แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 440 สาวสวยแปลกหน้า
ตอนที่ 440 สาวสวยแปลกหน้า
หลังจากสรุปทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับการขยายฐานการผลิตแบรนด์ไป๋เหอกับเหรินเป่าจูเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ออกไปตามหาเถาจืออวิ๋นเพื่อนัดหมายการเดินทาง
เมื่อเดินออกจากสำนักงาน เธอเห็นเถาจืออวิ๋นกำลังเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกับขวดบรรจุน้ำต้มสุกสองขวดในมือ
หลินม่ายวิ่งตรงไปสองก้าวเพื่อไล่ตามอีกฝ่าย ก่อนจะคว้าขวดน้ำต้มสุกมาจากมือหล่อน
เถาจืออวิ๋นตกตะลึง พอหันกลับมาแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายคือหลินม่าย สีหน้าก็สงบลงทันที “ตกใจหมดเลย…”
หลินม่ายกวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “พี่มัวแต่คิดกังวลอะไรอยู่กันนะ? ถึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของฉัน”
“ฉันได้ยินเสียงฝีเท้า แต่แค่ไม่นึกว่าจะเป็นเธอ นับประสาอะไรกับคนที่มาแย่งขวดไปจากมือฉันโดยไม่พูดอะไรสักคำ”
“นั่นสินะ” หลินม่ายเลิกตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ “พี่เถา ฉันมีธุระอยากให้พี่ช่วยหน่อย”
เถาจืออวิ๋นเกลี่ยปอยผมไปทัดหูให้เรียบร้อย “ธุระอะไร?”
“ไปทำงานนอกสถานที่”
เถาจืออวิ๋นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง พูดด้วยความสงสัย “ทำไมเธอถึงมอบหมายงานนอกสถานที่ให้ฉันล่ะ? เธอก็รู้ว่าฉันมีลูกที่ต้องดูแล”
หลินม่ายอธิบายเหตุผลที่ตัวเองมอบหมายให้อีกฝ่ายไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ในครั้งนี้ แล้วพูดต่อ “แต่จริง ๆ แล้วฉันก็ลังเลนิดหน่อยว่าควรให้พี่ไปดีไหม”
“เพราะฉีฉีหรือเปล่า ฉันพาเขาไปฝากให้พ่อแม่ดูแลชั่วคราวสักสองสามวันก็ได้ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย” เถาจืออวิ๋นยอมไปทำงานนอกสถานที่ หลังจากได้ฟังเหตุผลของหลินม่าย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่หลินม่ายไว้ใจหล่อน ฉะนั้นหล่อนต้องทำตาม
“ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก” หลินม่ายส่ายหน้า “ต่อให้พ่อแม่พี่จะไม่มีเวลาดูแลฉีฉี แต่พี่ยังมีฉันอยู่ทั้งคน สามารถช่วยพี่ดูแลเขาได้”
เถาจืออวิ๋นเริ่มสับสน “ในเมื่อเป็นแบบนั้น แล้วเธอลังเลเรื่องอะไรล่ะ?”
หลินม่ายดูลังเลที่จะพูดออกมาตามตรง
หลังจากเงียบไปนาน ก็ยอมพูดออกมา “ฉันเป็นห่วงสภาพจิตใจของพี่…”
เถาจืออวิ๋นยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “สภาพจิตใจฉัน? หมายความว่ายังไง?”
“พี่เอาแต่เหม่อลอยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ไม่รู้ตัวหรือไง…”
เถาจืออวิ๋นตกตะลึง “หรือเป็นเพราะตอนที่พวกเรากำลังประชุมงานกัน เธอถามฉัน แต่ฉันไม่สนใจฟังเลยไม่ได้ตอบ?”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ยังมีอีกหลายเหตุการณ์เลยล่ะ”
เถาจืออวิ๋นยิ้มอ่อน “เพราะเหตุการณ์ทั้งหมด เธอเลยคิดว่าฉันสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสินะ?”
หลินม่ายพยักหน้า
เถาจืออวิ๋นถอนหายใจเบา ๆ “บอกตามตรงว่าฉันไม่มีสติจริง ๆ แต่เรื่องทั้งหมดก็มีสาเหตุมาจากแม่ของฉันเองเนี่ยแหละ”
หลินม่ายถามด้วยความเป็นห่วง “คุณป้าทำไมเหรอ?”
ทั้งสองพูดคุยกันไปด้วย เดินเคียงกันเข้าไปที่ห้องครัว จ่อปากขวดไว้ใต้กาน้ำร้อนเพื่อกรอกน้ำ
เถาจืออวิ๋นพูดพลางทอดถอนใจ “แม่ฉันเอาแต่แนะนำคนนั้นคนนี้ให้ฉันรู้จัก แถมยังบังคับให้ฉันไปเดตด้วย”
“พี่ไม่อยากไปสินะ? งั้นก็ลองคุยกับคุณป้าตามตรงดูสิ คุณป้าคงไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอก”
เถาจืออวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ “แม่ฉันไร้เหตุผลเฉพาะเรื่องนี้ซะด้วยสิ ทุกครั้งที่เห็นหน้าฉัน พวกเขามักจะผลัดกันขายของสารพัด บอกว่าผู้ชายคนนั้นเก่งแค่ไหน เพียบพร้อมยังไง แล้วก็ยืนกรานจะให้ฉันออกไปเดตกับเขาให้ได้ เรื่องพวกนี้ทำให้ฉันกดดันมาก”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองไปคุยกับคุณป้าให้ ว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งบังคับให้พี่ไปออกเดตได้ไหม?”
เถาจืออวิ๋นรีบปฏิเสธ “อย่าเลย! ฉันกลัวว่าแม่จะโกรธเอา…”
หลินม่ายถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
นี่แหละหนอพ่อแม่สไตล์จีน ชอบจัดแจงทุกอย่างให้ลูกเสมอ
เถาจืออวิ๋นตบไหล่เธอเบา ๆ “เอาน่า ไม่ต้องห่วงฉัน รอให้ฉันได้ไปทำงานนอกสถานที่ก่อน จะได้พักผ่อนหย่อนใจซะเลย ป่านนั้นฉันคงอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันจะจัดแผนการเดินทางให้พี่หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์”
หลังจากที่กรอกน้ำต้มสุกใส่ขวดครบสองขวดแล้ว พวกเธอก็หันกลับพร้อมกับขวดน้ำในมือ บังเอิญเจอกับทังชุ่นอิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับโถกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่
พอหลินม่ายเห็นก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง “ทำไมถึงเอาโถกระเบื้องเคลือบมากรอกน้ำล่ะ? ในสำนักงานไม่มีน้ำต้มสุกอยู่เลยเหรอ?”
ปกติแล้วถ้าน้ำต้มสุกในสำนักงานหมด จะไม่มีใครเอาภาชนะส่วนตัวของตัวเองมาที่ห้องครัวเพื่อกรอกน้ำ
แต่จะกรอกน้ำต้มสุกโดยใช้ขวดน้ำธรรมดาเหมือนที่เถาจืออวิ๋นทำ ไม่อย่างนั้นจะดูเห็นแก่ตัวเกินไป
ในสำนักงานยังมีน้ำต้มสุกอยู่แท้ ๆ แต่ทังชุ่นอิงกลับออกมากรอกน้ำด้วยตัวเอง นี่ค่อนข้างจะแปลกไปหน่อย
ทังชุ่นอิงยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติ “ในสำนักงานยังมีน้ำอยู่ค่ะ แต่ฉันแค่อยากออกมาผ่อนคลายเฉย ๆ นึกไม่ถึงว่าจะถูกผู้จัดการหลินจับได้ซะแล้ว”
หลินม่ายไม่พูดอะไรต่อ ถึงอย่างนั้นก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเถาจืออวิ๋น
ทังชุ่นอิงลอบผ่อนลมหายใจออกลับหลัง
หลังจากส่งเถาจืออวิ๋นเอาขวดน้ำไปวางไว้ในสำนักงานแล้ว หลินม่ายก็คว้ากระเป๋า ออกจากโรงงานตัดเสื้อ แล้วไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้ออาหารเสริมให้กับวิศวกรเจิ้ง
ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ ชายสูงวัยอย่างเขากลับต้องมาทำงานหนัก เธอจึงต้องซื้อของขวัญไปฝากเขาเพื่อเป็นการแสดงความใส่ใจ
….
เฉินเฟิงขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับถึงไซต์งานก่อสร้างนานแล้ว
ในไซต์งาน คนงานก่อสร้างต่างทำงานกันอย่างเต็มที่
ถึงแม้คุณเจิ้งจะอายุมากแล้ว แต่เขาก็ยินดีเดินลาดตระเวนดูงานด้วยตัวเอง โดยมีสหายน้องชายคนหนึ่งคอยติดตามดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
เฉินเฟิงพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอยู่นาน เพื่อให้คุณเจิ้งกลับเข้าไปพักผ่อนในสถานที่ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ แต่อีกฝ่ายยอมเข้าไปพักแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก่อนจะออกจากไซต์งานไป
เฉินเฟิงยังคงตรวจสอบงานต่อ
เขาไม่ใช่วิศวกรมืออาชีพ ไม่สามารถแนะนำคนงานได้ว่าควรสร้างสะพานยกระดับอย่างไร
แต่เขาสามารถสอดส่องดูแลคนงานไม่ให้ทำงานหย่อนยานหรือกระทำการฉ้อโกงได้
เขาเดินวนอยู่ภายในไซต์งานได้ประมาณสิบห้านาที ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินมาบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตามหาเขา
ลูกน้องคนนี้จึงให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งรอในห้องทำงานของเฉินเฟิงภายในไซต์งานก่อสร้าง
เฉินเฟิงสงสัย “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
ตั้งแต่เขาได้รู้จักกับหลินม่าย เขาก็ห่างเหินจากการเป็นหนี้ดอกท้อ(1)มานานแล้ว งั้นผู้หญิงที่มาหาเขาเป็นใครกัน?
สหายน้องชายเกาศีรษะแล้วตอบว่า “ผมก็ไม่รู้จักหล่อนเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยนะครับ เหมือนเป็นชาวต่างชาติ อายุประมาณสามสิบเศษ”
เฉินเฟิงก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
เขาไม่ชอบสาวรุ่นพี่ แถมยังไม่เคยเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอายุประมาณสามสิบมาก่อน ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่?
เขาเดินกลับไปที่ห้องทำงาน ผลักประตูเปิดเข้าไป ทันใดนั้นก็รู้สึกชาวาบราวกับถูกใครบางคนมาแตะโดนจุดฝังเข็ม ท่าทางนิ่งอึ้งตะลึงงัน จ้องมองผู้หญิงที่อยู่ในห้องด้วยความไม่เชื่อสายตา
ผู้หญิงคนนี้สวยจริงอย่างที่สหายน้องชายของเขาบอก สวยมาก สวยเหมือนผู้หญิงต่างชาติ
มีแค่เฉินเฟิงที่รู้ดีว่าหล่อนไม่ได้อายุแค่สามสิบ แต่อายุสี่สิบเศษแล้ว อาจเป็นผลพวงจากการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหล่อนมีชีวิตที่สุขสบายและร่ำรวยขนาดไหน
ผู้หญิงคนนั้นนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก สายตาเหม่อมองไปยังโต๊ะตรงหน้าที่มีสภาพเก่าและทรุดโทรม ไม่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องทำงานถูกผลักเข้ามา หล่อนจึงหันหน้าไปมองตามสัญชาตญาณ
ทันทีที่เห็นว่าเป็นเฉินเฟิง ดวงตาของผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ น้ำตาค่อย ๆ รินไหลลงมาเป็นสาย
หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างช้า ๆ ท่าทางตื่นเต้นแต่ยังแฝงไปด้วยความกระดากอาย พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “อาเฟิง…”
เฉินเฟิงเพิ่งจะได้สติคืนกลับมาจากความประหลาดใจ แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะปิดประตูลง
แล้วถามอย่างประชดประชันว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่? มาดูว่าผมตายหรือยังงั้นเหรอ?”
สาวสวยวัยกลางคนน้ำตาไหลทันที “อาเฟิง ลูกพูดแบบนี้กับแม่ของตัวเองได้ยังไง ตอนนั้นแม่ไม่มีทางเลือกอื่น”
เฉินเฟิงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่างเถอะ เรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมันจบไปนานแล้ว ผมเลิกสนนานแล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด คุณกลับไปเถอะ”
น้ำตาของแม่เฉินล้นทะลักราวกับแม่น้ำที่เอ่อล้นตลิ่ง “อาเฟิง แม่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายพันไมล์ ยอมฝ่าความลำบากทุกรูปแบบเพื่อมาหาลูก ลูกจะไล่แม่ไปง่าย ๆ เชียวเหรอ?”
เฉินเฟิงตอบกลับอย่างเย็นชา “ผมขอให้คุณมาตามหาผมหรือไง? หรือคุณคิดว่าการที่ตัวเองยอมถ่อสังขารมาถึงนี่ จะทำให้ผมยอมรับคุณได้? ตอนที่คุณทิ้งผมไปแต่งงานใหม่ที่ต่างประเทศ คุณไม่เคยถามผมสักคำว่าผมโอเคไหม ตอนนี้กลับมาตามหาผม ทำไมไม่ถามผมบ้างว่าผมอยากเจอหน้าคุณหรือเปล่า?”
จากนั้นเขาก็หยุดสาธยาย “ผมขอโทษจริง ๆ ผมไม่ใช่เด็กสามสี่ขวบในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว ผม…โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
แม่เฉินพูดเสียงเศร้า “ลูกโกรธแม่ใช่ไหม?”
ใบหน้าของเฉินเฟิงเย็นยะเยือกลงทุกขณะ เขาไม่คิดว่าแม่ของตัวเองเป็นสาวสวยอีกต่อไป มองเห็นเพียงความน่าเกลียด
ตอนนั้นหล่อนทอดทิ้งเขา ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือที่เขาจะโกรธหล่อน!
ทำไมต้องมาตีหน้าเศร้าแบบนี้ด้วย?
ทำไมต้องมาตีหน้าเศร้าใส่เขาแบบนี้!
……………………………………………………………………………………………………………….
หนี้ดอกท้อ หมายถึง ความผิดในการให้ความหวัง หรือการหลอกให้คนอื่นมารัก
สารจากผู้แปล
มีผู้ต้องสงสัยสองคนในบริษัทของเธออะม่ายจื่อ หาทางอุดรอยรั่วนี่เร็วเข้า ไม่งั้นจะโดนคู่แข่งตีป้อมแตกนะ
แม่เฉินเฟิงเหรอนั่น แล้วก่อนหน้านี้ใครเลี้ยงเฉินเฟิงจนโต?
ไหหม่า(海馬)