เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 405 หาเจอแล้วล่ะ
ตอนที่ 405 หาเจอแล้วล่ะ
……….
เห็นปฏิกิริยาของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็เดาออกว่าตาเฒ่าอาจจะรู้จักยอดเชฟหลี่คนนี้
แต่เขาไม่ได้รีบซักถาม แต่รอเงียบๆ
ฟางจิ่งจือทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ
“ชื่อนี้…ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว”
“ปู่รู้จักเขาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางจิ่งจือพยักหน้าน้อยๆ “รู้จักอยู่แล้วสิ เขาชื่อหลี่เหยียนกุ้ย เป็นคนแก่แล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจ คนแก่ของปู่หมายถึงคนในยุคของพวกเขา อีกทั้งเป็นผู้อาวุโสในวงการพ่อครัวด้วย
“หลี่เหยียนกุ้ยคนนี้…ที่จริงดีมากมาก แต่ขี้โม้ไปหน่อย เฮ้อ ต้องโทษฉัน…”
ซ่งจื่อเซวียนฟังไม่เข้าใจอยู่บ้าง เห็นสีหน้าของฟางจิ่งจือ เหมือน…จะหดหู่นิดหน่อย
“ปู่ เอ่อ…มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ฟางจิ่งจือยกแก้วขึ้นดื่ม “จะว่าไป…ก็สี่สิบปีแล้วล่ะมั้ง
ตอนนั้นถึงฉันจะไม่ควงตะหลิวแล้ว แต่พี่น้องในวงการยังไว้หน้าอยู่ ฉันแทบจะมีงานเลี้ยงทุกวัน
มีวันหนึ่ง ในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ซีเฉิง ชื่ออะไรนะ…อ้อ เทียนหย่งไจ
รสชาติอาหารของเทียนหย่งไจไม่เลว พวกเราเลยมีคนที่อยากเจอพ่อครัว
ยังไงก็ทำงานวงการพ่อครัวกันหมด ได้กินอาหารรสชาติดีๆ ก็อยากแลกเปลี่ยนสักหน่อย แต่พ่อครัวก็คือหลี่เหยียนกุ้ย คนเรียกเขาว่ายอดเชฟหลี่
ไอ้เด็กนั่นทำอาหารอร่อย แต่เจ้าอารมณ์ แถมโอหังอวดดี พูดสองสามประโยคก็ทะเลาะกับพวกเพื่อนๆ ฉันแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เบิกตาโต “เพราะงั้นปู่ก็เลยสั่งสอนเขาเหรอ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าน้อยๆ
“ตอนนั้นฉันยืนขึ้นบอกว่าจะควงตะหลิวแข่งกับเขา เดิมพันด้วย…ถ้าเขาแพ้ ก็ผนึกตะหลิวเสีย
จากนั้นฉันก็ทำอาหารอย่างหนึ่งบนโต๊ะ หมูเคี่ยวซีอิ๊วดอกหอมหมื่นลี้”
พูดถึงตรงนี้ ฟางจิ่งจือก็สูดลมหายใจลึก “หลังจากนั้น…ชื่อเสียงของยอดเชฟหลี่ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
เห็นฟางจิ่งจือทั้งส่ายหน้าทั้งถอนหายใจ ซ่งจื่อเซวียนก็ดูออกว่าเขานึกเสียดายมาก
อย่างไรเสียก็ปะทะคารมกันแค่สองสามประโยคเท่านั้น สุดท้ายกลับทำให้เชฟคนหนึ่งผนึกตะหลิวไม่ทำอาหารอีก
สำหรับพ่อครัว ดูเหมือนจะไม่มีการเดิมพันใดที่โหดร้ายไปกว่านี้แล้ว
“ปู่…”
“ถ้าฉันอดทน คงไม่ถึงขนาดกับ…เฮ้อ ตอนนั้นก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว ไม่น่าโมโหเขาเลย”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วถามว่า “งั้นตอนนั้นหลี่เหยียนกุ้ยอายุเท่าไรล่ะ”
“สามสิบกว่ามั้ง เป็นวัยแห่งการต่อสู้พอดี ความโกรธของฉันตอนนั้น…ทำลายชีวิตเขาทั้งชีวิต”
ฟางจิ่งจือพูดพลางยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
ซ่งจื่อเซวียนสะเทือนใจมาก แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
อย่างไรเรื่องในวงการก็แบบนี้ มีเรื่องที่จนใจและนึกเสียดายมากมาย
“ปู่ งั้นหลังจากนั้น…หลี่เหยียนกุ้ยคนนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลยเหรอ”
“ประมาณล่ะมั้ง ยังไงฉันก็ไม่ได้ยินชื่อเขาอีกเลย”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ที่จริง…ถึงหลังจากนั้นหลี่เหยียนกุ้ยจะผนึกตะหลิว แต่ก็รับลูกศิษย์นะ”
ฟางจิ่งจือชะงักไป แต่ไม่นานนักก็พยักหน้า
“นี่เป็นเรื่องปกติมาก ตัดช่องทางทำมาหากินของเขา ถ้าไม่รับลูกศิษย์อีก เขาจะมีชีวิตต่อไปยังไงล่ะ”
“ปู่ ลูกศิษย์ของหลี่เหยียนกุ้ย…ผมรู้จักครับ”
“โห ที่เด็กอย่างแกมาวันนี้ก็เพราะเก็บเรื่องนี้ไว้อยู่เหรอ” ฟางจิ่งจือเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนอย่างฉุนเฉียว
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกกระอักกระอ่วน…
ชื่อของเขาก็คือหวังเฉิงยง เรียนทักษะเชฟกับหลี่เหยียนกุ้ยมา อืม…เขาอยากจะมาเยี่ยมเยียนปู่น่ะ”
ได้ยินดังนั้น ฟางจิ่งจือก็ไม่พูดอะไร
เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในสายตากลับมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนัก
ผ่านไปพักหนึ่ง ฟางจิ่งจือก็พยักหน้าน้อยๆ “เจอหน่อยก็ได้ นับว่าเป็นคนรุ่นหลัง”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เช่นนั้นโถน้อยนั่นก็เป็นของเขาแล้ว
เพื่อไม่ให้ตาเฒ่าดื่มมากเกินไป ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว
ให้เหมยจื่อรีบมาเก็บโต๊ะ และให้ตาเฒ่ารีบไปพักผ่อน
ก่อนจะไป ซ่งจื่อเซวียนเห็นฟางจิ่งจือที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก็นึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
บางที…ตนไม่ควรจะพูดเรื่องพวกนั้นกับเขา
เขาเป็นชายชราอายุเก้าสิบกว่าปีแล้ว พูดเรื่องที่ทำให้เขานึกเสียใจในตอนนั้นดูค่อนข้างโหดร้ายไปจริงๆ
แต่เรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจเงียบๆ ว่าต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้หวังเฉิงยงฟัง
หากเจอกันอาจจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีกับฟางจิ่งจือได้ เขายอมไม่เอาโถน้อยแต่ต้องป้องกันสถานการณ์เลวร้ายให้ได้
เดินออกมาจากบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ปิดประตูให้ตาเฒ่าเรียบร้อย อีกทั้งกำชับเหมยจื่อว่าต้องระวังในตอนกลางคืนให้มาก
อย่างไรตาเฒ่าก็อายุมากแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็ให้รีบโทรเบอร์ 120
นี่ก็เป็นสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนกำชับเป็นประจำ
ฟางจิ่งจือก็เหมือนกับญาติของเขา ถึงจะไม่ใช่พ่อแม่และปู่แท้ๆ แต่ความรู้สึกเหนือกว่านั้น
เดินมาถึงในลาน ชัดเจนว่าถังหย่าฉีมองออกว่าซ่งจื่อเซวียนเศร้าอยู่เล็กน้อย
“จื่อเซวียน นายเป็นอะไรเหรอ” เธอพูดพลางเดินมาใกล้แล้วกุมมือของซ่งจื่อเซวียนเอาไว้
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอะไร คุยกับตาเฒ่ามา จริงสิหย่าฉี พรุ่งนี้วันอาทิตย์ เธออยู่ที่ร้านหรือเปล่า”
“อยู่สิ ทำไมเหรอ”
“ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย มีธุระต้องจัดการน่ะ”
ถังหย่าฉีพยักหน้าทันที “นายไปเถอะ ฉันดูเอง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ลูบศีรษะถังหย่าฉีเบาๆ
“หย่าฉี เธอนี่ดีจริงๆ”
“เจ้าทึ่ม นายทำดีกับฉัน ฉันถึงได้ดีไง”
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงความอบอุ่นระลอกหนึ่ง
เขารู้ดี ถังหย่าฉีถึงขั้นไม่ถามว่าเขาจะไปทำอะไรด้วยซ้ำก็ตกลงแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจเต็มเปี่ยม
คนสองคนคบกัน ความเชื่อใจสำคัญมาก
คิดถึงตรงนี้ เขาก็โอบถังหย่าฉีเข้ามาในอ้อมอก สำหรับถังหย่าฉีแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกครั้งที่ซุกอยู่ในอ้อมอกของซ่งจื่อเซวียน ก็ทำให้เธอรู้เหมือนถูกหลอมละลาย อ่อนโยนและอบอุ่น
“อะแฮ่ม…อาจารย์ก็อย่าโปรยอาหารหมาสิ!”
หลิงเข่อเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ พูด
ซ่งจื่อเซวียนถึงได้มองตากับถังหย่าฉีพร้อมกับรอยยิ้ม
…
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็ไปที่บ้านของหวังเฉิงยง
หวังเฉิงยงอยู่คนเดียว ปกติจะตื่นแต่เช้า ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนมา ก็กำลังกินอาหารเช้าพอดี
เห็นสุราข้างๆ เต้าฮวย ซ่งจื่อเซวียนก็มึนหัว ตาแก่นี่ใช้ได้จริงๆ เช้ามาก็เริ่มดื่มเลย
“ตาแก่หวัง เช้าตรู่แบบนี้ กระเพาะรับไหวหรือไง”
หวังเฉิงยงเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียน ตักเต้าฮวยกินต่อสองสามคำ
“ไม่มีเหล้าก็กินอะไรไม่ลงนี่นา ทำไม วันนี้มาเช้าขนาดนี้ มาดูโถน้อยของฉันหรือไง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ขนาดยังไม่พูดก็สมกับเป็นคุณจริงๆ เข้าใจผมสุดๆ รู้แล้วใช่ไหม งั้นก็เอาออกมาให้ดูสิครับ”
หวังเฉิงยงยกแก้วสุราขึ้นดื่ม พูดว่า “ก็อยู่ที่ริมหน้าต่างหัวเตียงนั่นแหละ ไปดูเองแล้วกัน”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปดูทันที
ห้องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก เตียงอยู่ติดผนังด้านล่างหน้าต่าง ส่วนขอบหน้าต่างก็มีขวดต่างๆ วางอยู่ไม่น้อย
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ยังจับจ้องอยู่กับโถลายครามยุคเฉียนหลงนั่น
แต่ไม่ใช่แค่โถเดียว แต่เป็นสี่โถ หนึ่งชุด!
เขาสาวเท้าก้าวไปดูอย่างรวดเร็ว ยกขึ้นมาลูบ ของที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของจริง เป็นของแท้ โดยพื้นฐานก็ไม่มีการสงสัยว่าจริงหรือเท็จแล้ว
แต่จะว่าแค่สภาพของชุดนี้เพียงอย่างเดียวก็ของดีชั้นหนึ่งแล้ว เก็บรักษามาจนถึงตอนนี้ แทบจะไม่มีรอยร้าวเลยสักจุด
ของแบบนี้ถึงจะคู่ควรกับการถูกเรียกว่าของสมบูรณ์
“ใช้ได้เลยนี่ตาแก่ นี่คุณ…มีครบชุดเลยเหรอ”
หวังเฉิงยงยิ้ม “ไอ้หนู บอกประวัติมาได้ไหมล่ะ”
“โถจิ้งหรีดยุคเฉียนหลงไง แต่ว่าโถที่ท้องแบบนี้เห็นไม่บ่อย ส่วนมากจะเป็นทรงตรงหรือเปล่า”
“ใช้ได้ ขวางนายไม่ได้จริงๆ คนปกติดูไม่ออกหรอกว่านี่คือโถจิ้งหรีด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่รูปแบบเก่า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ พูดตามตรง ก็รู้สึกชอบจะแย่แล้ว อดใจไม่ไหวอยากจะเอาไปตอนนี้เลย
“เฮ้อ ไอ้หนู เมื่อคืนคิดยังไงบ้างล่ะ ตกลงอาจารย์นายเป็นใครกันแน่”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “ตาแก่หวัง ถ้าผมบอกคุณว่าอาจารย์ผมเป็นใคร โถนี่ก็จะเป็นของผมใช่ไหม”
หวังเฉิงยงถลึงตาใส่เขา “ไร้สาระ นี่นายจะเอาไปทั้งชุดเลยเรอะ นายต้องพูดความจริงมา ถึงจะเอาโถนี่ไปได้ใบหนึ่ง”
“คำไหนคำนั้นนะ”
“เพ้อเจ้อ ก็ชอบของสะสมกันทั้งนั้น ให้นายไปที่จริงก็ไม่ได้ปวดใจอะไร”
“โห งั้นก็ให้ทั้งชุดเลยสิ ยังไงก็ไม่ปวดใจอยู่แล้วนี่!”
ได้ยินดังนั้น หวังเฉิงยงก็วางช้อนลง ลุกขึ้นเดินไปเอาโถน้อยมา
ดันซ่งจื่อเซวียนออกไปด้านนอกทันที
“ไสหัวไป รีบไสหัวไปเลยนะ”
“อย่า อย่าเพิ่งสิ จะพูดยังไงดีล่ะเนี่ย…”
ซ่งจื่อเซวียนรีบเปลี่ยนท่าที ยิ้มขอโทษขอโพย
“โถเดียว โถเดียวก็ได้!”
หวังเฉิงยงชำเลืองมองเขา “ไอ้เด็กหน้าเหม็น โลภจนตายไปเถอะนายน่ะ พูดมา อาจารย์ของนายเป็นใคร”
“อาจารย์ผม ไม่ได้ปกปิดชื่อจริงแต่อย่างใด ตาเฒ่าฟาง ฟางจิ่งจือ!”
เพิ่งพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เอาโถน้อยใส่กระเป๋าเป้ที่พกติดตัวมา กลัวว่าหวังเฉิงยงจะกลับคำ
“ตาเฒ่าฟาง? ที่อยู่บ้านเก่าของพวกนายหลังนั้นเหรอ ที่พูดบ่อยๆ ว่าบรรพบุรุษตัวเองอยู่ในวังคนนั้นน่ะนะ”
หวังเฉิงยงถามอย่างแปลกใจ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ใช่แล้ว ผมพูดจบแล้ว เจ้านี่เป็นของผมนะ!”
“ไม่มีทาง เราคุยกันให้ชัดก่อน ตาเฒ่านั่น…เป็นอาจารย์ของนายเรอะ อย่าพูดไร้สาระนะ เขาทำอาหารได้ไหม”
“ทำอาหารได้…ไหม คุณเอาคำว่าไหมออกไปเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดเสียงดัง
“ฝีมือของผมนี่มาจากคำแนะนำของอาจารย์ผมทั้งนั้น สรุปง่ายๆ คือผมไม่ได้หลอกคุณ ของชิ้นนี้เป็นของผมแล้ว”
หวังเฉิงยงครุ่นคิด ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทันที
“ฉันก็พูดไปแล้วนี่ ฉันเป็นใครกัน อืม ที่แท้ก็ตาเฒ่าฟางนี่เอง”
“คุณรู้จักเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หวังเฉิงยงโบกมือ “ไม่รู้จัก แต่เคยได้ยินคนพูดถึงกัน มีครั้งหนึ่งเดินผ่านเห็นเขากำลังเล่นหมากล้อมอยู่”
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง”
ซ่งจื่อเซวียนเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ที่ตาเฒ่าพูดเมื่อวานน่าจะเป็นเพราะเมาเฉยๆ
ไม่อย่างนั้นทำไมพอหวังเฉิงยงได้ยินชื่อเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาเลยล่ะ
“เหอะๆ ก็แค่ตาเฒ่าฟางเองทำไมนายถึงต้องลับๆ ล่อๆ ขนาดนั้น”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะๆ ไม่ลับๆ ล่อๆ สักหน่อย ผมเอาโถนี่ไปละนะ”
หวังเฉิงยงโบกมือ ไม่สนใจเขา สื่อให้เขาไปได้แล้ว ก่อนจะกินเต้าฮวยต่อทันที
แต่ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ทันเดินถึงประตู จู่ๆ หวังเฉิงยงก็พูดขึ้นมา “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งรีบ…นายบอกว่าตาเฒ่าฟางอายุเท่าไรนะ”
“อายุมากแล้ว เก้าสิบกว่าแล้ว”
“เป็นคนที่ไหน”
ตอนนี้สีหน้าของหวังเฉิงยงเคร่งขรึมขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนมึนงงไปเล็กน้อย
“ปักกิ่ง ทำไมเหรอครับ”
ได้ยินประโยคนี้ หวังเฉิงยงก็เหมือนจะนิ่งไป หลายวินาทีก็ไม่ยอมเปลี่ยนท่าทาง
“นี่มัน…ฟ้าลิขิตนี่” หวังเฉิงยงพูดพลางเดินไปที่หน้าต่าง มองท้องฟ้า “อาจารย์ ผมคิดว่าผมหาเจอแล้วล่ะ”
………………………………………………
……….