที่ 95 เลี้ยงอาหารเช้า
หลินม่ายเดินวนเวียนอยู่รอบเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันซื้อ
เธอขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสดออกมาซื้อเครื่องเรือนพวกนี้โดยเฉพาะ
สิ่งแรกที่เธอทำคือเลือกเฟอร์นิเจอร์คุณภาพธรรมดาทั่วไป รวมถึงโต๊ะและเก้าอี้ที่จำเป็นสำหรับการเปิดร้าน
ในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองมีโต๊ะและเก้าอี้แบบพับได้จำนวนหนึ่งซึ่งถูกคัดออกมาจากร้านอาหารขนาดเล็กที่ดำเนินกิจการโดยรัฐ
ถึงพวกมันจะมีสภาพเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังมีคุณภาพดี แถมยังแข็งแรงพอสมควร
สุดท้ายหลินม่ายก็ซื้อเครื่องเรือนไม้หวงฮวาหลีที่เธอหมายตาไว้ตั้งแต่แรก
ขณะที่หลินม่ายแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายว่าต้องการซื้อเครื่องเรือนไม้หวงฮวาหลี พนักงานขายที่จัดการวางใบเสร็จรับเงินก็ต้องประหลาดใจ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงหน้าตาบ้าน ๆ ที่สวมใส่เสื้อผ้าโทรม ๆ จะมีเงินพอซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงขนาดนี้
พนักงานขายเคาะลูกคิดคำนวณยอดเงินรวมทั้งหมด ก่อนจะพูดว่า “ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยหยวนค่ะ”
หลินม่ายหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วเริ่มนับเงินอย่างละเอียด
จากนั้นก็หันไปพูดกับพนักงานขายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “เงินของฉันขาดไปยี่สิบหยวน ช่วยลดราคาให้ฉันสักยี่สิบหยวนได้ไหมคะ?”
เมื่อครู่นี้ตอนที่เธอถอนเงินออกมา เธอแค่ประมาณไว้คร่าว ๆ เท่านั้นว่าต้องใช้เงินประมาณเท่าไร ไม่คาดคิดว่าจะยังขาดไปส่วนหนึ่ง
พนักงานขายปรายตามองเธอ “ที่นี่เป็นตลาดค้าขายของรัฐนะคะ ไม่มีการต่อรองราคาใด ๆ ทั้งนั้น”
หลินม่ายจึงหันกลับไปเพื่อตัดเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ธรรมดาออกเป็นบางชิ้น แต่แล้วมือเรียวยาวขาวสะอาดข้างหนึ่งก็ยื่นมาหยิบเอาไม้กระดานแผ่นใหญ่สองแผ่นจากมือเธอไป “ผมมีเงินพอจ่ายส่วนต่าง”
หลินม่ายหันขวับไป พอเห็นว่าผู้พูดคือฟางจั๋วหราน ก็ทักทายเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”
ดวงตาของฟางจั๋วหรานเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นราวกับแสงแดดอ่อนในช่วงเดือนมีนาคม “ผมเพิ่งแวะไปที่ร้านของคุณมา ผู้ช่วยในร้านของคุณบอกผมว่าคุณมาที่นี่”
หลินม่ายเอื้อมมือไปรับไม้กระดานแผ่นใหญ่ทั้งสองแผ่นกลับมาจากมือเขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ไว้กลับไปแล้วฉันจะหาเงินมาจ่ายคืนนะคะ”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ถ้าคุณยังมีเงินไม่พอจ่ายคืน งั้นหลังจากนี้ก็เลี้ยงอาหารเช้าผมทุกวันก็แล้วกัน”
หลินม่ายตอบรับ
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีระบบบริการหลังการขาย
ในเมื่อเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์ ก็จะต้องยกเฟอร์นิเจอร์ขึ้นรถแทรกเตอร์ด้วยตัวเอง
หลินม่ายวางแผนว่าช่วยฟางจั๋วหรานจะขนย้ายพวกมันกลับไปที่ร้าน แต่ฟางจั๋วหรานกลับไม่ยอมให้เธอทำงานแบบนี้
เขาหันไปกวักมือเรียกผู้ชายร่างกายแข็งแรงคนหนึ่งที่เดินผ่านมาบนท้องถนน ขอแรงเขาให้ช่วยยกพวกมันขึ้นรถ
หลินม่ายคิดว่าคนอย่างฟางจั๋วหรานที่ทั้งชีวิตถือแต่มีดผ่าตัดคงไม่มีแรงกำลังมากนัก คาดไม่ถึงว่าเขาเองก็แข็งแรงพอตัว
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็ช่วยผู้ชายคนนั้นยกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดขึ้นรถแทรกเตอร์จนครบภายในไม่กี่อึดใจ
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ร้านพร้อมกับฟางจั๋วหราน
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์กลับมาเป็นจำนวนมาก จึงต้องการออกไปช่วย ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าวางมือจากงานที่ทำอยู่เสียทีเดียว ได้แต่นิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง
หลินม่ายบอกว่า “พี่ทำงานตรงหน้าต่อไปเถอะ ปล่อยให้พวกเรายกกันเองก็ได้ เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไม่ได้หนักอะไรมากอยู่แล้ว ต่อให้พี่ไม่มาช่วยพวกเราก็ยกกันเองได้อยู่แล้ว”
คราวนี้เธอขอความช่วยเหลือจากผู้ชายท่าทางแข็งแรงสองคนที่เดินผ่านมาพอดี ให้พวกเขาช่วยยกเฟอร์นิเจอร์ลงจากรถ
ขั้นตอนแรกคือย้ายเฟอร์นิเจอร์ประเภทเครื่องเรือนขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็กางโต๊ะพับแปดตัววางตรงบริเวณหน้าร้านชั้นล่าง ตามด้วยโต๊ะมีลิ้นชักสำหรับคิดเงิน ไม่นานเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่ซื้อมาก็เข้าที่เข้าทาง
หลังจากจ่ายเงินเป็นสินน้ำใจให้กับแรงงานยกของจำเป็นทั้งสองคน เธอก็ส่งพวกเขากลับออกไป หลินม่ายหันไปถามฟางจั๋วหรานว่าเขากินอาหารมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง ถ้ายังจะได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่นี่
ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางตอบกลับ “ตอนผมแวะมาที่ร้านคุณเมื่อเช้า ผมรองท้องด้วยซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มไปแล้วเรียบร้อย”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังกวาดสายตาสำรวจมองไปทั่วร้าน หลินม่ายจึงถามเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณคิดว่าการทาสีผนังแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”
“เปล่า” ฟางจั๋วหรานตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความผิดหวังเล็ก ๆ “เมื่อวานผมบอกว่าจะมาช่วยคุณทำความสะอาดบ้านในวันนี้ ปรากฏว่าคุณทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว…”
หลินม่ายยิ้มกว้าง “เมื่อวานฉันพอมีเวลาว่างค่ะ ก็เลยขอให้นายช่างเขามาช่วยจัดการให้”
ตอนนี้ที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์ครบถ้วนแล้ว เหลือก็แต่กลับไปที่หมู่บ้านซานหยางเพื่อขนย้ายพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงข้าวสาร แป้ง น้ำมัน ไข่ ผักดอง และข้าวของอื่น ๆ มาด้วย
พอโต้วโต้วรู้ว่าหลินม่ายกำลังจะกลับไปที่หมู่บ้านซานหยาง หล่อนก็ร้องขอว่าอยากไปด้วย
ฟางจั๋วหรานเสนอตัวจากด้านข้าง “ผมขอไปด้วยคนสิ”
หลินม่ายปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเล “ไม่ดีหรอกค่ะ ระยะทางจากที่นี่กลับไปที่หมู่บ้านซานหยางค่อนข้างไกล กลัวคุณสูดดมเขม่าควันรถแทรกเตอร์นานเข้าแล้วจะทนไม่ได้เสียก่อน”
“คุณเป็นผู้หญิงคุณยังทนได้เลย แล้วผมที่เป็นผู้ชายจะทนไม่ได้เชียวหรือ?”
ฟางจั๋วหรานปีนขึ้นรถแทรกเตอร์แล้วนั่งลงตรงตำแหน่งคนขับ “ขึ้นมาเร็วเถอะ ย้ายข้าวของให้เสร็จเสียตั้งแต่วันนี้เลย วันพรุ่งนี้คุณจะได้เปิดร้านตามปกติอย่างสบายใจ”
หลินม่ายตกใจ “คุณขับรถแทรกเตอร์เป็นด้วยหรือคะ?”
“เป็นสิ ผมเรียนรู้การขับมันตั้งแต่ตอนที่ผมลงพื้นที่ชนบทเป็นแพทย์อาสา”
ในที่สุด หลินม่ายก็ขึ้นรถแทรกเตอร์ไปพร้อมกับโต้วโต้ว
อาหวงยืนเห่าเสียงดังอยู่ด้านล่าง เป็นเชิงร้องขอว่าอยากติดตามไปด้วย
แต่คราวนี้โต้วโต้วไม่ได้อุ้มมันไปด้วย ทั้งยังกำชับให้มันกลับเข้าไปนอนในครัวตามเดิม
ถึงแม้อาหวงจะไม่พอใจสักเท่าไร แต่มันก็ยอมเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อฟัง
ฟางจั๋วหรานไม่เพียงขับรถแทรกเตอร์เป็นเท่านั้น ฝีมือในการขับของเขาค่อนข้างดี ควบคุมรถได้เสถียรกว่าหลินม่ายเสียอีก
หลินม่ายชำเลืองมองเขา ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะมีความสามารถรอบด้านถึงขั้นทำได้ทุกอย่าง
…
เฉินเฟิงวิ่งออกมาดักรอที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมเจียงอันตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังว่าตัวเองจะได้พบกับหลินม่าย
เขาอดทนรอจนเวลาล่วงเลยไปถึงสิบโมงเช้า เห็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยถีบรถสามล้อมาตั้งแผงขายของหน้าประตูโรงเรียนกันประปราย แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นหลินม่าย
เหลียนเฉียวยืนมองเขาจากที่ไกล ๆ ด้วยสีหน้ามืดมน
หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะผูกพันกับหญิงสาวคนนั้นมากขนาดนี้ ชีวิตเขามีหมื่นบุปผารายล้อมแต่ไร้ซึ่งกลีบดอกติดกาย(1)
ตอนนี้ประตูโรงเรียนปิดไปนานแล้ว ทว่าหญิงสาวผิวคล้ำคนนั้นก็ยังไม่มาขายซาลาเปาเสียที ท้ายที่สุดแล้วเฉินเฟิงจึงจำใจต้องจากไปด้วยความสิ้นหวัง
รถแทรกเตอร์คันหนึ่งขับผ่านเขาไป ชายหนุ่มเพียงเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
หลินม่ายที่นั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์ถูกร่างสูงตระหง่านของฟางจั๋วหรานบังไว้อีกทีหนึ่ง ทำให้ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็นกัน
เมื่อกลุ่มของหลินม่ายเดินทางมาถึงหมู่บ้านซานหยาง ชาวบ้านละแวกนั้นต่างก็ประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายพาชายรูปงามคนหนึ่งกลับมาด้วย
คุณป้าสองสามคนที่เข้ามาช่วยหลินม่ายขนย้ายของ แอบกระซิบถามว่าฟางจั๋วหรานเป็นแฟนหนุ่มของเธอหรือเปล่า
ค่านิยมของยุคสมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ชายหญิงโสดใกล้ชิดกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนนอกจะเข้าใจไปว่าทั้งสองต้องคบหากันอยู่เป็นแน่
หลินม่ายกลัวว่าฟางจั๋วหรานอาจรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินคำพูดของป้า ๆ เหล่านี้ เธอจึงลดระดับเสียงลงแล้วตอบกลับว่า “เราสองคนไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ อย่าคาดเดาส่งเดชเลย”
หลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง เธอก็พูดเสริมอีกสองประโยคด้วยความขมขื่น
“เขาเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ค่ะ แถมยังควบตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์เดียวกันอีกด้วย ต่อให้เขาสายตาสั้นแค่ไหนก็คงไม่ตกหลุมรักฉันแน่ เพราะฉะนั้นเราจะคบหากันได้ยังไงคะ?”
คุณป้าพวกนั้นกลับไม่เชื่อคำพูดของเธอ “ถ้าเขาไม่ได้สนใจจะจีบเธอ แล้วจะตามเธอมาช่วยขนของทำไมกัน?”
การขนย้ายข้าวของไม่เหมือนการที่เขาแวะเวียนมาซื้ออาหาร เพราะถือเป็นงานหนัก
หลินม่ายอธิบายว่า “ฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณปู่และคุณย่าของศาสตราจารย์ฟางเขาน่ะค่ะ ที่เขามาช่วยฉันก็เพราะเห็นแก่คุณปู่กับคุณย่าของเขา”
คุณป้าสองคนได้ยินแบบนั้นก็ถึงบางอ้อ
คุณป้าคนหนึ่งแนะนำเธออย่างใจดี “ศาสตราจารย์ยังไม่แต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเขามีแฟนหรือยังล่ะ? ถ้าเขายังไม่มีแฟน เธอก็รีบคว้าเขาเอาไว้เถอะ อย่าได้พลาดโอกาสแบบนี้เชียว มีผู้ชายดี ๆ ผ่านมาในชีวิตทั้งที เธอจะปล่อยให้เขาผ่านไปไม่ได้!”
คุณป้าอีกคนหนึ่งก็สนับสนุนให้หลินม่ายเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่เช่นเดียวกัน
หลินม่ายได้แต่ยิ้มตอบไปอย่างร่าเริง
เธอเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวมากพอ รู้ดีว่าตัวเองไม่เหมาะสมคู่ควรกับคนที่ดีพร้อมอย่างฟางจั๋วหราน
แต่คำพูดไม่กี่ประโยคของคุณป้าเหล่านี้ก็สมเหตุสมผลดีเหมือนกัน ในเมื่อได้พบเจอผู้ชายดี ๆ ทั้งทีก็ไม่ควรปล่อยให้เขาหลุดมือ มิฉะนั้นโอกาสที่พระเจ้าอุตส่าห์หยิบยื่นให้อาจมีอันหลุดลอยไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงเหลือบมองไปทางฟางจั๋วหรานอย่างพิจารณา
ยิ่งมองนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ารัศมีของเขาเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ ในขณะที่เธอเป็นไม่ได้แม้แต่หิ่งห้อยด้วยซ้ำ…
เป็นความแตกต่างระหว่างเมฆกับโคลนอย่างแท้จริง…
……………………………………………………………………………………………………………………..
เป็นคำอุปมาเพื่ออธิบายว่าผู้ชายอยู่ท่ามกลางผู้หญิงมากมาย มีผู้หญิงหลายคนที่ชอบเขา แต่กลับไม่เคยมีใครมีโอกาสได้สนิทสนมพัวพันกับเขาเลย
สารจากผู้แปล
เรือพี่หมอมาแรงมากเลยค่ะ บังเรืออีกลำไปแล้ว
เริ่มคิดเล่นของสูงแล้วสินะม่ายจื่อ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองใช่ไหมคะ
ไหหม่า(海馬)