แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 675 ความสงสัย
ตอนที่ 675 ความสงสัย
โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “การฝึกฝนพ่อครัวด้านการผสมไส้ไม่ใช่เรื่องยากก็จริง แต่ฉันกลัวว่าสูตรจะรั่วไหลและรสชาติจะผิดเพี้ยนไป แล้วเราจะแก้ปัญหาสองเรื่องนี้ยังไง?”
หลินม่ายก็กังวลเช่นกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวต่อเธอ “ปัญหาสองอย่างนี้แก้ง่ายจะตาย ตอนนี้โรงงานอาหารของคุณใช้เครื่องจักรไม่ใช่เหรอ หากไม่อยากให้สูตรรั่วไหลก็ใช้เครื่องจักรผสมไส้พร้อมกำหนดอัตราส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้รสชาติผิดเพี้ยนสิ แล้วคุณก็ต้องกำหนดสัดส่วนของสูตรออกเป็นหลากหลายรูปแบบ จากนั้นก็แค่ใช้เครื่องจักรผสม โดยเหล่าลูกจ้างของคุณจะมีหน้าที่เพียงบรรจุเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าสูตรจะไม่รั่วไหลโดยง่าย และเครื่องจักรยังปรับอัตราส่วนได้สม่ำเสมอและแม่นยำ รสชาติจึงไม่ผิดเพี้ยน ด้วยวิธีนี้ก็แก้ปัญหาทั้งสองเรื่องได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินม่ายหัวเราะทันที ยกย่องฟางจั๋วเยวี่ยสำหรับความเป็นเลิศและความเฉลียวฉลาด
ฟางจั๋วเยวี่ยมีความสุขเหมือนเด็ก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เขาแอบชำเลืองมองเถาจืออวิ๋น แต่หล่อนยังคงเหมือนเดิมราวกับว่าไม่สนใจการมีอยู่ของเขาเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางจั๋วเยวี่ยค่อย ๆ หายไป ก่อนพูดคุยเรื่องธุรกิจกับหลินม่าย
เขาบอกว่าหากหลินม่ายยังต้องการเครื่องจักรผลิตอาหารอีก เขาจะจัดซื้อให้
เขาได้ค้นคว้าเครื่องจักรผลิตอาหารทั่วสารทิศ ต่อให้เขาจะซื้อชิ้นส่วนและประกอบด้วยมือ ก็สามารถประกอบได้ภายในสามเดือน
หลินม่ายถาม “คุณสามารถหาซื้อชิ้นส่วนทั้งหมดได้เองเหรอ?”
“สิ่งที่หาซื้อไม่ได้ก็สามารถปรับแต่งได้ เครื่องจักรผลิตอาหารไม่ใช่เครื่องจักรระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าส่วนไหนก็ผลิตได้ง่าย”
หลินม่ายพยักหน้า “ตกลง ฉันจะซื้อเครื่องจักรจากคุณในอนาคต แต่คุณต้องรับประกันคุณภาพด้วยนะ ถ้าคุณภาพไม่ดี ฉันก็จะไม่ซื้อ”
“ผมต้องรับประกันคุณภาพอยู่แล้วครับ” ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าว “ผมได้สร้างเครื่องผลิตถุงพลาสติกด้วยมือตัวเอง และเริ่มผลิตถุงพลาสติกขาย ตลาดผัก ร้านขนมอบ และร้านปิ้งย่างของคุณล้วนใช้ถุงพลาสติกของผมตอนนี้
หลินม่ายชื่นชมเขามาก
ครั้งนั้นในฮ่องกง เขาเพียงมองไปเครื่องผลิตถุงพลาสติกโดยที่ไม่ได้เห็นพิมพ์เขียวด้วยซ้ำ แต่กลับประดิษฐ์มันได้จนสำเร็จเมื่อเดินทางกลับมา
หลินม่ายขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยช่วยสร้างเครื่องจักรสำหรับผลิตชามสำเร็จรูปและถ้วยสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้ง
หากมีชามและถ้วยแบบใช้แล้วทิ้ง ลูกค้าก็สามารถซื้ออาหารกลับบ้านได้ ทั้งร้านซาลาเปาและร้านปิ้งย่างของเธอจะทำธุรกิจได้ดีขึ้น
ในยุคนี้ แผ่นดินใหญ่ยังไม่มีเครื่องจักรสำหรับผลิตถ้วยสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้ง แต่ที่ฮ่องกงมีอยู่แล้ว
เฉินเฟิงสามารถทำพิมพ์เขียวของเครื่องจักรสำหรับผลิตถ้วยสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้งในฮ่องกงให้ฟางจั๋วเยวี่ยได้ เพื่อให้เขาจะได้นำไปเป็นแบบในการประดิษฐ์เครื่องจักร
งานเลี้ยงใช้เวลาไม่นานนัก เริ่มตอนหกโมงเย็นและสิ้นสุดก่อนสองทุ่ม
ฟางจั๋วหรานกลายเป็นสามีที่ดีตลอดเวลา หลินม่ายลุกขึ้นและสวมผ้าคลุมไหล่ขนแกะผืนบางที่เถาจืออวิ๋นทอให้กับเธอ
ทั้งสองอำลาเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ ก่อนจะจากไป ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งเมาเล็กน้อยเดินตามพวกเขาพลางพึมพำ “พี่สะใภ้ พวกคุณไม่ต้องการผมอีกแล้ว”
หลินม่ายมองไปยังเถาจืออวิ๋นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเธอยังคงไร้เดียงสา
หลินม่ายเตะฟางจั๋วเยวี่ย “อย่าพูดเหมือนกับว่าฉันไม่ต้องการคุณ คุณเป็นน้องชายของสามีฉัน เมื่อแต่งงานกันแล้วก็ถือว่าเราเป็นพี่น้องกัน”
ฟางจั๋วหรานตบหัวฟางจั๋วเยวี่ย “อย่าทำเป็นพูดอะไรบ้า ๆ นะ!”
ฟางจั๋วเยวี่ยเม้มปาก เถาจืออวิ๋นไม่ชายตามแลเขา แถมพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขายังปฏิบัติต่อเขาแบบนี้อีก ช่างน่าสมเพชเสียจริง
เมื่อมาถึงบ้าน หลินม่ายกลับไปที่ห้องหลังจากอาบน้ำ ฟางจั๋วหรานชี้ไปยังชามซุปนกพิราบใส่พุทราแดงบนโต๊ะเครื่องแป้งและบอกให้เธอดื่มในขณะที่ยังร้อนอยู่
หลังจากที่หลินม่ายดื่มซุปนกพิราบใส่พุทราแดงเสร็จ เขาก็ถามด้วยความสงสัย “คุณบอกว่าซุปนกพิราบเติมพลังให้ฉันไม่ใช่เหรอ? วันนี้เราไม่ได้ทำอะไรเลยและฉันไม่เหนื่อย ทำไมถึงให้ฉันกินล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างมาดร้าย “คุณกำลังจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ใช้พลังงานมาก เราจึงต้องวางแผนล่วงหน้าและเตรียมการให้ดีก่อน”
หลังจากนั้นเขาก็กอดหลินม่ายจากด้านหลัง
หลังจากนั้นบรรยากาศก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หลินม่ายก็เหงื่อไหลท่วมตัวและหมดแรง
ฟางจั๋วหรานอุ้มเธอไปอาบน้ำ ใส่ชุดนอน วางเธอลงบนเตียงแล้วคลุมด้วยผ้านวม
หลินม่ายหมดแรงจนหลับไปด้วยความสะลึมสะลือ
แต่เธอไม่ได้ผล็อยหลับไปอย่างสมบูรณ์ และยังคงจ้องมองฟางจั๋วหราน
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับมาที่ห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็รู้สึกได้ทันที
เห็นเขาเดินมาหา หลินม่ายก็ลุกขึ้นจากเตียงเหมือนนกที่ตื่นตระหนก และพูดด้วยความตกใจ “อย่าเข้ามานะ!”
เธอเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำสิ่งใดอีก เพียงต้องการนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของฟางจั๋วหราน “คุณเคยบอกว่าไม่กลัวไม่ว่าจะยังไงไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ถึงยอมแพ้เสียแล้วล่ะ?”
เขาก้าวขึ้นเตียง ยัดหลินม่ายลงในผ้านวมแล้วพูดอย่างแผ่วเบา “นอนเถอะ ผมจะไม่แตะตัวคุณ”
“อย่าแตะต้องตัวฉันได้ไหม?” หลินม่ายตะคอกอย่างเย็นชา “ใครบอกว่าจะจบในชั่วโมงเดียว ลมปากของผู้ชายล้วนโกหกทั้งเพ”
แต่คราวนี้ฟางจั๋วหรานไม่ได้โกหกหลินม่าย ทั้งสองนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนและไม่ตื่นเลยจนกระทั่งแปดโมงเช้าของวันถัดไป
หลังจากตื่นนอน เธอรีบกินอาหารเช้าและส่งเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ ไปยังสนามบินพร้อมกับฟางจั๋วหราน
หลังจากกลับจากสนามบิน หลินม่ายโทรหาเฉินเฟิงอีกครั้ง และเคอจื่อฉิงก็เป็นผู้รับสาย
หลินม่ายถามหล่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เคอจื่อฉิงบอกว่าตนและทารกในครรภ์สบายดี
หลินม่ายถามถึงเฉินเฟิงว่าเขากลับบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่
เคอจื่อฉิงแทะแอปเปิ้ลที่เฉินเฟิงปอกให้เธอ “เขากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่แหละ อยากคุยกับเขาไหม ฉันจะให้คุย”
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงของเฉินเฟิงก็ดังมาจากโทรศัพท์ “มีอะไรเหรอ?”
หลินม่ายถามถึงความคืบหน้าของทั้งสองโครงการเป็นอันดับแรก
เฉินเฟิงกล่าวว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เมื่อมีเขาเป็นหัวหน้างาน ผู้รับเหมาทั้งสองรายก็ไม่กล้าที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยม
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจ
ฮ่องกงในทศวรรษที่ 1980 วุ่นวายและสถานการณ์ทุกอย่างก็ซับซ้อนมาก เธอกลัวว่าเฉินเฟิง มังกรพลัดถิ่นผู้ยิ่งใหญ่จะไม่สามารถเอาชนะงูเจ้าที่ได้
หลินม่ายขอให้เฉินเฟิงหาพิมพ์เขียวสำหรับเครื่องจักรผลิตชามสำเร็จรูปให้กับฟางจั๋วเยวี่ยและกำลังจะวางสายโทรศัพท์
จู่ ๆเฉินเฟิงก็จำบางอย่างได้และเอ่ยขึ้น “เธอขอให้ฉันศึกษาตลาดหุ้นฮ่องกง และฉันก็ศึกษาอย่างระมัดระวังมากมาโดยตลอด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหุ้นฮ่องกงทั้งหมดพุ่งขึ้น หุ้นสองตัวที่เธอซื้อพุ่งขึ้นมากที่สุด เธออยากจะขายมันไหม?”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “รอดูอีกสักระยะหนึ่งน่าจะสูงขึ้นอีก และจะถึงจุดสูงสุดประมาณวันปีใหม่ จะคุ้มทุนที่สุดสำหรับเราที่จะขายในเวลานั้น จำไว้ว่าต้องโทรหาฉันทุก ๆ สองสามวันเพื่อรายงานสถานการณ์”
เฉินเฟิงตอบรับ
ฟางจั๋วหรานซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ มองหลินม่ายด้วยความสับสน แต่เธอไม่ได้สังเกต
หลังจากวางสาย ทั้งคู่ก็ออกไปด้วยกัน
ตามประเพณี วันนี้เป็นวันที่ลูกสาวต้องกลับบ้านหลังจากแต่งงาน
เขาและภรรยาไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของขวัญก่อนกลับบ้าน
ระหว่างทางไปห้างสรรพสินค้า ฟางจั๋วหรานมองไปยังหลินม่ายหลายครั้งขณะขับรถ
หลินม่ายรู้สึกงุนงง “มีอะไรติดหน้าฉันหรือเปล่าคะ?”
เธอหยิบกระจกออกจากกระเป๋าแล้วส่องดู ใบหน้าของเธอสะอาดสะอ้าน และไม่มีสิ่งใดติดอยู่เลย
จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “คุณมองอะไร?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “ผมกำลังสงสัยว่าคุณกลับชาติมาเกิดใหม่จริง ๆ เหรอ?”
จู่ ๆ หัวใจของหลินม่ายก็เต้นระรัว เป็นไปได้ไหมว่าเธอเผลอเปิดเผยความลับในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งกระตุ้นความสงสัยของฟางจั๋วหราน?
แม้ว่าใจของเธอจะปั่นป่วน แต่ใบหน้าของหลินม่ายก็ยังคงเฉยเมย “การศึกษาวัตถุนิยมที่ได้รับมาตั้งแต่เด็กทำให้คุณสามารถนึกถึงสิ่งที่ไร้สาระเช่นการเกิดใหม่ได้สินะคะ”
ฟางจั๋วหรานส่ายหัว “ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเง แต่หลินเพ่ยเป็นคนพูด”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้หลินม่ายก็ไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอถามอย่างใจเย็น “ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรคะ?”
“หล่อนบอกว่าคุณเป็นคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่เหมือนหล่อน”
หลินม่ายพลันตระหนักได้
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเพ่ยถึงรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของตระกูลไป๋และปลอมตัวเป็นเธอ
การเกิดใหม่จึงเป็นคำอธิบายที่เรียบง่ายสำหรับทุกอย่าง
หล่อนรู้ทั้งหมดนี้เพราะความทรงจำของชีวิตที่แล้ว
นี่เป็นการพิสูจน์ว่าครอบครัวหลินรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำร้ายเธอ
นอกจากนี้ยังพิสูจน์ได้ว่าเธอและไป๋ซวงถูกหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาจงใจสลับตัวอย่างมุ่งร้าย
น่าเสียดายที่ไม่มีพยานหรือหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาเป็นผู้สลับตัวเธอกับไป๋ซวงอย่างจงใจ จึงเป็นการยากที่จะลงโทษพวกเขาตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกตัดสินจำคุกสี่ปีในข้อหาลักทรัพย์และขโมยทรัพย์สินของตระกูลไป๋ ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา
หลินม่ายคิดว่าตั้งแต่หลินเพ่ยเกิดใหม่ หล่อนน่าจะใช้ประโยชน์จากการเกิดใหม่เพื่อสร้างปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้พูดเป็นเวลานาน ฟางจั๋วหรานก็ขมวดคิ้วถาม “คุณเป็นอะไรไป?”
หลินม่ายกลับมามีสติ “ฉันกำลังนึกถึงคำกล่าวคำนึงค่ะ หากต้องการทำลายใคร ก็ต้องทำให้คนผู้นั้นบ้าคลั่งจนเสียสติ หลินเพ่ยกำลังจะตายในอีกไม่นานไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถึงยังพูดอะไรไร้สาระอยู่อีก!”
ฟางจั๋วหรานคิดถึงบทสนทนาระหว่างหลินม่ายและเฉินเฟิงในตอนนี้
เธอไม่เข้าใจเรื่องหุ้น แต่หุ้นสองตัวที่เธอซื้อกับพุ่งสูงเหนือกว่าหุ้นอื่น และดูเหมือนว่าเธอจะรู้การขึ้นและลงของหุ้นเป็นอย่างดี
เธอกลับชาติมาเกิดใหม่จริงหรือ?
ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ ๆ ไม่มีเหตุผลใดอธิบายเรื่องนี้ได้ดีกว่านี้แล้ว
หากเธอไม่ต้องการพูด เขาก็เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
การที่คนเราจะเก็บบางอย่างไว้เป็นความลับก็ไม่ใช่เรื่องผิด ตราบใดที่ความลับนั้นไม่ทำร้ายผู้ใด
เขายิ้มและพยักหน้า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล”
จากนั้นหลินม่ายก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอไม่แผ่วเลยน้า พอได้กินครั้งแรกก็เอาใหญ่เลย
ไหหม่า(海馬)