เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 396 โหยวไท่
ตอนที่ 396 โหยวไท่
…………….
ห้องบรรยายอาคารอำนวยการ วิทยาลัยอาหารปักกิ่ง
เนื่องจากทุกคนในคลาสอบรมนี้ต้องการสมัครเป็นอาจารย์ จึงไม่จัดการเรียนการสอนในอาคารเรียนปกติ
เวลาแปดโมงครึ่ง มีคนนั่งรออยู่ในห้องบรรยายเป็นจำนวนมาก
แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมส่วนใหญ่เป็นลูกหลานครอบครัวคนมีฐานะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะคุ้นชินกับการตื่นเช้าขนาดนี้
ดังนั้นเมื่อกวาดตามองดูคร่าวๆ ก็จะเห็นว่ามีที่นั่งว่างหลายที่
ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเทายืนอยู่ข้างหลังโพเดียม เมื่อจัดวางเอกสารประกอบการสอนดีแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับจำนวนคนที่มาในตอนนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโมโห
ชายคนนั้นมีรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำ และที่สำคัญที่สุด…คือชอบวางตัวให้ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วกลับหัวล้าน
ไม่เพียงแค่นั้น ที่ต้นคอยังมีรอยแผลเป็นปรากฏชัด ลากยาวไปเกือบถึงกกหู ราวกับถูกใครสักคนฟันมา
รูปร่างหน้าตาดูโหดเหี้ยม เป็นภัยต่อสังคม…
“ได้เวลาเรียนแล้ว” ชายคนนั้นกล่าวด้วยใบหน้าดุดัน น้ำเสียงของเขาแหบต่ำ “ผมเกลียดการมาสายที่สุด”
เมื่อได้ยินเสียงของชายคนนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างรู้สึกกดดันอยู่บ้าง
ทั้งที่เป็นเวลาเช้าตรู่ แต่พอได้ยินเสียงนี้กลับรู้สึกเยือกเย็นเหมือนยามเย็น…
ชั่วขณะนั้น ทุกคนที่มาถึงต่างตั้งสติเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคลาสอบรมของอาจารย์ท่านนี้…ต้องรักษาระเบียบวินัยไว้จะดีกว่า
จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องเรียนอีกประปราย
พวกเขาบางคนตื่นสาย บางคนตื่นไม่ไหว กว่าจะตื่นได้ก็คือตอนรับสายจากเพื่อนร่วมคลาส
สภาพโดยรวมแต่ละคนตาโหล เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นดี
“พวกคุณมาสาย”
เขาพูด
“ผมจะให้คะแนนจากการเข้าเรียนด้วย นั่นหมายความว่า…นับแต่นี้ไป พวกคุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ผ่านการประเมิน”
ทีแรกชายหนุ่มแต่ละคนต่างอารมณ์เสียเมื่อได้ยินประโยคนี้ และคิดจะตอบโต้กลับไป แต่พอเห็นหน้าของอาจารย์ พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป…
หน้าตาเป็นภัยสังคมสุดๆ…
เมื่อเห็นจำนวนคนเกินครึ่งแล้ว ชายหน้าตาดุดันก็กล่าวว่า “เอาล่ะ เรามาเริ่มเรียนกันดีกว่า”
“ผมชื่อโหยวไท่ เป็นอาจารย์อาวุโสของวิทยาลัยอาหารปักกิ่ง รับผิดชอบวิชาทฤษฎีและปฏิบัติในการฝึกอบรมครั้งนี้”
หลายคนตกใจเมื่อได้ยิน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ตกใจเพราะชื่อโหยวไท่ แต่ตกใจกับคำว่า ‘อาจารย์อาวุโส’ ต่างหาก!
ต้องทราบไว้ก่อนว่าคนที่เข้าร่วมอบรมมีเป้าหมายคือการได้เป็นอาจารย์ของที่นี่
เงินเดือนของอาจารย์เริ่มต้นที่สามหมื่นหยวน และยังมั่นคงมาก เรียกว่าเป็นชามข้าวทองคำก็ว่าได้
ด้วยอัตราเงินเดือนระดับนี้ ค่าสมัครแปดหมื่นหยวนไม่นานก็ได้คืนมาแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่คนฐานะปานกลางทั่วไปต่างใฝ่ฝัน
สำหรับคนมีฐานะ สิ่งที่คาดหวังไม่ใช่เรื่องจะได้เงินคืนเมื่อไร แต่เป็นเงินเดือนที่สูงและมั่นคง
อีกอย่างนี่ยังเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่พ่อแม่ของทายาทเศรษฐีเหล่านี้ส่งพวกเขามา งานสบาย มีหน้ามีตา
พวกเขาไม่กล้าฝันถึงตำแหน่งอาจารย์อาวุโสด้วยซ้ำ เพราะมันคือตำแหน่งที่ต้องผ่านการประเมินและตรวจสอบหลายต่อหลายขั้นกว่าจะไปถึง
ไม่ใช่แค่เงินเดือนเริ่มต้นที่ห้าหมื่นหยวน แต่นี่แทบจะเป็นการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของวิทยาลัยแล้ว
แม้จะมีตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิชาการ สำนักบริหาร และอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้จากผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการวิทยาลัย
แต่อาจารย์อาวุโสก็เปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญ สถานะของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บริหารเหล่านี้เลย
และโหยวไท่ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนก็เป็นเช่นนั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงอยู่นั้น ก็มีคนสองคนเดินเข้ามาจากประตู
นั่นคือซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อ
โหยวไท่ขมวดคิ้วมองทั้งสองคน “ผมเกลียดที่สุดเวลามีใครมาขัดจังหวะตอนที่ผมพูด”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็นิ่งอึ้ง พวกเขาหยุดยืนอยู่หน้าประตู
“อาจารย์ครับ คือพวกเรา…”
ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ทันพูดจบ โหยวไท่ก็ยกมือขึ้น “หุบปาก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณสองคนต้องพูด!”
ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาจารย์พูดแรงเกินไปนะครับ!”
โหยวไท่มองหน้าท่านเป้ยเล่อ แล้วตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณกล้าขัดผมเหรอ”
“พวกเราก็แค่มาสาย คุณจะจัดการยังไงก็เรื่องของคุณ แต่อย่างน้อยคำพูดของคุณก็ควรจะให้เกียรติคนอื่นหน่อยสิครับ!”
ท่านเป้ยเล่อเชิดหน้ากล่าว รัศมีความน่าเกรงขามของเขาไม่ด้อยไปกว่าโหยวไท่เลย!
เพราะที่ปักกิ่ง ท่านเป้ยเล่อไม่เคยโดนดูถูกสักครั้ง ตอนนี้เขาก็ไม่อยากโดนดูถูก
คนที่นั่งอยู่จำนวนไม่น้อยต่างเหวอไปตามๆ กัน ไอ้หมอนี่มันกล้าเถียงอาจารย์อาวุโสงั้นเหรอ บ้าไปแล้วหรือไง
ทุกคนที่มาที่นี่ต่างเป็นลูกหลานเศรษฐีกันทั้งนั้น มีใครนิสัยดีบ้าง? นายทนไม่ได้งั้นเหรอ
คราวนี้ไอ้หมอนี่น่าจะซวยแล้ว
มีเพียงหวังเหลียงจงเท่านั้นที่ไม่แสดงท่าทางสะใจออกมา มีแต่ความเป็นห่วง
เพราะหลังจากที่สามสหายได้กินอาหารเย็นร่วมกันเมื่อวานนี้แล้ว พวกเขาก็ถือว่าเป็นพวกเดียวไม่มากก็น้อย
โหยวไท่ฟังจบแล้วก็เดินลงมาจากเวที ไปหยุดอยู่ตรงหน้าท่านเป้ยเล่อ
ท่านเป้ยเล่อสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ถือว่าค่อนข้างสูง แต่โหยวไท่นั้นสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร
บวกกับร่างกายอันบึกบึน เขามองตรงไปที่ท่านเป้ยเล่อ
“ไอ้หนู ฉันไม่สนใจว่านายจะเป็นใคร แต่ที่นี่คือวิทยาลัยอาหาร อยู่ข้างนอกนายจะแน่สักแค่ไหน ก็อย่ามาแสดงให้ฉันเห็น!”
ได้ยินดังนั้น ท่านเป้ยเล่อก็หัวเราะเรียบๆ พลางเงยหน้าขึ้นเอ่ย “ที่ว่าแน่เนี่ย…รวมถึงเรื่องต่อยตีด้วยหรือเปล่า”
ดวงตาของโหยวไท่หรี่ลงเล็กน้อยขณะมองท่านเป้ยเล่อ “ถ้าอยากลอง…ก็เชิญ แต่ถ้านายแพ้ ก็ไสหัวออกไปจากคลาสของฉันซะ”
สายตาของท่านเป้ยเล่อกลายเป็นแววตาไม่แยแส กระทั่งแฝงจิตสังหารไว้
เขาเกลียดการยกตัวข่มท่านของโหยวไท่ ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกเหมือนอย่างตอนนี้
“แล้วถ้าคุณแพ้ล่ะ”
“ฮ่าๆๆ หมายความว่า…นายเอาชนะฉันได้เหรอ”
“ก็ไม่แน่”
โหยวไท่พยักหน้าช้าๆ “ถ้านายชนะ ถือว่านายผ่านการอบรมทันที”
ทันใดนั้น ทุกคนในคลาสต่างเบิกตาโพลง ให้ตายสิ จะท้าประลองกันเหรอ
น่าสนุกดีนี่ ไอ้หมอนี่จะต่อยอาจารย์จริงดิ? เจ๋งว่ะ!
ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “คลาสอบรมคราวนี้มีการอนุญาตให้พาผู้ช่วยเข้ามาด้วยหนึ่งคน ผมว่า…ให้ผู้ช่วยสู้กับคุณดีกว่า”
โหยวไท่ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองซ่งจื่อเซวียน “ฉันนึกว่านายเป็นพวกรักสงบซะอีก ดูท่าฉันจะคิดผิดสินะ”
“อืม…คงงั้นมั้งครับ กล้าหรือเปล่าล่ะ ถ้าคุณชนะ เราจะไปให้พ้นหน้าคุณ ถ้าพวกเราชนะ เรื่องวันนี้ก็ถือว่าเจ๊ากัน”
“หึๆ นายกล้าเดิมพันกับฉันแบบนี้เหรอ”
“กล้าหรือไม่กล้า พูดมาแค่คำเดียว!”
ท่านเป้ยเล่อไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนกำลังช่วยเขาอยู่
โหยวไท่คนนี้ร่างกายดูสูงใหญ่กำยำ ลมหายใจสม่ำเสมอ เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าตัวเองไปสู้กับเขา คงรับประกันไม่ได้ว่าจะชนะ แต่ถ้าให้ฟางรุ่ยหรือต้าเหมาออกโรง…
ท่านเป้ยเล่อค่อยมั่นใจขึ้นมาหน่อย
“ได้ เจอกันที่สนามกีฬา”
พูดจบ โหยวไท่ก็เดินออกจากห้องบรรยายไป
ทันใดนั้นทั้งห้องก็เกิดความโกลาหลขึ้น หลังจากซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อเดินออกไป แทบจะทุกคนต่างลุกฮือตามพวกเขาไป
ที่สนามกีฬามีคนหลายสิบคนยืนรวมตัวกันเป็นวงกลม
ในวงนั้นมีโหยวไท่ที่ยืนยืดคอส่งเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบออกมารัวๆ อยู่ด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งคือซ่งจื่อเซวียนและท่านเป้ยเล่อ
ในตอนนี้เอง ต้าเหมาและฟางรุ่ยก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังพวกเขา ฟางรุ่ยเอ่ย “นายท่านรองให้ผมจัดการเองครับ!”
“ไม่ได้ คราวนี้ฉันจัดการเอง รุ่ยจื่อ เขารังแกท่านเป้ยเล่อ งานนี้ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง!”
“ให้รุ่ยจื่อจัดการไป ต้าเหมา นายดูเถอะ พวกเราวางเดิมพันกันแล้ว!” ท่านเป้ยเล่อพูด
ท่านเป้ยเล่อไม่ใช่นักศิลปะการต่อสู้ และไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ได้ เวลาแบบนี้ต้องยกหน้าที่ให้คนที่เขามั่นใจว่าจะชนะ
จากนั้น ฟางรุ่ยก็ยืนประจันหน้ากับโหยวไท่
โหยวไท่มองฟางรุ่ย อดยิ้มด้วยความดูแคลนไม่ได้
เพราะฟางรุ่ยนั้นรูปร่างดูบอบบางยิ่งกว่าท่านเป้ยเล่อเสียอีก เทียบกับเขาแล้วช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน
“ดี ในเมื่อมาท้าทายฉัน พวกนายก็ดูไว้ให้ดี!”
โหยวไท่ชี้มือไปที่ทุกคนแล้วพูด
“เชฟไม่จำเป็นต้องมีแต่ทักษะการปรุงอาหาร แต่ยังต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีความอดทน
เพราะงั้น เชฟรุ่นใหญ่ปกตินอกจากจะทำอาหารแล้วยังต้องไปวิ่งมาราธอน ฝึกความแข็งแกร่งอะไรพวกนี้ ไม่มีเวลาไปทำเรื่องอย่างอื่นหรอก
เหมือนกับพวกนายที่เป็นพวกลูกหลานเศรษฐีในสังคมนี้ เหอะ มาถึงวิทยาลัยทั้งที ก็หัดเรียนรู้เอาไว้ซะบ้างว่าเชฟที่แท้จริงเขาทำอะไรบ้าง!”
ฟางรุ่ยส่ายหน้าพลางยิ้ม “พอๆ ลงมือสักทีเถอะ ยิ่งพูดมากแกจะยิ่งขายขี้หน้า”
“แก…”
โหยวไท่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในวิทยาลัยแห่งนี้เขาเป็นอาจารย์อาวุโส ในสังคมเขาเป็นถึงเชฟชั้นยอดที่หาตัวจับได้ยาก
หากวันนี้ถูกคนในคลาสอบรมฉีกหน้า เขาจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“ดี ในเมื่อแกอยากโดนต่อยนัก ฉันจะจัดให้!”
พูดจบ โหยวไท่ก็กำหมัดขึ้นแล้วต่อยใส่ฟางรุ่ย
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหว ฟางรุ่ยก็มั่นใจได้ทันที
ดังคำกล่าวที่ว่านักมวยมีฝีมือหรือไม่ แค่หมัดเดียวก็รู้แล้ว
พอเห็นว่าหมัดของโหยวไท่นั้นทรงพลังมากก็จริง แต่ก็เป็นการใช้กำลังแบบโง่เขลา
สิ่งที่เรียกว่าการใช้กำลังแบบโง่เขลานั้นก็เหมือนการออกแรงแบบสะเปะสะปะ รู้จักแต่การใส่แรง แต่ถึงจะต่อยโดนคู่ต่อสู้ ก็ใช่ว่าหมัดนั้นจะทรงพลังจริงๆ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการออกหมัด ความเร็วและเทคนิคอย่างลึกซึ้ง
วิชาสี่ตำลึงปาดพันชั่งที่เรียกขานกันมาก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน ถ้าคุณรู็วิธีออกแรง คุณก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองสองเท่าได้
ขณะที่หมัดหนักๆ กำลังจะปะทะตัวฟางรุ่ย เขาก็เอี้ยวตัวหลบได้ทันที
ทว่าเขาไม่ได้หลบไปไกล จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของโหยวไท่ไว้
โหยวไท่ไม่รู้สึกถึงอันตราย เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดดึงมือกลับ และคิดจะปล่อยหมัดอีกครั้ง
แต่ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันดึงมือกลับ หมัดของฟางรุ่ยก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขาแล้ว
ตู้ม!
แค่หมัดเดียวก็ทำให้โหยวไท่เห็นดาวลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว
หากฟางรุ่ยโจมตีอีกครั้ง โหยวไท่ก็ไม่มีทางโต้กลับได้ ฟางรุ่ยจึงยั้งมือไว้
เห็นโหยวไท่เซไปมา ก็มีหลายคนหัวเราะออกมา
การเห็นคนร่างใหญ่ขนาดนั้นยืนตัวโคลงเคลงแบบนั้น มันน่าขำจริงๆ
ไม่นานนักโหยวไท่ก็ได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาจ้องหน้าฟางรุ่ย พร้อมพูดลอดไรฟัน “แม่งเอ๊ย ฉันจะฆ่าแก!”
อีกหมัด
หลังจากทดสอบความเคลื่อนไหวในยกเมื่อครู่ ฟางรุ่ยก็มั่นใจแล้ว
เขาก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นรับหมัดของโหยวไท่โดยตรง
แขนของคนเรามีพลังจำกัด ยิ่งอยู่ไกลเท่าไรแรงที่ส่งมายิ่งน้อยลง
โหยวไท่ในตอนนี้ปล่อยหมัดจนสุดกำลัง เท้าของเขาไม่ขยับ แต่หมัดของเขากลับเหยียดไปข้างหน้าจนสุดแรง
พลังหมัดของเขาลดลงอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์อย่างไม่คาดฝัน ฟางรุ่ยคว้าหมัดของเขาไว้ในมือได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
เมื่อเห็นดังนี้ โหยวไท่ถึงกับผงะ แต่ไม่รอให้เขาโต้กลับ ฟางรุ่ยก็ผลักไปข้างหน้าทันที
แรงที่ส่งมาจากด้านหน้าบวกกับแรงจากด้านหลังผลักไปยังโหยวไท่ทั้งหมด
โหยวไท่เสียการทรงตัว เซถลาไปสองสามก้าวและล้มลงกับพื้น
เสียงกระแทกดังสนั่น พื้นดินคล้ายจะสั่นสะเทือน
ฟางรุ่ยเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าว โหยวไท่ลุกขึ้นไม่ทัน ใช้มือยันพื้นกระเถิบถอยห่างออกไปหลายสิบเซนติเมตรโดยไม่รู้ตัว
“ยอมแพ้หรือยัง”
แม้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้เห็นภาพตรงหน้าแล้วจะไม่กล้าส่งเสียงเชียร์ แต่พวกเขาก็ปิดปากหัวเราะกันหมด
ในตอนนี้เองก็มีเสียงลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก
“หยุดเดี๋ยวนี้ ทำอะไรกันน่ะหา!”
ทุกคนหันไปมองก็เห็นคนในชุดสูทสามสี่คนเดินเข้ามาทางนี้
สังเกตจากท่าทางก็รู้ว่าน่าจะเป็นพวกผู้บริหารของวิทยาลัย…
……………………………………………
…………….