ตึก ตึก ตึก แซค แซค ตึก
“ เราเดินกันมา ก ก กี่วันแล้วล่ะครับท่านเพนเท ค ค แคกๆ ”
“ น น นั้นสิคะ มานาของดิชั้นจะหายหมดแล้ว อีกแค่ติ่งเดียวก็จะได้ไปดินแดน…อ่าห์ ”
“ ด เดี๋ยวนะ!! นี้ยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ!! ”
“ “ เอ๋!!! ” ”
เวลาผ่านไปเกือบจะครบวันนับตั้งแต่เดินลงมาจากเขา เพนเทกับเทเสล่าและหน่วยพิเศษก็สามารถพาร่างของมาร์ออกจากจุดอันตรายอย่างรอบๆเขตที่กองทัพจอมมารมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้จะหยุดเดินแล้วยังคงเดินต่อไปในป่าทึบโดยยิ่งเข้าใกล้ชายฝั่งมากเท่าไหร่ ก็สามารถมองเห็นควันไฟจากสงครามได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ มากันสักที เห้อ… ทุกคน!! หยุด!! ”
ทว่าเพนเทที่เดินนำอยู่ก็ได้สั่งให้ทุกคนหยุด ก่อนที่ไม่นานเสียงบางอย่างจะดังขึ้น เสียงของเครื่องจักรกลจำนวนมากที่มุ่งตรงมายังพวกเขา ซึ่งนั้นก็เป็นสัญญาที่ดีจนทำให้พนักงานหลายคนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าต่างพากันนั่งลงพักด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้า
บรื้นนนนนนนนนนนนนนน
และไม่นานนัก เครื่องจักรกลจำนวนมาก็ปรากฎตัวในสายตาของเพนเท ยานเกราะ 8 ล้อสีขาวติดปืนกลหนักที่มีตราประทับของยูโทเปียที่ข้างตัวรถ พวกมันวิ่งกันมาเป็นขบวนโดยคันนำหน้าสุดติดตั้งธงสีแดงที่มีตราม้าสีขาวอยู่ตรงกลาง แล้วบนหลังคาของรถนั้นเองก็มีกล้องที่กำลังหมุนวนไปมา
ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ กริ๊ก กรืดดด….!!
“ โอยยย ทางนี้ ทางนี้!! ดูระบบจีพีเอสบ้างซี่ โธ่!! ”
เพนเทที่เห็นก็เดินออกไปพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ และนั้นก็ทำให้กล้องที่หมุนอยู่ด้านบนหันมาจับจ้องเธออยู่ชั่วครู่ก่อนที่ขบวนนั้นจะเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็วโดยที่เพนเทยังไม่ได้จะเตรียมตัวอะไร รถหุ้มเกราะพวกนั้นก็มาตั้งขบวนจอดกันอยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมกับเปิดประตูท้ายส่งทหารของยูโทเปียออกมาคุ้มกันพื้นที่ทันที
ครืดดดดด กึง
“ นายท่านคะ!! นายท่าน!! หน่วยยานเกราะที่ 13 รายงานตัว… อึก ตรงนั้น! ”
และก็มีคันหนึ่งที่มาจอดตรงหน้าของเธออย่างพอเหมาะ รถหุ้มเกราะสีขาวที่ไม่ได้ติดปืนกลแต่ติดตั้งถังบรรทุกน้ำมันไว้บนหลังคา หญิงสาวผิวขาว ผมหางม้ายาวสีน้ำเงินเข้มเธอมีดวงตาสีดำนัยต์ตาสีแดงก่ำ และสวมชุดรัดรูปสีดำที่มีแผ่นเกราะเหล็กสีเดียวกับชุด ชาลี เมดน้องใหม่สุดของพี่น้องเมด เธอวิ่งออกมาจากประตูด้านหลังของรถหุ้มเกราะนี้ด้วย พร้อมทั้งยังจูงหลอดแก้วลอยได้ขนาดใหญ่ลงมาด้วย
“ ไหนๆ ไหนๆ อ๊ะ!! จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะฮะ! ”
นอกจากชาลีแล้วก็ยังมีหญิงสาวผิวสีเข้มผมสีเงินสลับดำเรืองแสงอย่างผิดปกติ เธอใส่ชุดรัดรูปที่มีสายยางใสบรรจุของเหลวหลากสีระโยงระยางมากมาย ดวงตาของเธอเบิกกว้างและใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแปลกๆ เธอคือหมอหลวง หมออาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยสาขาชีวะวิทยา และมันสมองด้านการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดของพี่น้องข้ารับใช้ เอเนอา เธอที่เห็นเป้าหมายก็วิ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าร่างของนายท่านที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนพนักงานจากหน่วยพิเศษนายหนึ่ง
“ ค ค ครับ! ท่านเอเนอามีอะไร.. อึก ”
จี่…..
“ ช ช เชิญครับผม!! ”
เธอมองหน้าเขา ทำให้ตัวพนักงานหนุ่มนั้นหน้าซีดแล้วคุกเข่าลงก้มหน้าประเคนร่างของมาร์ให้ในทันที เอเนอาเองไม่ได้พูดอะไรแล้วก็รับร่างของนายท่านด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะหันหลังกลับแล้ววิ่งอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในตอนที่วิ่งอยู่นั้นทุกคนก็เห็นได้เลยว่าในท่อใสที่บรรจุของเหลวสีฟ้า มันกำลังระเหยออกจากท่ออย่างรวดเร็ว
“ ด ด เดี๋ยวก่อนเอเนอา จ จ จะแบก…อุ๊บ ”
“ น่าๆ ดูนั้นก่อนสิเทเสล่า ลืมแล้วอ๋อว่าเอเนอาน่ะถึกทนทานที่สุดในหมู่พวกเราน่ะ ”
เทเสล่าที่เห็นก็ไม่รอช้าที่จะฝืนร่างที่ใกล้หมดแรงเข้าไปเตือนเอเนอาถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถจะฆ่าเธอได้ แต่ว่าเพนเทก็ห้ามเอาไว้เสียก่อนพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเอเนอาที่น่าควรจพหมอบเป็นซากไปแล้วจากการเคลื่อนย้ายร่างของมาร์ด้วยความเร็วขนาดนี้ ทว่าเธอกลับไม่เป็นเช่นั้น เอเนอาไม่ได้ออกอาการอะไรทางสีหน้าเลย สิ่งเดียวที่พอจะเห็นได้ก็คือยิ่งไปไกลจากจุดรับเท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆแค่นั้น
“ หวังว่าตัว Prototype จะทำงานไม่ติดอะไรนะฮะ ”
แกรก
“ หึบบบบบบ ”
กึง กริ๊ก
อย่างไรก็ตามเอเนอาก็มาถึงยังหลอดแก้วที่ขนออกมาจากรถหุ้มเกราะได้ แล้วเปิดมันก่อนจะค่อยๆนำร่างของนายท่านบรรจุใส่เข้าไปในหลอดก่อนที่จะปิดฝาพร้อมกับกดปุ่มเปิดการทำงาน ทำให้ภายในหลอดนั้นค่อยๆมีของเหลวสีฟ้าเอ่อล้นขึ้นมาครอบคลุมร่างของมาร์เอาไว้ แล้วยกร่างของเขาขึ้นให้ลอยอยู่ในของเหลวสีฟ้าที่ใจกลางของหลอด
“ อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่สิทุกอย่างมันปกติเกินไปแล้วนะฮะ นี้สินะฮะทำไมถึงไม่ยอมมาตรวจร่างกายประจำปี ร่างกายขนาดนี้…ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย?!? ไม่สิ ไม่มีทางหรอก มันก็แค่เรื่องในตำนานนี่น่า แต่ร่างกายสมบูรณ์ขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังหลับแบบนี้ได้กันนะฮะ เคมีในสมอง หึยย ถ้าผ่าได้ล่ะก็… แต่นั้นนายท่านนะฮะ!! ”
เอเนอายังคงดูอาการของมาร์ผ่านจอแสดงผลที่ติดตั้งอยู่ข้างๆหลอด มันบอกถึงอัตราการเต้นของชีพจร ความดัน ปริมาณอ็อกซิเจน และปริมาณเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรียที่ปรากฎบนตัวของมาร์ เธอมองดูอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าแล้วก็หันไปมองเทเสล่าที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆเพนเทด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า
“ เทเสล่ามาช่วยกันหน่อยสิฮะ!! อาการของนายท่านตอนนี้แค่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กับการแพทย์มันไม่พอนะฮะ ”
“ อ อ อื้อออ เข้าใจแล้วววว ”
พอโดนบอกแบบนั้นเทเสล่าก็ตอบรับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะค่อยๆเดินลากสังขารตรงไปยังรถหุ้มเกราะนั้น ส่วนสาเหตุที่ให้เทเสล่าขึ้นมาด้วยก็เพราะเทเสล่ามีความรู้เรื่องพวกนี้มากที่สุด ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ปัญหาได้เร็วกว่าการติดต่อถามเอาผ่านระบบสื่อสารของพวกเธอ
ตึก ตึก
“ อ่าาาา ด ด ดินสอ ก กระดาษ ว ว ว แว่น… ”
แกรกๆ ครืดด ครืดด
เทเสล่าพอเข้ามาในรถได้แล้วก็เดินมานั่งหมดแรงที่ข้างๆหลอดเก็บร่างของนายท่าน แล้วสายตาของเธอก็จับตามองดูมีดที่ยังแทงคาร่างของมาร์อย่างใกล้ชิด ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเอามสุดจดกับปากกาจากในเสืิ้อ เพื่อมาจดรายระเอียดทั้งหมดของมีดนั้น ไม่ว่าจะอักขระ รูปลักษณ์ หรือแม้แต่สภาพผิวของวัตถุเอง
[ เทเสล่าเนี้ย ต่อให้เหนื่อยยังไงพอเป็นเรื่องของนายท่านแล้ว ก็ฝืนตลอดเลยเนอะ ]
ทว่าทางด้านของเพนเท เธอที่เห็นเทเสล่าเดินขึ้นไปแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาชาลีที่ยังยืนอยู่ด้านหลังของรถซึ่งตัวของเธอก็กำลังทำหน้าตรวจดูและคุ้มกันการเข้าออกรถหุ้มเกราะที่ใช้ขนร่างของนายท่าน อย่างไรก็ตามพอเพนเทเข้ามาใกล้ ชาลีก็ได้แต่ตัวสั่นก่อนจะพยายามจะเบือนสายตาหนี
“ นี้ยังหลอนจากตอนนั้นอยู่อีกอ๋อ? ”
“ ก ก็ นิดหน่อยน่ะค่ะท่านพี่เพนเท… น น นิดหน่อย ”
ชาลีได้แต่ตอบกลับอย่างตัวสั่น ในหัวของเธอนั้นยังคงจำได้อย่างดีถึงห้องสีขาวที่ใช้ทรมานเธอจนทำให้ดวงตาแห่งปัญญาของเธอเปิดออก และในห้องนั้นนอกจากสีขาวของกำแพงแล้วก็มีบางอย่างที่มักจะปรากฎตัวขึ้นเสมอ หมอกที่มาพร้อมกับรอยยิ้มและความเจ็บปวด เพนเท พี่สาวผู้พาเธอมาสู่ชีวิตใหม่นี้ ดังนั้นทุกครั้งที่เธอได้พบกับเพนเทแบบเป็นๆ ตัวต่อตัว ชาลีก็จะเกิดอาการกลัวแปลกๆแบบนี้ขึ้นมาเสมอ
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
ทว่าจู่ๆเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น มันไม่ได้ดังมาจากที่เดียวแต่มันดังมาจากอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับเมดทั้ง 4 คนในที่แห่งนี้ หน้ากากของเพนเทและเทเสล่า ปลอกคอที่เอเนอาใส่เอาไว้และกำไลของชาลี โดยแต่ละคนก็ตอบรับสัญญาณเตือนนั้นตามแบบของตนเอง เพนเทกับเทเสล่าใส่หน้ากาก เอเนอาแตะปลอกคอของตนเอง ส่วนชาลีก็ยกแขนที่สวมกำไลขึ้นมาไว้ตรงหน้าของตนเอง
“ แจ้งถึงทั้ง 4 คน อีกราวๆ 5 ถึง 10 นาที ท่านพี่หญิงเคนโทรจะไปถึงแล้วเข้าทำการสมทบพร้อมกับนำหน่วยต่อไปเจ้าค่ะ ”
คนที่ส่งสัญญาณนั้นมาก็คือทิเรีย เธอมองทั้ง 4 คนที่รับสายด้วยใบหน้านิ่งเฉยจนคล้ายกับภาพนิ่งจนน่ากลัว แต่ว่าเธอก็มองดูอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไร้ความรู้สึก ซึ่งสิ่งที่เธอพูดก็ทำให้เพนเท กับเทเสล่าพยักหน้าราวกับว่านี้เป็นเรื่องปกติ ส่วนเอเนอาอันนี้ไม่ได้สนใจเลยแล้วเอาแต่มองดูจอแสดงผลบนหลอดแก้วอยู่
“ ขอโทษนะคะท่านพี่ทิเรีย แต่ว่าการที่จู่ๆให้ท่านพี่เคนโทรเข้าร่วมแบบนี้มันจะไม่ทำให้แผนช้าลงจากกำหนดหรือเปล่าคะ? ไม่สิ แผนจะไม่เปลี่ยนแบบกระทันหันเกินไปอย่างงั้นเหรอเจ้าคะ?!? ”
แต่กับชาลีน่ะไม่ใช่ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เคนโทร หรือก็คือยูเรย์ถึงได้เข้าร่วมอย่างกระทันหันแบบนี้ แล้วเธอก็ถามแบบนั้นออกไป ซึ่งนั้นก็ทำให้ทิเรียถึงกับตกใจไปชั่วครู่เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนจะส่ายหน้าอย่างช้าๆแล้วพูดกับชาลีด้วยน้ำเสียงและสายตาที่…ต่างจากปกติ
“ น้องชาลี… ชาลี เธอลืมเรื่องลำดับของพวกเราไปแล้วหรือเปล่า…คะ ”
“ ข ข ขออภัยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!! ”
คำพูดนั้นมันทำให้ชาลีถึงกับคุกเข่าก้มหัวลงในทันที เพราะว่าน้ำเสียงและสายตาของทิเรีย มีบางสิ่งที่เธอพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกอย่างตรงๆจากตัวของทิเรีย สิ่งนั้นคือความโกรธที่ไม่ใช่ความแค้น มันเป็นความโกรธที่มาจากความผิดหวังในตัวของคนที่เธอกำลังคุยด้วย
“ ช…ชาลี นี้เป็นครั้งแรกของเธอ ชั้นจะทำเป็นมองข้ามไปก็แล้วกันนะ…เจ้าคะ ”
“ ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่ทิเรีย! ”
ในหมู่เมดผู้รับใช้มาร์นั้น จะมีกฎภายในอยู่เพื่อรักษาความมั่นคงเอาไว้ และ 1 ในกฎนั้นก็คือกฎลำดับขั้น ที่มีความสำคัญและจะมีผลในตอนที่ “ปฏิบัติการณ์กำลังดำเนินการอยู่” คนที่อยู่ลำดับล่างกว่าจะไม่มีสิทธิตั้งคำถามต่อคนที่อยู่ระดับสูงกว่าเด็ดขาด โดยเฉพาะการตั้งคำถามถึงเคนโทร เธอคือคนสำคัญลำดับ 3 รองจากครอบครัวของมาร์ และตัวของมาร์เอง การที่ใครจะไปตั้งคำถามในความสามารถของเธอ ถ้าไม่ใช่คนในตำแหน่งวางกลยุทธ์อย่างทิเรีย ก็จะไม่มีสิทธิเด็ดขาด การตั้งคำถามที่ฝ่าฝืนจะกลายเป็นการดูถูกในความสามารถในทันที
“ ถ้ารู้ตัวก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เท่านี้ก็รอรับท่านพี่หญิงมาร์ด้วยนะเจ้าคะ ขอตัวก่อนล่ะนะเจ้าคะทุกคน ”
“ อึก… ”
สายของทิเรียถูกตัดไป แต่ว่าชาลีก็ยังคงก้มหัวอยู่ตรงนั้นใบหน้าของเธอแค่มองก็รู้ว่ากำลังละอายใจอยู่ อย่างไรก็ตามคนที่มองก็มีแค่เพนเทที่ยืนอยู่ใกล้ๆเท่านั้น เพราะสองคนที่เหลืออย่างเทเสล่ากับเอเนอากำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ เทเสล่าคือนอนพัก เอเนอาคือมองดูจอและเติมสารสีฟ้าจากท่อที่ต่อตรงจากเพดานเข้าไปในหลอดเรื่อยๆแถมมีแอบเปลี่ยนจากต่อตรงลงหลอดแก้ว มาเข้าที่ท่อใสตรงเข้าหลอดเก็บสารที่เอวของเธอเป็นครั้งคราวด้วย
“ นานเลยแหะ …ถ้าไม่รวมเ… นานแหล่ะ ที่ทิเรียจะโกรธแบบนี้น่ะ เอานะ ครั้งแรกก็เจ็บปวดแบบนี้แหล่ะ ”
“ ค ค่ะ… ”
เพนเทเดินเข้ามาปลอบใจพร้อมกับลูบหลังของชาลี ก่อนจะพูดกับเธอด้วยเสียงที่เบาแสนเบา ส่วนชาลีเองก็ได้แต่ก้มหน้ารับกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเช่นนั้น แต่เพนเทก็ไม่ได้จะปลอบใจไปตลอดเพราะเธอลูบหลังเพียงครู่เดียวก็หยุดมือ แล้วก็เดินเข้าไปในรถหุ้มเกราะก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลม กับน้ำเปล่าขวดหนึ่ง
“ เอ้า!! เดี๋ยวเคนโทรมาแล้วยังทำหน้าแบบนั้นจะโดนถามเอานา ”
“ ขอบคุณค่ะท่านพี่เพนเท ”
ซ่าา
“ เห้ออ ดื่มสิดื่ม น้ำน่ะไว้ดื่มน้าา! ”
ชาลีรับขวดน้ำนั้นมาแล้วเปิดฝามันออกก่อนจะเทรดหัวตัวเองจนหมดขวดโดยที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด ทำเอาเพนเทถึงกับส่ายหน้าแล้วกันหันไปดื่มน้ำอัดลมด้วยหลอดผ่านหน้ากากอย่างเงียบๆโดยที่สายตาของเธอก็มองลงไปยังทิศใต้ มองไปบนท้องฟ้าแล้วก็หรี่ตาลงเพื่อจ้องมองดูบางสิ่งผ่านหน้ากากของเธอ ภาพที่ขยายขึ้นเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดถึงบางสิ่งที่กำลังพุ่งมา
“ มาแล้วนะ ”
ฟุบๆๆๆๆ
TwinWings บินมาอยู่เหนือขบวนรถหุ้มเกราะราวๆ 20 เมตรและประตูท้ายของมันก็เปิดออก ก่อนจะตามมาด้วยร่างของหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำสวมหน้ากากของผีสาวสีขาวที่มีหมายเลข 0 เธอลงมายืนอยู่ตรงหน้าของเพนเทและชาลี เธอเดินตรงมายังเพนเทที่ถือกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ก็วางกระป๋องนั้นลงแล้วถอดหน้ากากในทันที เช่นกันเคนโทรเองก็ถอดหน้ากากของตัวเองออก
“ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกลายมาเป็นคู่แข่งชั้นแล้วสินะ ”
“ แหมๆ โผล่มาก็เอาเค้าเลยน้าเคนโทร ”
ทั้งสองวิ่งเข้ากอดกันอย่างเป็นมิตรเหมือนกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะถอยห่างแล้วทักทายกันด้วยการพูดคุยที่สายตานั้นเหมือนจะฆ่าแกงกันเสียมากกว่า ซึ่งสาเหตุก็คงมีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้กัน สาเหตุนั้นคือทั้งคู่เป็นผู้มีฉายา [ ผู้ท้าชิงตำแหน่งราชินีผู้รับใช้หายนะ ] แต่ว่าทั้งสองก็ไม่ได้จะมองหน้าแบบนั้นกันไปตลอดเพราะสุดท้ายก็จบลงด้วยการยิ้มให้กันอย่างปกติ
“ ท่านพี่หญิงเคนโทร ดิชั้นขออภัยที่ก่อนหน้านี้ได้ตั้งคำถามลบหลู่เกียรติและตำแหน่งของท่านพี่หญิง ดิชั้นขออภัยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!! ”
“ อ อ อา อ่า?!? ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร?!?… แต่?? ห๊ะ? ”
ชาลีที่อยู่ข้างๆ จู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็กล่าวขอโทษกับยูเรย์ด้วยใบหน้าที่จริงจังจนหน้ากลัว ทำเอายูเรย์ถึงกับหันไปถามเพนเทที่ยืนอยู่ข้างๆกัน และเพนเทก็เอาแต่ส่ายหน้าพร้อมกับหยิบเอาน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มอีกหน ก่อนจะค่อยๆเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าที่ดูจะเซ็งๆ
“ นั้นสิน้าาา ก็ ก่อนหน้านี้ทิเรียแจ้งมาว่าเคนโทรจะมาใช่มะ ชาลีน่ะไปถามคำถามที่แหกกฎเอาน่ะสิ ก็เลย… ”
“ ก็เลยโดนทิเรียดุมาสินะ ดีแล้วล่ะที่โดนแค่ดุ ใช่ไหมล่ะเพนเท เจ้าหญิงประจำห้องอบรม ”
“ ฮ ฮ ฮ่า ฮ่า….แงงง อย่าพูดสิ แค่คิดก็จะ…หยายยย ขนลุกแล้วเนี่ย ”
“ โทษทีน้า แต่ว่าตอนนี้ พี่… ”
“ นายท่านน่ะเหรอ? อยู่นี้ไง ”
เพนเทพยายามปิดหน้าที่แดงจากความเขินอายกับเรื่องในอดีตของตัวเองพร้อมกับพาเข้าไปในรถหุ้มเกราะติดถังน้ำมันที่จอดอยู่ผ่านทางประตูด้านหลังที่ยังคงเปิดทิ้งไว้ และทันทีที่ยูเรย์ได้เห็นร่างของพี่ชายของตนกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ใจกลางของหลอดแก้วนั้น เธอเขาไปนั่งข้างๆมันก่อนจะวางมือลงไปบนหลอดนั้น
“ พี่คะ… พี่… หนูไม่อยู่แค่แปปเดียว… แค่… ฮึก… ”
ยูเรย์พยายามจะกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่เอ่อล้นของตัวเองออกมา และสิ่งที่ทำได้ก็คือการกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ แม้ว่าใบหน้าและหูของเธอจะเริ่มแดงก่ำ และเพนเทที่อยู่ข้างๆก็ได้แต่ยืนปลอบใจเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามตัวของยูเรย์ก็ค่อยๆลุกขึ้นมาก่อนจะกุมมือของเพนเทจนแน่น
“ เพนเท งานของพวกเรา… ”
เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่คำพูดนั้นเพนเทก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี งานเก่าของพวกเธองานที่ทั้งสองมักจะช่วยกันทำเสมอตั้งแต่รับใช้มาร์ช่วงแรกๆ ช่วงที่ยูเรย์ยังพอจะมีเวลาออกมาร่วมมือกับพี่น้องของเธอทำอะไรสนับสนุนนายท่านจากส่วนอื่น งานที่แม้แต่ทิเรียก็พยายามจะปิดเอาไว้ไม่ให้มาร์รู้
“ อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ จะไปที่ไหนดีล่ะเคนโทร ปราสาทจอมมาร ห้องจอมมาร หรือว่าที่ไหนล่ะ? ”
……
MANGA DISCUSSION