[เอเลี่ยนเกยตื้น] สเปซทรัคเกอร์ รูดี้คุง - ตอนที่ 7 แขกที่มองไม่เห็น
ตอนที่7 แขกที่มองไม่เห็น
รูดี้เดินผ่านโถงทางเดินที่มืดสลัวด้วยแสงไฟของโดรนไปอย่างเงียบๆ
ห้องควบคุมของ AI จะถูกติดตั้งไว้ที่ส่วนกลางของตัวยาน โดยที่ค็อกพิทจะอยู่ที่ส่วนหน้าและห้องเครื่องจะอยู่ที่ส่วนท้าย รูปแบบโครงสร้างแบบนี้จะเหมือนกันเสมอไม่ว่าจะเป็นยานรุ่นได้ก็ตาม มันยังคงรูปแบบเดิมๆมาโดยตลอด รูดี้เองก็กำลังมุ่งหน้าไปที่ส่วนกลางของยาน
ระหว่างทางเขาก็พบกับประตูอยู่หลายครั้ง และพยายามที่จะเปิดมัน ประตูพวกนั้นเป็นประเภทที่ล็อคด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์แต่เมื่อไม่มีการจ่ายไฟฟ้ามันก็ถูกปลดออก แต่ถึงอย่างนั้นประตูที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ ไฮดรอลิค ก็หนักมากและต้องใช้กำลังมหาศาลในการเปิดมัน
นอกจากนั้น ทันทีที่เขาปิดมันได้ก็พบว่ามันเป็นห้องว่างๆมี่ไม่มีอะไรเลย หลังจากลองไล่เปิดดูไปสักส่วนหนึ่ง เขาก็สรุปว่ามันเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงเลิกสนใจในประตูที่เหลือแล้วไปต่อ
เขามาถึงหน้าประตูขนาดใหญ่ของห้องที่อยู่ในแกนกลางของตัวยาน ป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องก็เขียนไว้ว่า “ห้อง AI หลัก”
ที่นี่มันจะต้องเป็นห้องสำหรับติดตั้งระบบ AI ทางการทหาร ที่เขากำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน ถ้ามันยังทำงานอยู่ มันก็คงจะเป็นพวกหัวแข็งมากแน่ๆ เขาจินตนาการถึงบุคลิกของพวก AI ทางการทหาร แล้วคว้าด้ามจับของประตู
“ฮึ่ยย่าาาา~”
เขาพยายามดึงมัน แต่หระตูกลับไมขยับแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้แล้วใส่แรงมากขึ้น ทันไดนั้นก็ดูเหมือนว่าส่วนที่เป็นสนิมจะหลุดออกมาแล้วประตูก็ค่อยๆปิดออกด้วยเสียงอันดังก้อง
ที่ใจกลางของห้องมี เซิฟเวอร์ ทรงกระบอกติดตั้งอยู่ เขาเดินเข้าไปข้างไนแล้วมองขึ้นไปที่มัน
ส่วนฐานของมันยื่นออกมาจนติดกับกำแพง แล้วส่วนที่สูงขึ้นไป2เมตรจากพื้นนั้นเป็นทรงกระบอกที่สูงขึ้นไปจนถึงเพดาน
ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย มันต้องเป็นเพราว่าเจ้านี่เป็นรุ่นเก่าล่ะมั้ง? เขานึกในใจ
รูดี้คาดว่าส่วนฐานของมันน่าจะเป็นส่วนที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรบันทึกข้องมูล และส่วนที่เป็นทรงกระบอกคือส่วนที่ใส่อุปกรในการประมวลผลเอาไว้
เขาตรงเข้าไปที่แผงควบคุม เซิฟเวอร์ แล้วกดปุ่มเดินเครื่องแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องที่เงียบสนิทนั้น
เขามองไปที่ เซิฟเวอร์ ที่ไม่ทำงานแล้วคิดกับตัวเองว่า “ก็กะไว้แล้วล่ะว่ามันจะเปิดไม่ติด…. แต่จะว่าไปมันเป็นเพราะเจ้านี่เป็นรุ่นสำหรับใช้ในกองทัพ หรือว่าเพราะมันเป็นรุ่นเก่ากันนะ มันถึงได้ใหญ่ขนาดที่ฉันไม่สามารถจะเอากลับไปที่ยานไนกี้ได้เลย “
ส่วนที่ฉันต้องการก็คืออุปกรเก็บข้อมูล ไม่ใช่ส่วนประมวลผล แต่ถึงอย่างนั้น เป็นเพราะขนาดที่ฐานของมันที่ไม่สามารถนำออกไปจากห้องได้ทำให้เขารู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
[มาสเตอร์ เรามาถึงแล้วครับ] ฮาล ติดต่อเข้ามา ดูเหมือนว่าเขาจะเอายานลงจอดมาไว้ใกล้ๆกับ ซากของยานลำนี้แล้ว
“นายมองดูผ่านโดรนอยู่ใช้ไหม? นายคิดว่าจะทำยังไงกับเจ้านี่ดีล่ะ?”
[มันดูเหมือนจะเป็นรุ่นที่ค่อนข้างเก่า แม้ว่ามันอาจจะมีสติปัญญา แต่ก็คาดได้ว่า มันอาจจะไม่มีความสามารถในการคิดแบบยืดหยุ่น]
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ฉันกะไว้ว่าจะเอามันกลับไปตรวจสอบที่ไนกี้ แต่…”
[เพียงแค่การจะนำมันออกมาจากห้องนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นะครับ]
“คือ…เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดการกับมันที่นี่สินะ” เขาสรุปไปแบบนั้นหลังจากปรึกษากับ ฮาล
เมื่อรูดี้เหลือบมองดูที่แหวนนาฬิกาของเขาก็เห็นว่ามันมาถึงเที่ยงวันแล้ว พอเขานึกถึงมื้อเที่ยงท้องเขาก็ร้องออกมา
แม้ว่าจะมีการต่อสู้ถึง2ครั้งในช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่เขารู้สึกว่ามันแปลกมากที่เขาไม่ได้เหนื่อยล้าแต่อย่างใด ทว่าตอนนี้เขาเป็นห่วงเกี่ยวกับการออกไปจากที่นี่เพื่อหาอะไรกินมากกว่า
ระหว่างที่เขาเดินลูบท้องตัวเองกลับไปที่ทางออก ฮาล ก็ติดต่อมาอีกครั้ง
[มาสเตอร์ ตอนนี้มีใครบางคนยืนอยู่ที่หน้ายานลงจอด]
“ว่าไงนะ?”หลังจากได้ยินรายงานเขาก็หันไปมองที่ทิศทางของยานลงจอด แต่ก็ไม่เห็นอะไร
“ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครนี่”
[กรุณาเปลี่ยนโหมดการมองเห็นเป็น เทอโมกราฟ(จับความร้อน)ด้วยครับ ผมเองก็เพิ่งจะตรวจพบมันผ่าน เทอโมกราฟ ของโดรน เมื่อครู่นี้เอง]
ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงสลับไปใช้โหมด เทอโมกราฟ ของตาซ้าย แล้วพบว่ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริง แต่เมื่อมองด้วยตาเปล่ากลับไม่เห็น
จากภาพ อินฟาเรด มันดูเหมือนหญิงสาวคนหนึ่งที่พยายามซ่อนรูปลักษณ์ของตัวเอง
“มีคนอยู่จริงๆด้วยแฮะ…”
รูดี้ กระพริบตาปริบๆขณะทีสังเกตความเคลื่อนไหวของหญิงคนนั้น ในขณะที่ทางนั้นเองก็สังเกตเห็นเขาและเริ่มระวังตัว
“นี่เธอใช้การพลางตัวด้วยการบิดเบือนแสงงั้นเหรอ?”
[จากการสำรวจเราพบว่าดาวดวงนี้ไม่มีวิทยาการที่สูงถึงขนาดนั้นครับ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ว่ามันจะเป็นผลของการใช้เทคโนโลยีทางเวทมนต์ของที่นี่]
“เวทมนต์มันเอาทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเนอะ”
ในขณะที่รูดี้จ้องมองไปที่เธออย่างต่อเนื่อง หญิงสาวคนนั้นก็เริ่มประหม่าและไม่มั่นใจ แต่ก็ดูเหมือนกับว่าเธอไม่มีเจตนาที่จะโจมตีเขา นอกจากนั้นเขาเองก็กำลังหิวอยู่ด้วย
รูดี้จึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วเดินออกไปที่ยานลงจอด
เมื่อเขาเข้าใกล้ ยานลงจอด ประตูมันก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ทำให้หญิงสาวคนนั้นตกใจจากการที่ประตูเปิดออกเองได้ทั้งๆที่เธอสัมผัสได้ว่าไม่มีใครอยู่ข้างในนั้นและเสียงการทำงานที่ระบบ ไฮดรอลิค ปล่อยออกมา
ว่ากันว่า วิทยาการขั้นสูงก็ไม่ต่างอะไรจากเวทมนต์ และสถานการณ์ตรงหน้าของเขาก็เป็นแบบนั้น เขาขำอยู่ในใจกับการตอบสนองของเธอ
เขาเดินไปที่ทางขึ้นประตูยานแต่หยุดก่อนที่เขาจะเข้าไปข้างในแล้วหันกลับไปทางที่เธอยืนอยู่
“มากินมื้อเที่ยงด้วยกันไหม? เดส” *(TL note รูดี้มันพูดว่า “ข้าว-มากินด้วยกัน-เดสุ?”)
เขาพูดภาษาท้องถิ่นที่เพิ่งได้เรียนรู้มาเป็นครั้งแรก แต่หญิงสาวคนนี้กลับแสดงอาการสับสน ดูเหมือนว่าการแปลภาษาของฮาล จะออกแบบมาให้มันติด สำเนียงแปลกๆ
หญิงสาวคนนี้ตกใจกับคำเชิญอันกะทันหันของรูดี้และยืนตัวแข็งทื่อไม่ยอมขยับ จ้องเขม็งไปที่เขา รูดีเองก็มองกลับไปที่เธอ รอคำตอบ
หลังจากยืนจ้องหน้ากันเองไปกว่า30วินาที หญิงสาวคนนี้ก็ถอนหายใจ แล้วปลดการพลางตัวออก
หญิงสาวคนนี้สูงประมาณ170 ซม. สูงกว่ารูดี้ประมาณ10ซม. เธอมีผมหยักศกสีน้ำตาลแดงยาวไปถึงกลางหลัง
เธอดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 20 ปลายๆ ด้วยใบหน้าที่จัดได้ว่างดงามและดวงตาที่เฉียบคม ซึ่งแสดงออกให้เห็นถึง ออร่าแห่งความฉลาด
แต่ทว่าสิ่งที่เตะตาของรูดี้มากที่สุดคือรอยแผลเป็นจากไฟไหม้อันน่าเจ็บปวดบนใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเธอ
รอยแผลเป็นมันทำให้ผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและเตะตาเป็นอย่างมากเพราะผิวตามปรกติของเธอมันอยู่ในโทนสว่าง เธอพยายามซ่อนมันด้วยการใช้ผมด้านหน้าครึ่งหนึ่งมาปิดมันเอาไว้
เธอสวมวันพีซเดรสสีเขียวเข้มที่ยาวไปถึงเข่าและกางเกงขายาวไว้ด้านในอีกที มันเป็นสีที่ทำให้เธอกลมกลืนไปกับป่าโดยรอบ แต่จากสภาพที่มันขาดรุ่งริ่ง จากหลายๆจุดมันทำให้ชุดของเธอดูโทรมเหมือนยาจก
นอกจากนั้นเธอก็มีแค่ไม้เท้าเบี้ยวๆในมือ
“ว่าแล้วเชียว ว่าโดนเห็นจริงๆด้วยสินะ”
เมื่อเธอพูดออกมา รูดีก็พยักหน้าตอบ
ดูเหมือนการรับฟังภาษาท้องถิ่นที่ติดตั้งไว้ จะไม่มีปัญหา แต่การพูดจะออกมาในสำเนียงแปลกๆ
“คือว่า เจ้าเรือเหล็กที่บินบนท้องฟ้าได้ลำนี้เป็นของคุณใช่ไหม?”
“เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลัง รีบเข้ามาข้างในแล้วหาอะไรกินก่อน เดส”
เขาต้องการข้อมูลของดาวดวงนี้จากเธอ แต่ในตอนนี้ความหิวอย่างรุนแรงของเขาเป็นเรื่องหลัก เขาจึงเชิญให้เธอเข้าไปกินด้วยกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรและสร้างความเชื่อใจ
“วิธีการพูดของคุณมันฟังดูมั่วไปหมด แต่นั่นคือการเชิญไปทานอาหารใช่ไหม?”
“ไม่ต้องใส่ใจกับวิธีการพูดของฉัน ตอนนี้ฉันหิวจะเป็นบ้าแล้ว จะกินด้วยก็มา ไม่งั้นก็ไปซะ เลือกให้ไวเลย เดส”
*(TL note: ในต้นฉบับรูดี้มันพูดเหมือนกูเกิลแปลภาษาเลย สุภาพบ้าง ห้วนบ้าง โดดไป โดดมา แล้วลงท้ายด้วย เดส ตลอด ควรจะแปลโดยรักษา ความแปลกของมันเอาไว้ หรือจะเอาแบบแก้ให้เข้าใจได้ง่ายๆ แล้วใส่ เดส ต่อท้ายไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ของมันดี?)
หญิงสาวคนนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับวิธีการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างพวกเขาทั้งสองก็หายไปทันที
หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็น
แล้วตามรูดี้เข้าไปในยานลงจอด
*( TL note : หลังจากนี้จะเป็นมุมมองของ นาโอมิ)
นาโอมีที่รับคำเชิญเข้ามาในยานลงจอดนั้นนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารและมองไปรอบๆด้วยสีหน้าสับสน เธอไม่เคยเห็น เฟอร์นิเจอร์ ที่มีรูปทรงอันเฉพาะตัวแบบนี้มาก่อน เมื่อแหงนมองขึ้นไปบนเพดานเธอก็พบว่ามันมีความสว่างทั้งๆที่ไม่มีตะเกียงอยู่เลย โต๊ะและเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ก็ดูเหมือนจะทำมาจากโลหะแปลกๆที่เธอไม่รู้จัก
นอกจากนั้น เครื่องดื่มที่เด็กขายประหลาดๆคนนี้นำมาให้ ก็ยังเป็นสีดำเข้มจนเธอสงสัยว่ามันมีพิษหรือเปล่า แม้แต่แก้วที่ใส่มันมาก็ยังดูราวกับว่าทำมาจากบางอย่างที่เหมือนหินอ่อน มันเป็นของหรูหราที่แม้แต่เธอเองก็เข้าใจได้ ทำให้เธอถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า
ที่นี่มันอะไรกัน? ดูเหมือนว่าเขาจะมีข้าวของหายากหลายอย่างที่แม้แต่พวกคนในราชวงศ์ก็ยากที่จะได้มาครอง…ถึงจะไม่คิดว่ามันจะเป็นยาพิษจริงๆก็ตามที ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าเครื่องดื่มแก้วนี้มันเป็นอย่างไรด้วย
“เครื่องดื่มนี่คืออะไรเหรอ?”
“กาแฟ…ไม่ดื่มเหรอ? เดส”
“กาแฟคืออะไรเหรอ? ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”
“งั้น รอเดี่ยวนะ เดส”
หลังจากนั้นรูดี้ก็นำภาชนะเล็กๆ หลายอันจากตู้เก็บอาหารมาวางไว้ตรงหน้านาโอมิ
“ถ้ามันขมเกินไป ให้ใส่พวกนี้ เดส”
“อะไรเนี่ย?”
“นมกับน้ำเชื่อมหนืด เดส”
“น้ำเชื่อมหนืด?”
“….น้ำตาล? เดส”
นาโอมิไม่มีทางรู้ได้ว่า น้ำเชื่อมหนืด(gum syrup) เป็นการผสมกันระหว่าง กลูโคส และ ฟรัคโตส ไม่ใช่น้ำตาล แต่รูดี้ที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้เหมือนกันก็คิดว่ามันเป็นของที่มาจากน้ำตาล
“คุณก็ไม่รู้เหรอ?”
“ไม่รู้สิ แต่มันหวาน เดส”
รูดี้เอียงหัวระหว่างที่ตอบแล้วก็เดินกลับเข้าไปด้านหลังอีกครั้ง
นาโอมิหยิบภาชนะขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วยกมาส่องดูใกล้ๆเพื่อตรวจสอบมัน เธอไม่รู้ว่ามันทำมาจากอะไรแต่มันนุ่มนิ่มและทนทานแล้วมันก็ยังมีส่วนที่ยื่นออกมา ที่ดูราวกับว่าจะเปิดออกได้ด้วยการดึง แต่ทว่าเธออยากจะรู้ว่ารสชาติของเครื่องดื่มมันเป็นอย่างไรก่อนที่จะใส่ของพวกนี้
นาโอมิยกแก้วขึ้นมาสูดกลิ่นของกาแฟ เมื่อทำเช่นนั้น กลิ่นหอมของมันก็โชยเข้าไปในโพรงจมูกของเธอ
กาแฟนี่หรือแม้จะดูเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจริงๆแล้วมันจะอร่อยมาก? ด้วยความคิดเช่นนั้น เธอก็ยกมันขึ้นมาจิบ
“ขมจัง!”
เธอร้องออกมาหลังจากจิบมันไปครั่งหนึ่ง แล้วรีบใส่นมกับน้ำเชื่อมลงไปทันที