เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 394 ใครเห็นก่อนเป็นของคนนั้น
ตอนที่ 394 ใครเห็นก่อนเป็นของคนนั้น
…………….
ระหว่างที่เดินอยู่ ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “อ้อใช่ท่านเป้ยเล่อ เมื่อกี้นี้คุณพูดถึงพ่อครัวระดับเหรียญเงิน หมายความว่าอะไรเหรอครับ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้ม เหมือนรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะถามเช่นนี้
ระดับของพ่อครัวดั้งเดิมก็คือพวกระดับหนึ่ง ระดับสอง ระดับสาม แต่ระดับเหรียญเงิน คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
เพราะนี่คือสมญานามที่เป็นของหอเกียรติยศอาหารรสเลิศของจีนแต่เพียงผู้เดียว
“ระดับเหรียญเงินเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน หลังก่อตั้งวิทยาลัยอาหารแล้ว ก็ได้ยื่นหนังสือเสนออาชีพอาจารย์ประเมินอาหารรสเลิศต่อทางภาครัฐ
ต่อมาภายหลัง ระดับการประเมินจึงเกิดขึ้นเหมือนกัน ปกติการประเมินระดับหนึ่งและระดับพิเศษพวกเรารู้อยู่แล้ว จากนั้นก็เพิ่มระดับเหรียญเงิน ระดับเหรียญทอง ระดับทองคำขาวและระดับเพชรเข้าไปอีก”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วมึนงง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ผม…ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ฮ่าๆๆ ไม่แปลก จุดเริ่มต้นของทุกอาชีพก็เป็นแบบนี้ เกรงว่าตอนที่ทุกคนรู้ เชฟระดับเหล่านี้ก็น่าจะกลายเป็นเชฟระดับสูงของจีนไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ก็มีเหตุผลอยู่”
ซ่งจื่อเซวียนพอจะนึกออก อันที่จริงทุกสาชาอาชีพก็เป็นแบบนี้
อย่างเช่นนักบัญชี สถาปนิก ตอนที่ชื่ออาชีพเหล่านี้มาถึงหูของทุกคน ก็มีคนทำอาชีพเช่นนี้อยู่ในประเทศจีนไม่น้อยแล้ว
และคนที่ทำงานพวกนี้ในยุคแรกๆ ก็กลายเป็นคนที่โกยเงินได้มากที่สุดในอาชีพนี้ ถึงขนาดที่ว่ากลายเป็นหัวกะทิและปูชนียบุคคลของอาชีพนี้ในภายหลัง
“แต่…ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วพวกปูชนียบุคคลอย่างท่านผู้เฒ่าหลิงล่ะครับ”
ท่านเป้ยเล่อพลันยิ้ม “นายคิดมากเกินไปแล้ว เนื่องจากคนพวกนี้มีตำแหน่งที่มั่นคงในประเทศจีน วิทยาลัยจะพิจารณาตัดสินให้อยู่ระดับสูงสุดในทันที และจะเชิญพวกเขาให้เป็นอาจารย์พิเศษของวิทยาลัยอีกด้วย ท่านผู้เฒ่าหลิงก็คือหนึ่งในนั้น”
“เหอะๆ น่าสนใจจริงๆ เพราะงั้น…ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่กลุ่มแรก แต่ก็ถือว่าอยู่แถวหน้าแล้ว”
“ถูกต้อง นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาสองสามกลุ่มที่แล้ว นอกจากอันธพาลรวยๆ พวกนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาจารย์กัน หรือไม่ก็ทำงานเกี่ยวกับการวิจัย พวกเขากำลังรอให้ระดับใหม่ของสายงานนี้เติบโตอย่างเต็มที่แล้วค่อยเข้าไปโกยเงิน”
“อยากจะได้ระดับนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว วังเหว่ยบอกว่า การพิจารณาตัดสินเชฟระดับเหรียญเงิน อย่างน้อยจะต้องทำอาหารเลิศรสที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่ตัดสินเสียก่อน
ในพื้นฐานนี้ยังต้องสำรวจการยอมรับของตลาดด้วย มีเพียงอาหารที่อัตราการยอมรับสูงเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ์พิจารณา และยังไม่รวมการแข่งขันด้านราคาอีก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “เข้มงวดมากเหมือนกันแฮะ อาหารที่ขายได้มากเพราะราคาต่ำ อันที่จริงใช่ว่าจะมีรสชาติที่อร่อยต่อาจจะเป็นเพราะราคาถูกล้วนๆ”
ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว
ห่างจากหน้าประตูใหญ่ของพื้นที่ป่าวิทยาลัยไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร
“ทุกคนระวังหน่อย จู่ๆ ทางข้างหน้าก็แคบลงมาก อย่าเกิดอุบัติเหตุเด็ดขาดล่ะ!”
เวลานี้ ต้าเหมาตะโกนขึ้นมา
เขาเห็นทางเดินตรงหน้าที่ติดกำแพงสูงแคบลงเหลือเพียงสามสิบสี่สิบเซนติเมตรแล้ว สองเท้าเหยียบลงก็แทบจะเต็มแล้ว
บวกกับกำแพงสูงอีกด้านหนึ่ง ยากที่จะทรงตัวให้สมดุล ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระมัดระวังขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น พวกเขาจึงไม่พูดคุยกันอีก ระวังแม้แต่การหายใจ เดินตัวแนบติดกำแพงสูง
จนกระทั่งหันตัวไปด้านข้างและก้าวขึ้นสะพานไม้ได้ ซ่งจื่อเซวียนจึงหายใจเฮือกใหญ่ในที่สุด
ท่านเป้ยเล่อมองไปข้างหน้า “เพิ่งจะเริ่มต้นเอง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเราจะมีเวลาแห่งการผจญภัยหนึ่งคืนเลย มาเถอะ!”
“ฮ่าๆ เริ่มเลย!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความตื่นเต้น
สะพานนี้มีความยาวทั้งหมดสี่ร้อยห้าร้อยเมตรโดยประมาณ มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงระยะทางของเหวลึก
เนื่องจากมีระยะห่างมาก ตัวสะพานทั้งหมดถูกยึดแน่นด้วยเชือกป่านกับเหล็ก เวลาเดินก็สั่นไหว คนทั่วไปคงจะรู้สึกกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
เดินข้ามสะพานแขวนมาแล้วจะพบกับพื้นที่โล่งกว้าง ดอกไม้ใบหญ้าสีสันสดใส สายน้ำไหลริน เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติจริงๆ
มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซ่งจื่อเซวียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ “สภาพแวดล้อมที่นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ตู้เหมิน ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ทั้งคู่ ยากที่จะได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้จริงๆ”
ท่านเป้ยเล่อยิ้มน้อยๆ “ใช่แล้ว ความจริงหากจะพูดถึงวัตถุดิบของอาหารเลิศรสเพียงอย่างเดียว หมู่บ้านหลายแห่งทางใต้ก็มีความได้เปรียบมากกว่า
พวกเขามีภูเขาและแม่น้ำล้อมรอบ พืชเจริญเติบโตได้ดี ประเภทวัตถุดิบก็มีหลากหลาย แต่มาตรฐานการปรุงอาหารถือว่าล้าหลังอยู่บ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ใช่แล้ว แต่ถึงพวกเนื้อจะดีแค่ไหน วัตถุดิบของอาหารส่วนใหญ่ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง หลักๆ แล้วเป็นพืชเสียมากกว่า”
“เหอะๆ ก็ไม่แน่ เลี้ยงในฟาร์มสู้เลี้ยงในบ้านไม่ได้ เลี้ยงในบ้านสู้เลี้ยงแบบปล่อยอิสระไม่ได้ ดังนั้นของป่าจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ท่านเป้ยเล่อกล่าว
“นี่คือเรื่องจริง ยกเว้นอาหารป่าพิสดารบางอย่างที่ไม่ควรไปกิน สัตว์หลายชนิดเติบโตในป่า ทำให้คุณภาพของเนื้อดียิ่งขึ้น”
ขณะที่เดินไปข้างหน้า ซ่งจื่อเซวียนก็มีสีหน้าเพลิดเพลิน เพราะยากที่จะได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้ในเมืองใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอย่างซ่งจื่อเซวียนด้วย
ในไม่ช้า พวกเขาเดินผ่านผืนหญ้าก็มองเห็นสวนแห่งหนึ่งด้านหน้า
มีพืชเพาะปลูกเขียวชอุ่มเจริญงอกงามอยู่ในสวน
คนที่ไม่เข้าใจมองแล้วอาจจะคิดว่านี่คือพื้นที่สีเขียวทั่วไป แต่ซ่งจื่อเซวียนมองปราดเดียวก็รู้ว่าที่นี่เป็นสวนพืชสมุนไพร
“ตรงโน้นน่าจะเป็นสวนสมุนไพรที่ทางวิทยาลัยปลูก ดูแล้วน่าจะมีอยู่หลายชนิด”
“สมุนไพร? นายเข้าใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“แหะๆ พอเข้าใจอยู่บ้างครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วิ่งซอยเท้าเข้าไป นั่งยองๆ และเริ่มสังเกตตัวสมุนไพรเหล่านี้
ซ่งจื่อเซวียนรู้จักสมุนไพรในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญ แต่ที่เห็นเป็นประจำก็ยังพอจำได้
“โห ซานชี อึ่งคี้ ตังเซียม…
เหอะๆ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมปกติ สมุนไพรพวกนี้เติบโตอยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ได้หรอก”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะพลางลูบใบของตังเซียม
ตังเซียมเป็นพืชที่เติบโตอยู่ใต้ดิน โดยมีกิ่งและใบอยู่บนพื้นดิน ปกติจะมีหนึ่งถึงสองกิ่ง
“มีอันไหนแพงบ้างไหม พวกเราจะได้เก็บกลับไป” ท่านเป้ยเล่อเอ่ยยิ้มๆ
“พอเถอะ พวกเขาปลูกไว้ที่นี่ หยิบไปก็ไม่ต่างจากการขโมย เดี๋ยวไปหาตามป่ากันเถอะ”
ท่านเป้ยเล่อได้ยินแล้วก็พยักหน้าช้าๆ ดูเหมือนจะได้ยืนยันนิสัยและตัวตนของซ่งจื่อเซวียนในใจอีกครั้งแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปข้างหน้าต่อ เดินผ่านสวนพืชสมุนไพร ก็เห็นคอกวัว คอกแพะกับคอกหมูอยู่ข้างหน้าอีก
เพียงแต่บริเวณเช่นนี้มีป้อมยามอยู่ทั่ว และยังเปิดไฟอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้เดินเข้าไปใกล้แต่เดินอ้อมออกไป
“คิดไม่ถึงว่าจะมีฐานผสมพันธุ์สัตว์ใหญ่ขนาดนี้อยู่ในวิทยาลัยด้วย และยังเป็นแบบธรรมชาติ ยากที่จะได้เห็นจริงๆ” ท่านเป้ยเล่อกล่าว
“พอถึงตอนกลางวันคงมีคนเอาพวกมันไปปล่อยเลี้ยงโดยเฉพาะ แบบนี้รสชาติของเนื้อวัวและเนื้อแพะถึงจะอร่อย”
ขณะที่กำลังเดินอยู่ ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นพื้นที่ป่าขนาดเล็กอยู่ด้านหน้า และยังมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน
ภายใต้แสงจันทร์ ปลาตัวเล็กสองสามตัวกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ สะท้อนเกล็ดเงินของมันออกมา
“ไปดูข้างในป่ากันเถอะ อาจจะเจอพืชดีๆ บ้าง”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ป่า กิ่งไม้และใบไม้ก็บดบังแสงจันทร์ แสงที่ส่องให้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบจึงมืดลงเล็กน้อย
พวกเขาหยิบโทรศัพท์มาส่องทางข้างหน้าทันที
เช่นนี้ก็จะป้องกันตัวจากสัตว์จำพวกแมลงพิษและงูที่อยู่ในป่าได้ หากมีตัวอะไรโผล่มาก็จะตอบสนองกลับได้ทันที
อีกทั้งแสงจ้าก็ช่วยกันพวกสัตว์ป่าได้ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่น่ามีสัตว์ป่าอะไรอยู่ในนี้…
ระหว่างที่เดินกันอยู่ ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดฝีเท้าลง ใช้โทรศัพท์ส่องไปยังด้านล่างของต้นไม้ต้นหนึ่ง
เขาลังเลสองสามวินาที ก่อนจะรีบเดินไปข้างหน้าแล้วนั่งยองๆ
เขาเห็นพืชสีเขียวสองสามต้นอยู่ใต้ต้นไม้ รูปทรงเป็นก้าน แต่ละก้านมีใบอยู่สิบกว่าใบ
จากบนลงล่างใบมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยใบที่อยู่ด้านบนสุดเป็นเพียงดอกไม้ตูม
เห็นตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มเล็กน้อย “ไม่เลวเลย มีถั่วปากอ้าภูเขาอยู่ด้วยแฮะ”
“หืม ถั่วปากอ้าภูเขา? นายรู้จักเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย จากนั้นใช้มือเด็ดมาหนึ่งใบ
ใบของมันไม่ใช่ใบบางๆ เท่านั้น แต่มีความอัศจรรย์มากกว่านั้น สามารถบีบเม็ดถั่วสีเขียวออกมาได้สองสามเม็ด
เม็ดถั่วมีความนุ่มและสดใหม่มาก ดูชุ่มชื้นเป็นที่สุด
“นี่คือถั่วปากอ้าภูเขาเหรอ” ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองใกล้ๆ อีกที
“ฉันเคยได้ยินชื่อเจ้านี่มาก่อน ดูเหมือนจะเป็น..เครื่องปรุงรส”
“เหอะๆ ถูกต้อง สมัยก่อนอาหารเลิศรสที่อยู่ดินแดนห่างไกลมักจะใช้ถั่วปากอ้าภูเขา จากนั้นถึงค่อยแพร่หลายมาทางพวกเรา
แต่ต่อมาเพราะการซื้อขายของประเภทนี้ยุ่งยากเกินไป หลายคนเลยเลือกที่จะใช้ผงปรุงรสแทน
จนถึงตอนนี้แทบจะไม่มีใครใช้ถั่วปากอ้าภูเขาแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ท่านเป้ยเล่อก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ถ้างั้น…มีความแตกต่างกันไหม”
“มีแน่นอน ถั่วปากอ้าภูเขาเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เอาไปผึ่งแดดแล้วบดเป็นผงก็นำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ผงปรุงรสเลย…
ผงปรุงรสตามท้องตลาดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใครจะไปรู้ว่าใช้ผลิตภัณฑ์เคมีตัวไหน และถึงจะไม่ใช้ แต่ก็เทียบกับเครื่องปรุงรสที่มาจากธรรมชาติไม่ได้”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เด็ดถั่วปากอ้าภูเขาจำนวนหนึ่งใส่ในกระเป๋า
อย่างไรเจ้านี่ก็จะถูกเอาไปผึ่งแดดแล้วบดเป็นผง ดังนั้นจึงไม่ต้องจัดเก็บอย่างดีนัก
“เหอะๆ อุดมสมบูรณ์จริงๆ พวกเรากลับไปก็ลองใช้ถั่วปากอ้าภูเขาเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารได้”
“จื่อเซวียน นายเกิดมาเป็นเชฟจริงๆ” ท่านเป้ยเล่อกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปรอบๆ อีกครั้ง
“นั่นมัน…ยี่หร่าเก้าเซียนเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ท่านเป้ยเล่อก็ตะลึงงันไป
“อะไรนะ ยี่หร่าเก้าเซียนเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน ต้นนั้นราคาสองสามแสนเชียวนะ”
ซ่งจื่อเซวียนพลันยิ้ม จากนั้นก็รีบเดินฉับๆ เข้าไป เห็นเพียงดอกไม้สีแดงสดสะดุดตาอยู่ริมลำธาร
ทว่าในตอนนี้เอง เขาก็เห็นเงาดำของใครคนหนึ่งมุดออกมาจากหลังต้นไม้กะทันหัน วิ่งเข้าหาต้นยี่หร่าเก้าเซียน
ความเร็วนั้น…เหมือนจะมากกว่าซ่งจื่อเซวียน!
เห็นดังนั้น ท่านเป้ยเล่อ ฟางรุ่ยและต้าเหมาจึงรีบวิ่งไปทางนั้นเช่นกัน
แต่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายได้เปรียบ เพราะต้นไม้ที่เขาซ่อนตัวอยู่เมื่อครู่อยู่ใกล้ต้นยี่หร่ามากกว่า!
แต่จังหวะที่คนคนนั้นกำลังจะเด็ดต้นยี่หร่า ฟางรุ่ยก็พุ่งเข้าไปขวางหน้าอีกฝ่ายทันที
เนื่องจากแสงจันทร์ยากที่จะส่องถึง จึงมองใบหน้าของคนคนนั้นในระยะไกลได้ไม่ชัด
แต่ตอนนี้ วินาทีที่แสงไฟโทรศัพท์ส่องเข้ามา ใบหน้าของคนคนนั้นก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขาอย่างชัดเจน
“นายเองงั้นเหรอ” ท่านเป้ยเล่อขมวดคิ้วแน่น
คนคนนั้นเชิดหน้าเล็กน้อย “ขอโทษด้วย ต้นยี่หร่าเก้าเซียนนี้เป็นของฉันแล้ว”
พวกเขาพลันล้อมคนคนนั้นไว้ในทันที
คนคนนั้นมองซ้ายแลขวา “ทำไมล่ะ พวกนายมาช้าไปหนึ่งก้าว ยังคิดจะแย่งงั้นเหรอ”
ท่านเป้ยเล่อพลันหัวเราะ “เหอะๆ สงสัยคนที่มาฝึกอบรมในครั้งนี้จะมีแต่คนไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่มีกฎข้อหนึ่งที่นายไม่รู้ ต้นยี่หร่าเก้าเซียนนี่…ใครเห็นก่อนเป็นของคนนั้น!”
………………………………………….
…………….