แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1180 หญิงชราที่แปลกประหลาด
ตอนที่ 1180 หญิงชราที่แปลกประหลาด
ครอบครัวของจ้าวเชี่ยนหรูนั่งรถไฟกลับไปเมืองหลวงหนึ่งวันหลังจากงานแต่ง เนื่องจากพวกทนอากาศหนาวขนาดนี้ไม่ไหวจริง ๆ
ด้วยการชักชวนของพ่อไป๋ หลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็ได้อยู่จนถึงวันหยุดเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ
ในวันที่หกของปีใหม่ทางจันทรคติ เมื่อพวกเขาเดินทางกลับไปเมืองเจียงเฉิง ไป๋เซี่ยกับภรรยาก็ตามมาส่งด้วย
ระหว่างทาง เด็กชายคนหนึ่งขี่จักรยานชนเข้ากับแผงขายเกี๊ยวยัดไส้ริมถนน ทำให้เครื่องปรุงและสิ่งของทั้งหมดหล่นกระจายลงกับพื้น
นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเจ้าของร้านแผงลอยริมถนน
เถ้าแก่เนี้ยจับเด็กชายไว้และขอให้เขาจ่ายเงินชดเชย
เด็กชายกังวลมากจนแทบจะร้องไห้ เพราะเขาไม่มีเงิน
มู่ตงเดินไปวางธนบัตรใบใหญ่ในมือเถ้าแก่เนี้ยและพูดว่า “ปล่อยน้องชายคนนี้ไปเถอะครับ”
ตั่วตั่วหันกลับมาเรียกมู่ตง ก่อนที่เขาจะวิ่งตามครอบครัว
เถ้าแก่เนี้ยแข็งค้างอยู่ที่เดิมหลายนาที โดยยังถือธนบัตรในมือ
ทำไมเด็กคนนั้นถึงดูเหมือนเขามากขนาดนี้?
เมื่อหล่อนตั้งสติได้และไล่ตามไป หล่อนก็เห็นแผ่นหลังที่ดูคุ้นเคย
ผู้หญิงคนนั้นตะโกนอย่างตื่นเต้น “จั๋วหราน ฟางจั๋วหราน!”
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนของหล่อนถูกกลบด้วยเสียงรอบข้าง ร่างของชายหนุ่มที่หล่อนพยายามไล่ตามก็จมหายไปอย่างรวดเร็วในทะเลผู้คน
หลังกลับจากมณฑลกานซูและผ่านเดือนแรกของจันทรคติ หลินม่ายก็รับเจ้าหน้าที่หลายคนจากกรมพัฒนาการท่องเที่ยวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และมุ่งหน้าไปยังแกรนด์แคนยอน
เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รับการแต่งตั้งจากรองผู้ว่าราชการต้วน เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากหมู่บ้านใกล้แกรนด์แคนยอนและคุ้นเคยกับภูมิประเทศของแกรนด์แคนยอนเป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีเขาร่วมทางด้วย เขายังสามารถทำงานเชิงอุดมการณ์ให้กับชาวบ้านในท้องถิ่นได้ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาจุดชมวิว
ระหว่างทาง หลินม่ายถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสถานการณ์ของแกรนด์แคนยอน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ภูมิประเทศของแกรนด์แคนยอนสูงชันและไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย
ในช่วงสงคราม ผู้คนกลุ่มหนึ่งจากนอกภูเขาหนีไปที่แกรนด์แคนยอนและตั้งหลักแหล่ง ตั้งแต่คนไม่กี่สิบคนไปจนถึงหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีคนมากกว่าร้อยคน ทุกคนทำงานตอนพระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนตอนพระอาทิตย์ตก
เมื่อรถอยู่ห่างจากแกรนด์แคนยอนประมาณ 20 กิโลเมตร ถนนทุกสายล้วนขรุขระจนรถไม่สามารถขับต่อไปได้
ตอนนี้มืดแล้ว พวกเขาจึงพักอยู่ร่วมกับคนในพื้นที่และเตรียมที่จะเดินไปยังแกรนด์แคนยอนในวันพรุ่งนี้
หัวหน้าครอบครัวที่หลินม่ายอาศัยอยู่คือคุณลุงชื่อถานเหยียนชิง เขาพูดภาษาจีนกลางได้ แม้จะติดสำเนียงท้องถิ่น แต่ก็ยังเข้าใจคำพูดของเขาอยู่
ทั้งครอบครัวตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่าหลินม่ายมาตรวจสอบและต้องการพื้นที่ท่องเที่ยว
พวกเขาได้ยินเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐบาลส่งมาโฆษณาชวนเชื่อว่า หากพื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว พวกเขาคงจะมีงานทำมากมาย
แม้ว่าผู้สูงอายุจะหางานทำไม่ได้ แต่บ้านไหนบ้างที่จะไม่มีคนหนุ่มสาว?
หากคนหนุ่มสาวในครอบครัวมีงานทำ ชีวิตก็จะดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ยังได้ยินจากผู้ปฏิบัติงานเหล่านั้นด้วยว่าหากพัฒนาเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวตราบใดที่มีรายได้ คนในท้องถิ่นก็จะได้รับเงินปันผลเช่นกัน
นี่เป็นความโชคดีที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง
ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงปฏิบัติต่อหลินม่ายราวกับว่าเธอเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง พวกเขากระตือรือร้นมากจนแทบจะเสนอตัวให้เธอ
พวกเขาดูแลเธอด้วยอาหารอร่อยทุกอย่างที่สามารถหาได้จากที่บ้าน
คนทั้งหมดกำลังกินข้าวเย็นและพูดคุยกัน
คุณปู่ถานถามหลินม่ายอย่างกระตือรือร้นว่า พื้นที่อยู่อาศัยของพวกเขาจะสามารถพัฒนากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เมื่อใด
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “หมู่บ้านของคุณไม่มีลักษณะเฉพาะ และไม่สามารถกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้”
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของชายชรา หลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริม “แต่แกรนด์แคนยอนที่อยู่ด้านหน้าสามารถกลายเป็นจุดชมวิวได้นะคะ หมู่บ้านของคุณอยู่ใกล้กับแกรนด์แคนยอนมาก ดังนั้นจึงสามารถได้รับประโยชน์จากการขายงานหัตถกรรมหรืออาหารประจำชาติพันธุ์เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านสามารถหางานทำในพื้นที่ท่องเที่ยวนี้ได้ด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งครอบครัวก็รู้สึกหดหู่และท้อแท้
คุณย่าถานโบกตะเกียบในมือ “ที่จริงนั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่คนในหมู่บ้านหุบเขาคงจะไม่เห็นด้วยที่จะพัฒนาที่ดินของตนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเราไม่มีทางได้รับประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว”
หลินม่ายพยายามค้นหาเรื่องราวทั้งหมด “ทำไมล่ะคะ?”
คุณปู่ถานส่ายหัว “เราไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน รู้แค่ว่าผู้คนในหมู่บ้านหุบเขาอยู่อย่างสันโดษ และแทบไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย บางครั้งเราผ่านหมู่บ้านของพวกเขาขณะออกล่าสัตว์ แต่พวกเขาไม่ยอมให้เราผ่าน และบังคับให้เราใช้เส้นทางเลี่ยง”
หลินม่ายกินอาหารพลางไตร่ตรอง “หมู่บ้านในหุบเขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ?”
“เปล่าหรอก” หญิงชราส่ายหัวและพูดว่า “มันเพิ่งเป็นแบบนี้ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ฉันเคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากหมู่บ้านนั้น แต่ตอนนี้เหมือนว่าพวกเขาจะแยกตัวอยู่อย่างสันโดษ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินม่ายกผง็็เกิดความสงสัยในใจ
วันรุ่งขึ้น หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่บ้านชาวบ้าน หลินม่ายและคนอื่น ๆ เริ่มเดินป่าไปยังแกรนด์แคนยอน โดยต่างแบกเป้ใบใหญ่คนละใบ
ในบรรดาห้าคนนั้น หลินม่ายมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมากที่สุด แม้แต่คนท้องถิ่นในเมืองก็ไม่แข็งแกร่งเท่าเธอ พวกเขาออกเดินทางได้ไม่ไกล ก่อนที่จะต้องหยุดพักเป็นระยะ
หลังจากเดินและหยุดแบบนี้จนพระอาทิตย์ตก ทุกคนก็พบกับทางเข้าหมู่บ้านหุบเขาในที่สุด
ครั้นถึงเวลาอาหารเย็น ควันขาวจากการปรุงอาหารในหมู่บ้านควบคู่ไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นภาพฉากที่ตราตรึงใจ
แต่ในเวลานี้ทุกคนต่างหิวโหยและไม่มีใครมีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ดังกล่าว
เมื่อมองดูควันจากหมู่บ้านหุบเขา ทุกคนก็ตื่นเต้นมากและคิดว่าจะได้รับประทานอาหารเย็นเร็ว ๆ นี้
ทุกคนกินอาหารแห้งในตอนเที่ยง ซึ่งไม่ค่อยอิ่มท้องนัก
ทั้งสี่คนที่เดินช้ากว่าหลินม่ายก่อนหน้านี้ พลันเดินผ่านเธอไปอย่างมีความสุขขณะตรงไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล จู่ ๆ เสียงของหญิงชราดังขึ้นอย่างเย็นชา “พวกคุณเป็นใคร?”
ทุกคนหันไปทางเสียงนั้นทันที ก่อนเห็นหญิงชราคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายสีดำและกางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมถนน
หญิงชรามองหลินม่ายและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา
เสียงทักกะทันหันและรูปลักษณ์แปลกประหลาดของหญิงชราทำให้ทุกคนตกใจ
ในสภาพแวดล้อมที่โล่งเตียน เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงชราคนนี้โผล่มาจากที่ไหน
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นชื่อต๋าเฮ่อเดินไปหาและพูดกับหญิงชราด้วยรอยยิ้ม “คุณยาย จำผมได้ไหมครับ?”
หญิงชราจ้องมองเขาอยู่นานท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังตกดิน แล้วพูดว่า “คุณใช่คนที่มาเยี่ยมหมู่บ้านของเราเพื่อส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์เมื่อสองเดือนก่อนหรือเปล่า?”
เมื่อหลินม่ายได้ยินสิ่งนี้ เธอขมวดคิ้วและมองที่หญิงชราอย่างใจเย็น
แม้ว่าหญิงชราจะอายุมากและผิวพรรณคล้ำ แต่ก็ไม่ได้ผ่ายผอม
ถึงเสื้อผ้าจะทำจากผ้าทอหยาบที่ทำเอง แต่ก็ไม่ได้มีรอยปะเลย
สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของความยากจนโดยรวมของเขตปกครองตนเองเอินซือ แม้แต่เขตเมืองเอง ผู้คนก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรือมีผิวพรรณที่ดีเท่าหญิงชราคนนี้
เห็นได้ชัดว่าหญิงชรามีอาหารและเสื้อผ้าสวมใส่เพียงพอ แต่ทำไมถึงยังต้องการรับสิ่งของบรรเทาทุกข์อีก?
หญิงชราคนนี้อาจเป็นกรณีพิเศษ บางทีส่วนที่เหลือในหมู่บ้านยังคงยากจนมากก็ได้?
ในเมื่อยากจนมาก ทำไมถึงไม่ปล่อยให้เธอพัฒนาแกรนด์แคนยอนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวล่ะ?
หลินม่ายเต็มไปด้วยคำถามในหัว
เมื่อเห็นว่าหญิงชราจำเขาได้ ต๋าเฮ่อจึงพูดอย่างตื่นเต้น “ผมเองครับ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลินม่าย “นี่คือสหายหลินม่ายซึ่งเป็นผู้ประกอบการเอกชน เธอต้องการพัฒนาแกรนด์แคนยอนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและทำให้ผู้คนในหมู่บ้านร่ำรวยขึ้น โปรดให้เราเข้าไปในแกรนด์แคนยอนเพื่อตรวจสอบด้วยเถอะ”
หญิงชรามีใบหน้าที่เย็นชา “”เราแค่อยากมีชีวิตที่สงบสุข มันไม่สำคัญว่าจะรวยหรือไม่ เชิญพวกคุณกลับไปเถอะ”
หลินม่ายพูด “ฉันต้องการพบกับหัวหน้าหมู่บ้านของคุณและพูดคุยด้วย ได้ไหมคะ?”
เมื่อเห็นว่าหญิงชรายังคงเงียบ ต๋าเฮ่อช่วยโน้มน้าวจากด้านข้าง “คุณยาย โปรดให้คุณหลินไปพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน คุณไม่สามารถดูแลกิจการของหมู่บ้านได้”
หญิงชรายังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังและนำทางไป
กลุ่มคนเดินตามเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนที่หลินม่ายจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในทันที
……………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคณะของม่ายจื่อหรือเปล่านะ ดูไม่น่าวางใจเลย
ไหหม่า(海馬)