แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 199 หลังจากนี้อีกร้อยปี
ณ เผ่ามังกร เมื่อเอ๋าเลี่ยลืมตาขึ้นเนื้อตัวก็ตลบไปด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้คนพบเห็นต้องนับถือ
“ดวงใจมังกรทั้งหมดหลอมรวมแล้ว สายเลือดในตัวของข้ากลับไปบริสุทธิ์แล้วถึงเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนที่จะค่อยๆกลมกลืนตามไป ได้เวลาที่ไปหานังหนูแล้ว” เอ๋าเลี่ยพึมพำกับตนเอง อีกอย่างวันที่เขาจะรับวิบากสวรรค์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในอีก 100 ปีจากนี้ นั่นหมายความว่านังหนูจะบรรลุเป็นเซียนในอีก 100 ปี วาสนาของเขาไม่เลว เลือกเจ้านายได้ดีจริง ๆ
“ท่านปรมาจารย์ ในที่สุดท่านก็ออกฌาน โลกมารเปิดสงครามกับดินแดนอื่น คู่พันธสัญญาของท่านอยู่ที่แนวหน้า ท่านจะตามไปหรือไม่” เอ๋าป๋อเหวินมองดูปรมารจารย์ที่เพิ่งออกฌาณอย่างภาคภูมิใจ
“ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เอ๋าเลี่ยเป็นคู่พันธสัญญา ย่อมสัมผัสได้ว่าคู่พันธสัญญาของตัวเองตอนนี้กำลังเที่ยวเล่นอย่างรื่นเริง ดูแล้วตอนนี้คงยังไม่มีอันตรายมากนัก
“มีขอรับ สกุลหลงแจ้งข่าวมาว่าต้องหามังกรและหงส์มงคล เรื่องนี้ข้าไม่รู้ว่าจะส่งใครไปจริงๆ” ใบหน้าเอ๋าป๋อเหวินอมทุกข์ พวกเขาอสูรเทพต่างก็เป็นสัตว์มงคลแต่หากจะต้องรับมือกับอสูรร้าย อาจจะต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้นมา ถ้ามงคลเพียงเล็กน้อยอาจจะไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องการ
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิด พวกเจ้าปกป้องเผ่ามังกรให้ดีก็พอ ข้าไปล่ะ” เอ๋าเลี่ยพูดจบแล้วจากไป
“ทำไมถึงรู้สึกว่าพลังของท่านปรมาจารย์มีมากกว่าเดิม ไม่สิทั้งๆที่ไม่มีพลังอำนาจอะไร แต่กลับทำให้หวาดกลัวจนตัวสั่นระริก” เอ๋าป๋อเหวินรู้สึกละม้ายว่าท่านปรมาจารย์ของเขาดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
ณ เผ่ากิเลน จื่อฉีก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นทำให้คนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ราวแค่เพียงสบตาแล้วความลับทั้งหมดก็จะโดนอ่านจนปรุโปร่ง
“เนตรกิเลนหลอมรวมแล้ว ดีเหลือเกินจะได้ช่วยท่านพี่อีกแรง อีกอย่างยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรของนางสูงขึ้นก็ยิ่งทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของข้าสูงขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้อีก 100 ปี ข้าก็จะบรรลุเป็นเซียนได้แล้ว” จื่อฉีพูดกับตัวเอง ตนเองน่าจะเป็นกิเลนที่โชคดีที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว
“จื่อฉี เจ้าออกฌานแล้ว ก็ควรไปช่วยคู่พันธสัญญาของเจ้า ตอนนี้นางอยู่ที่แนวหน้า” เยี่ยฉีมองหลานชายที่เพิ่งออกจากฌาน มักรู้สึกว่ากลิ่นอายหลานชายเบาบาง ล่อยลอยสัมผัสไม่ได้ อีกทั้งเยี่ยฉีพบว่าตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหลานชายตนเอง เหมือนว่ามีความลับใดก็ล้วนถูกอ่านจนปรุโปร่ง แต่พอมองอีกที ก็กลับมาเป็นปกติ
“เดิมข้าก็ตั้งใจจะไปหานางอยู่แล้ว ท่านลุง ข้าขอตัว” จื่อฉีกล่าวลาเยี่ยฉี ดูเหมือนไม่ได้ขยับ แต่หายวับจนไม่เหลือเงา
“พระเจ้า หลานชายของข้าคนนี้พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงไหนกันแน่” เยี่ยฉีตกตะลึงเหลือเชื่อ
จู่ๆที่หอดารากรก็สั่นสะเทือน เฟิ่งอิงเสวี่ยพุ่งออกจากร่างหนานกงเวิ่นเทียน กลิ่นอายที่เยือกเย็นก็เด่นชัดมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา หลังจากสุดเสียงร้องของหงส์ หงส์เหมันต์กลายร่างเป็นหญิงสาวที่เย็นชา จนราวกับล่องหน
“ตอนนี้ดวงใจหงส์ได้ผสานสนิทแล้ว สายเลือดได้กลับไปบริสุทธิ์ เวิ่นเทียน เจ้าควรจะตื่นได้แล้ว” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดขณะมองหนานกงเวิ่นเทียน อนึ่งนางก็รู้สึกได้ว่า ตนเองจะบรรลุเป็นเซียนในอีก 100 ปีข้างหน้าและเมื่อเป็นเช่นนั้นเวิ่นเทียนก็จะบรรลุเป็นเซียนเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงเลยว่านางกับเวิ่นเทียนจะมีวาสนาต่อกันในชาติที่แล้ว นางถูกลิขิตให้เป็นคู่พันธสัญญาของเวิ่นเทียน
หนานกงเวิ่นเทียนมาถึงจุดสำคัญ จนตัวเองกลายเป็นน้ำแข็ง และจากระลอกกลิ่นอายที่หลั่งไหลออกมาจนในที่สุดทะลุหน้าต่างกระดาษ กลิ่นอายระเบิดออกมาอย่างรุนแรง แล้วค่อยๆหายไป
“ในที่สุดก็อยู่ในช่วงมหายานแล้วใช่ไหม” หนานกงเวิ่นเทียนลืมตา ในที่สุดเขาก็จะได้ไปหานังหนูของเขาสักที
“เวิ่นเทียน”
“อิงเสวี่ย ข้าว่ากลิ่นอายของเจ้าไม่อาจคาดเดาได้เลย” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่ากลิ่นอายของเฟิ่งอิงเสวี่ยดูลึกลับเล็กน้อย
“100 ปีจากนี้จะบรรลุเป็นเซียน” อิงเสวี่ยกล่าวพลางพยักหน้า
“ดีจริง ๆ อิงเสวี่ย ข้าจะไปหานังหนูแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนแสดงตัวว่าตอนนี้เขาพอจะทำอะไรเพื่อหลิวหลีได้บ้าง ต่อให้แค่ช่วยนี่นั่นเล็กน้อยก็ยังดี
“ข้าก็จะไปด้วย” อิงเสวี่ยเองก็บอกว่านางน่าจะพอช่วยได้เช่นกัน
“สหายหนานกง ปู่ทวดของข้าบอกไว้ หากเจ้าออกฌานแล้วก็ไปหาสหายหลงเถอะ” เสียงของตวนมู่เหยาลอยเข้ามา
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสตวนมู่ เวิ่นเทียนจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” หนานกงเวิ่นเทียนขอบคุณผู้อาวุโสท่านนี้ เพราะอย่างไรก็ช่วยให้เขาได้รู้ว่าคนที่ให้ความอบอุ่นกับเขาในชาตินี้และชาติก่อนคือคนๆเดียวกัน
“ปู่ทวด พวกเขาไปกันแล้วขอรับ” ตวนมู่เหยารายงาน
“อืม ดาวมังกรกับดาวหงส์ร่วมมือกัน น่าจะสามารถต้านไว้ได้อีกสักระยะ” ชายชราเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า
“ปู่ทวด ท่านจะต้องรักษาสุขภาพ หอเทียนจีเก๋อจำเป็นต้องมีท่าน” ตวนมู่เหยารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของปู่ทวดตนเองขึ้นมาน้อยๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ปู่รู้ ไม่เป็นไร” ผู้เฒ่าส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
ณ บริเวณชายแดนของทั้งสองดินแดน หลังจากผ่านการรบมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มชินชา มีทั้งคนบาดเจ็บล้มตาย พิการ หือกระทั่งพลังเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมายจริง ๆ
หลิวหลีรู้สึกตนเองแก่ตัวลงมาก มันก็ใช่ อายุนางก็ตั้งร้อยกว่าปี หากไม่ให้รู้สึกแก่ก็คงจะไม่สมกับอายุตนเอง แต่เรื่องที่ชวนยินดีก็คือหลายปีมานี้ ในที่สุดหลงหลิวหลีก็ประดิษฐ์ระเบิดที่นางพอใจออกมาได้สักที นางตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า ระเบิดอัสนีเพลิง ส่วนพลังทำลายล้างของมันน่ะหรือ โลกมารหยุดอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ไปไหนอยู่หลายปี ก็เพราะประสิทธิภาพจากระเบิดอัสนีเพลิงของหลิวหลี เพียงแต่หลิวหลีทำระเบิดอัสนีเพลิงไม่มาก นางคิดว่าของเช่นนี้ทำลายธรรมชาติจึงไม่อยากจะใช้เยอะนัก ไม่แม้แต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในการทำระเบิด นางลงมือจัดการเองทั้งหมด ท่านลุงมาขอวิธีการทำระเบิดจากนางยังโดนนางปฏิเสธ
“เฮ้อ แก่แล้ว” หลิวหลีตะโกนเสียงดัง
“กล้าบอกว่าตัวเองแก่ต่อหน้าคนแก่ จะให้คนแก่อย่างข้าลงโลงไปเลยไหม” ทันทีที่มาถึงเอ๋าเลี่ยก็ได้ยินประโยคเช่นนี้พอดี เขาตบหัวหลิวหลีอย่างไม่เกรงใจ
“อาเลี่ย” หลิวหลีนึกไม่ถึงเลยว่าสหายของนางจะมา
“ท่านพี่ไม่แก่เลยสักนิด”
“จื่อฉี” นึกไม่ถึงว่าจื่อฉีก็ออกจากฌานแล้วเช่นกัน
“เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เจ้าจะแก่จนเดินไม่ไหว อย่างไรข้าก็จะแต่งกับเจ้า”
“เสี่ยวเทียน” ตอนนี้หลิวหลีตื้นตันใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าหนานกงเวิ่นเทียนก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“นังหนู ข้าปล่อยให้เจ้ารอนานเลย” ในแววตาหนานกงเวิ่นเทียนในตอนนี้เต็มไปด้วยความผูกพันแน่นแฟ้น นี่คือเด็กสาวที่ปกป้องเขามาถึงสองชาติด้วยกัน
“หึหึ เจ้าหนุ่มสกุลหนานกง ถ้าท่านลุงใหญ่ของเจ้ามาได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เขาคงโมโหควันออกหูแน่” เอ๋าเลี่ยทันได้ยินหนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าจะแต่งเข้าบ้านสกุลหลง
“เดิมข้าเป็นดาวหงส์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งกับดาวมังกรอยู่วันยันค่ำ ดังนั้นข้าจะแต่งเข้าสกุลหลงก็ไม่เห็นเป็นอะไร” หนานกงเวิ่นเทียนพบว่าตนเองไม่สนใจเรื่องจะแต่งเข้าหรือออก เหตุเพราะนางเป็นคนรักของเขาถึงสองภพสองชาติแล้ว ภายหน้าก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปอยู่ดี เขาจึงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น นังหนูของเขาไม่มีทางทำให้เขาลำบากใจอยู่แล้ว
“ข้าจะออกแบบชุดแต่งงานที่สวยที่สุดและแต่งออกอย่างสง่าผ่าเผย” หลิวหลีกำมือแล้วพูดขึ้น
“เรื่องนี้เราไว้คุยทีหลังก็ยังได้ ต้องผ่านวิบากกรรมตรงหน้านี้ไปให้ได้ถึงจะเป็นเรื่องที่ต้องทำ” เอ๋าเลี่ยเหน็บแนมขณะมองคู่รักตรงหน้า
“มันก็จริง” นั่นยิ่งทำให้หลิวหลีไม่ชอบขี้หน้าเยี่ยซิงหวงมากขึ้นไปอีก เขาขัดขวางงานแต่งของนาง หรือนางจะไปลอบฆ่าเขาเสียในโลกมาร
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นังหนู ร้อยปีจากนี้ข้าก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว” เอ๋าเลี่ยบอกข่าวนี้กับหลิวหลี
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ท่านก็จะบรรลุเป็นเซียนเหมือนกันหรือ” จื่อฉีพูดด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ จื่อฉี เจ้าเองก็ด้วยหรือ” เอ๋าเลี่ยก็ถามอย่างประหลาดใจเช่นกัน
“บังเอิญจริง ๆ อิงเสวี่ยก็จะบรรลุเป็นเซียนแล้วเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“แล้วจื่อฉีจะบรรลุเป็นเซียนเมื่อไหร่” หลิวหลีถามอย่างใคร่รู้
“เหมือนกับท่านอาเอ๋าเลี่ย อีก 100 ปีข้างหน้า” จื่อฉีเดาเล่นอย่าบอกนะว่า พร้อมกันอีกแล้ว
“อิงเสวี่ยล่ะ” หลิวหลีถามอย่างสนใจ
“อีก 100 ปีข้างหน้าเช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ทำไมบังเอิญขนาดนี้
“แปลกจริงๆ ทำไมพวกเจ้าสามคน จะบรรลุเป็นเซียนในอีก 100 ปีข้างหน้ากันหมดเลย” หลิวหลีสงสัย อีก 100 ปีข้างหน้าเป็นวันดีอะไรหรือ ทำไมทุกคนถึงจะบรรลุเป็นเซียนในตอนนั้นกันหมด
“ไม่แน่ใจหนอก แต่ก่อนนี้ข้าไม่อาจสัมผัสถึงวิบากสวรรค์ได้ แต่ตอนนี้ข้าสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน” เอ๋าเลี่ยก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้
“ช่างเถอะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้แล้วกัน พวกเจ้าจะได้บรรลุเป็นเซียนนั่นแปลว่าวิบากกรรมครั้งนี้พวกเราจะต้องชนะแน่” หลิวหลีเห็นว่าในเมื่อทุกคนจะได้บรรลุเป็นเซียนย่อมแปลว่าจะต้องชนะศึกครั้งนี้แน่นอน
“นังหนู ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยถาม
“จะว่าอย่างไรดีล่ะ รู้สึกเหมือนโลกมาร ไม่ใช่สิ น่าจะต้องบอกว่าเหมือนเยี่ยซิงหวงกำลังเตรียมการใหญ่อยู่ แต่จะเป็นอะไรนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญเพียรของเราหลายคนลักลอบเข้าไปจากนั้นก็หายตัวไป” หลิวหลีถอนหายใจ นางเองก็เคยคิดจะเข้าไป แต่น่าเสียดายที่ทุกคนไม่ยอม
“เยี่ยซิงหวงคิดจะทำอะไรกันแน่” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเยี่ยซิงหวง แม้จะไม่อยากย้อนกลับไปคิดเรื่องในอดีต แต่เขาก็ควานหาความทรงจำในอดีต แล้วจู่ๆเขาก็นึกอะไรออก
“ค่ายกลปีศาจกลืนนภา เยี่ยซิงหวงกำลังรอเวลา เขาจะอาศัยช่วงสุริยุปราคาเพื่อเปิดค่ายกลปีศาจกลืนนภา และทำลายโลกใบนี้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ค่ายกลปีศาจกลืนนภา” หลิวหลีพึมพำ ฟังชื่อแล้วไม่น่าจะเป็นค่ายกลที่ดี
“ใช่แล้ว เยี่ยซิงหวงกำลังถ่วงเวลา เขาจำเป็นต้องท่องไปทั่วโลกบำเพ็ญเพียรเพื่อสะสมร่างพลังหยินมาเป็นธงค่ายกล พวกเขาจะพกหินมารรัตติกาลเอาไว้ ทันทีที่เกิดสุริยุปราคาก็จะสามารถเปิดค่ายกลได้ พอถึงตอนนั้นทั้งหมดก็ยากจะย้อนกลับจนก่อให้เกิดหายนะต่อสรรพชีวิต” หนานกงเวิ่นเทียนหัวเสีย ตอนนั้นเขาก็รับหน้าที่เป็นหนึ่งในธงค่ายกล
“เสี่ยวเทียน เจ้าเก่งมาก เรื่องแบบนี้เจ้าก็ยังรู้เรื่อง” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยความนับถือ
หนานกงเวิ่นเทียนไม่ตอบอะไร เขาควรจะพูดอะไร หรือว่าการที่หอเทียนจีเก๋อให้เขาใช้หินย้อนเวลาดูเรื่องราวในชาติก่อน ก็เพื่อจะได้รู้แผนการชั่วร้ายล่วงหน้าและวางแผนแก้ไขหรือ อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าหอเทียนจีเก๋อช่างโหดร้ายจริงๆ ทำอย่างไรดี
…………………