เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 346 เจ้าถิงถิง
ตอนที่ 346 เจ้าถิงถิง
……….
รถขับไปถึงหน้าประตูพื้นที่กว้างใจกลางเมืองแล้วจอด
ซ่งจื่อเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่าเขาไม่เคยมาที่แบบนี้มาก่อน
“ท่านอธิบดีลู่ ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ”
“เหอะๆ นี่คือเส้นทางเชื่อมถนนพนันม้า คนทั่วไปจะไม่ขับรถเข้าไปเพราะข้างหน้าไม่มีถนนแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เส้นทางเชื่อมถนนพนันม้า…เมื่อก่อนนี่น่าจะเป็นเขตเช่าของอังกฤษใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ นายรู้ประวัติศาสตร์ดีนะ นี่คือจุดสิ้นสุดของพื้นที่เช่าอังกฤษ เมื่อก่อนชาวต่างชาติเคยเลี้ยงม้าที่นี่
และชาวต่างชาติพวกนี้ก็ชอบพนันม้า พวกเขาถึงได้สร้างลานพนันแข่งม้าบนถนนเล็กๆ จากฟาร์มเลี้ยงม้าจนถึงสถานที่พนันแข่งม้าเรียกกันว่าถนนพนันม้า”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มและกล่าว “ท่านอธิบดีลู่ก็รู้ประวัติศาสตร์ดีเหมือนกันนะครับ”
“สิ่งเหล่านี้เป็นเกร็ดความรู้ เมื่อก่อนเพื่อนฉันเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคอกม้า จึงสร้างเป็นเขตขนาดใหญ่ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ผู้นำส่วนราชการทั้งหมดมาพักอาศัยอยู่ที่นี่น่ะ” ลู่ลี่จวินชี้ไปยังพื้นที่กว้างตรงหน้า
เมื่อจอดรถแล้ว ทั้งสองก็เดินไปที่หน้าประตู
เนื่องจากผู้นำอาศัยอยู่ที่นี่จึงมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแลอยู่ แค่ลงทะเบียนอย่างเดียวไม่พอ แต่ยังต้องโทรศัพท์ให้คนด้านในยืนยันอีกด้วย
ในเวลานี้ผู้นำเจ้าตอบกลับมาแล้ว เมื่อโทรศัพท์เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้ทั้งสองคนเข้าไป
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของซ่งจื่อเซวียนกับสถานการณ์เช่นนี้
เขามักจะเห็นยามถือปืนในโทรทัศน์ อีกทั้งยังไม่ใช่แนวปัจจุบัน
เมื่อมาถึงหน้าอาคารหลังเล็ก ลู่ลี่จวินกดกริ่งประตูสองสามครั้ง จากนั้นประตูก็เปิด
ก้าวเข้าไปก็เห็นชายวัยห้าสิบคนหนึ่งกำลังรออยู่ที่ประตู และข้างๆ เขาเป็นหญิงวัยกลางคน ซึ่งคงจะเป็นภรรยาของเขา
ซ่งจื่อเซวียนไม่เคยคาดคิดมาก่อน เขาเห็นผู้นำเจ้าแสดงอำนาจอย่างเป็นทางการทางโทรทัศน์ แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนลุงข้างบ้าน
“ลี่จวิน มาแล้วเหรอ” ผู้นำเจ้าเอ่ยขึ้นก่อน
“ท่านผู้นำ คงรอนานแล้วใช่ไหมครับ” ลู่ลี่จวินยื่นมือออกไปจับมือกับผู้นำทันที
แต่พวกเขาไม่ได้เดินเข้าไป เพราะพวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนรองเท้าและไม่รู้ว่าจำเป็นหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ที่เดิม
จนกระทั่งผู้นำเจ้าบอกว่าให้รีบเข้ามา ทั้งสองคนจึงเดินเข้าไป
ซ่งจื่อเซวียนถือว่าเป็นคนแปลกหน้า ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตามหลังลู่ลี่จวินไป
“นี่คงเป็นคุณซ่งที่เสี่ยวถานพูดถึงใช่ไหม”
ผู้นำเจ้าเรียกซ่งจื่อเซวียนว่าคุณ ซึ่งเป็นการให้ความเคารพเป็นอย่างมาก
อย่างไรคนที่เขาเจอหน้าอยู่ในขณะนี้คือคนที่จะรักษาโรคให้กับลูกสาวของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องเคารพและเรียกอีกฝ่ายว่าคุณเป็นธรรมดา
“ใช่ครับๆๆ ท่านผู้นำ นี่คือซ่งจื่อเซวียนเป็นเพื่อนของผม ผมคิดว่าเลขาถานได้บอกคุณแล้ว เขาเป็นคนรักษาอาการของผมก่อนหน้านี้จนหายดีครับ”
ผู้นำเจ้าได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้าช้าๆ “ลี่จวินเอ๊ย เพราะนายลำบากเรื่องงาน ดังนั้นต่อไปนายต้องใส่ใจกับการจัดระเบียบงานและเวลาพักผ่อนให้ดี”
“ครับๆๆ ท่านผู้นำพูดถูก”
ซ่งจื่อเซวียนแอบหัวเราะ ผู้นำเจ้าคนนี้พูดจาเป็นทางการอยู่เสมอ ในเวลาแบบนี้เขายังรู้จักพูดปลอบใจลู่ลี่จวิน เป็นวิถีของผู้นำ
“คุณซ่ง ฉันขอฝากอาการป่วยของถิงถิงไว้กับนายด้วยนะ”
ผู้นำเจ้ามองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบโค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านผู้นำเกรงใจผมแล้ว เรียกผมว่าจื่อเซวียนก็ได้ครับ ถ้าสามารถรักษาให้หายขาดได้คงจะดีมากเลยครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้นำเจ้าก็ชะงัก
ก่อนอื่นเขาไม่คิดว่าลู่ลี่จวินจะพาชายหนุ่มคนนี้มาด้วย เด็กหนุ่มคนนี้ดูอายุประมาณยี่สิบปี ซึ่งยังเด็กเกินไป
และที่สำคัญที่สุดคือแม้อายุยังน้อย แต่เขาก็พูดจาได้หนักแน่นมาก
“เอาล่ะ พ่อหนุ่มหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่จริงๆ มาๆๆ เราไปนั่งข้างในกันเถอะ เหล่าฉินไปชงชา”
“ค่ะๆๆ พวกคุณคุยกันไปก่อน ฉันจะไปชงชามาให้” ภรรยาของผู้นำเจ้ารีบกล่าวทันที
ซ่งจื่อเซวียนโบกมือ “ท่านผู้นำ ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องดื่มชาหรอกครับ ผมขอดูอาการลูกสาวคุณก่อนดีกว่า”
ผู้นำเจ้าพยักหน้าซ้ำๆ “ดีเลย งั้นเราไปดูถิงถิงกันก่อน พวกนายตามฉันมา”
ผู้นำเจ้าพักอาศัยอยู่ในตึกเล็กๆ สามชั้น ชั้นหนึ่งเป็นห้องรับแขก ชั้นสองและสามเป็นห้องพักหลายห้อง
นอกจากนี้ยังมีห้องรับแขกอยู่บนชั้นสอง แต่จะเล็กกว่าชั้นหนึ่งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าใช้สำหรับรับแขกเช่นเพื่อนใกล้ชิด
ห้องของเจ้าถิงถิงอยู่บนชั้นสาม โดยเชื่อมต่อกับระเบียงที่มีแสงแดดส่องถึง เวลานี้เป็นเวลาที่เธอนอนอาบแดดบนระเบียงทุกวัน
เมื่อเดินไปถึงประตูห้องของเจ้าถิงถิง ผู้นำเจ้าก็เปิดประตูและมองดูลูกสาวที่นั่งอยู่ตรงระเบียง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนใจ
“เฮ้อ ตั้งแต่ที่เธอเป็นโรคนี้ ถิงถิงก็หยุดเรียนและทุกวันก็ไม่ยอมออกจากบ้านเลย
การเก็บตัวอยู่ที่บ้านตลอดเวลาไม่ใช่ปัญหา แต่คนจะไม่เห็นแสงแดดได้ยังไงกัน ฉันเลยให้เธออาบแดดยามเช้าทุกวัน”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ท่านผู้นำ ผมขออยู่กับเธอตามลำพังสักครู่ได้ไหมครับ”
ผู้นำเจ้าชะงักไป เห็นได้ชัดว่าผู้นำเจ้าและลู่ลี่จวินคิดไม่ถึงกับคำพูดของซ่งจื่อเซวียน
ไอ้หนุ่มคนนี้ขออยู่กับลูกสาวของเขาตามลำพัง…แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายสามารถรักษาโรคได้ ผู้นำเจ้าจึงตอบตกลง
“ได้ พ่อหนุ่ม งั้นฉันฝากนายด้วยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกพวกเราได้ตลอดเวลา” ผู้นำเจ้ากล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
เมื่อประตูกำลังจะปิด ลู่ลี่จวินก็รู้สึกใจสั่นและพูดกับตัวเองในใจ ซ่งจื่อเซวียนเอ๊ยซ่งจื่อเซวียน นายจะบ้าไม่ได้นะ
นี่คือบ้านของผู้นำเจ้า นายอยู่ในห้องกับลูกสาวของเขาแล้วให้ท่านผู้นำรออยู่ข้างนอกงั้นเหรอ
เจ้าเด็กนี่ช่างกล้าจริงๆ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าคงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน…
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลู่ลี่จวินทำได้เพียงแบกรับเอาไว้ เขาเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้นำเจ้าจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เอาล่ะ ลี่จวิน เราไปห้องหนังสือกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้แม่ของเธอมาเฝ้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้มีคนช่วยได้”
ลู่ลี่จวินพยักหน้า “ได้ครับ ท่านผู้นำ ไม่งั้นผมเฝ้าอยู่ตรงนี้ก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้อง เราไปคุยเรื่องงานกันดีกว่า”
จากนั้นทั้งสองก็ไปที่ห้องหนังสือ
ภายในห้อง ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้รีบเดินเข้าไป แต่เฝ้ามองจากระยะไกลแทน
เจ้าถิงถิงสวมชุดสีขาว ดูเหมือนว่าขนาดของชุดจะใหญ่มาก ชุดตัวโคร่งพลิ้วไหวเมื่อลมพัดผ่าน
เขารู้ว่านี่อาจเป็นเพราะหลังจากเจ้าถิงถิงเป็นโรคเบื่ออาหาร ร่างกายจึงซูบผอมลงอย่างมาก
เมื่อลองใคร่ครวญ โรคเบื่ออาหารนับว่าเป็นหนึ่งในโรคที่ทรมานที่สุดในสังคมปัจจุบัน
การเห็นตัวเองน้ำหนักลดฮวบในแต่ละวัน อยากทานอะไรสักอย่างแต่กลับไม่มีความอยากอาหารเลย เมื่อทานเข้าไปก็อาเจียนออกมา
ช่างน่าสงสารมากจริงๆ
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจ เด็กสาวที่ดีขนาดนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเช่นนี้
บางทีการถอนหายใจครั้งนี้คงทำให้เจ้าถิงถิงรู้สึกตัว เธอขยับร่างกายและค่อยๆ หันหน้ามา
แสงแดดสาดส่องบนใบหน้าซึ่งดูสะอาดเกลี้ยงเกลา ผมสั้นทำให้เธอดูบริสุทธิ์และอ่อนเยาว์มาก
แต่เพียงเพราะเธอผอมเกินไป ใบหน้าทั้งสองข้างจึงซูบลงเล็กน้อย สภาพจิตใจก็ดูไม่ค่อยดีอย่างชัดเจน
“คุณเป็นใคร”
เสียงของเจ้าถิงถิงใสหวานเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับวัยของเธอ แต่เธอดูเหมือนเด็กสาววัยรุ่นอายุสิบสี่หรือสิบห้าปี
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักครู่หนึ่งแล้วจึงคลี่ยิ้ม
“อ๋อๆ พ่อฉันกับพ่อเธอคุยเรื่องงานกันอยู่เลยให้ฉันไปเล่นคนเดียวน่ะ ฉันไม่ระวังเลยเดินเข้ามาในห้องเธอ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดความจริง เขาไม่อยากให้เจ้าถิงถิงรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อรักษาเธอ
เป็นแบบนี้ อีกฝ่ายจะได้ไร้แรงกดดัน และอาจเริ่มรักษาได้สะดวกกว่า
“เป็นแบบนี้เอง นายนั่งเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า แต่ไม่ได้นั่งลงและก้าวช้าๆ ไปที่ระเบียง
“วันนี้แสงแดดดีจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“ใช่ สองวันก่อนฟ้าครึ้ม ฉันไม่ได้อาบแดดเลย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้ม “จริงเหรอ แต่ฉันได้ยินคนพูดว่าการอาบแดดผ่านหน้าต่างกระจกไม่ค่อยได้ผล เธอควรออกไปเดินเล่นดีกว่านะ”
“ฉัน…เดินไม่ได้” ขณะที่พูด เจ้าถิงถิงก็ก้มหน้างุดและดูสิ้นหวังเล็กน้อย
“หืม ขาเธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าถิงถิงหันไปมองซ่งจื่อเซวียน “ฉันเบื่ออาหาร ไม่ได้กินอาหารปกติมานานแล้ว ร่างกายก็เลยไม่มีแรงน่ะ”
การแพทย์แผนจีนวินิจฉัยจากการมอง การฟัง การซักถามและการสัมผัส ตอนนี้การมองและการฟังสำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปซ่งจื่อเซวียนวางแผนเริ่มซักถามเกี่ยวกับอาการของเธอ
“หา? เฮ้อ โรคเบื่ออาหารมันไม่จริง โรคเบื่ออาหารจริงๆ มีที่ไหนกัน”
“จริงสิ ฉันมีอาการเบื่ออาหารจริงๆ” เจ้าถิงถิงทำหน้าบูดบึ้ง
“ฉันไม่เชื่อ ฉันเคยเรียนแพทย์แผนจีนมาก่อน เธอบอกฉันมาว่ามีอาการอะไรบ้าง ฉันจะดูว่าเป็นโรคเบื่ออาหารจริงหรือเปล่า”
เมื่อเจ้าถิงถิงได้ยินคำพูดนี้ เธอก็มองซ่งจื่อเซวียนด้วยความสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจึงรีบพูด “ว่าไง ไม่มีอาการอะไรเลยเหรอ ฉันพูดถูกเหรอ”
“ฉะ…ฉันไม่หิวเลยสักนิด เป็นทุกครั้งด้วย แต่หลังจากน้ำหนักลดฮวบ ฉันก็อยากกินจริงๆ แต่…กินไม่ลง มีครั้งหนึ่งถึงกับอ้วกออกมาเลย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ครุ่นคิด “หลังจากน้ำหนักลดเหรอ แล้วก่อนที่น้ำหนักจะลดล่ะ”
“เมื่อก่อน…ตอนนั้นฉันหนักหกสิบห้ากิโลแล้วถูกคนอื่นหัวเราะเยาะว่าเป็นยัยอ้วน ก็เลย…”
“เธอก็เลยควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่นั้น เธอยังออกกำลังกายมากเกินไป และชั่งน้ำหนักตัวเองทุกวันไม่ต่ำกว่าสิบครั้งใช่ไหม”
เมื่อเจ้าถิงถิงได้ยินประโยคนี้ก็ตกตะลึง ผู้ชายคนนี้เป็นหมอดูหรือเปล่า ไม่ผิดเลยสักคำเดียว!
เห็นสีหน้าประหลาดใจของเจ้าถิงถิง ซ่งจื่อเซวียนกลับรู้สึกว่าไม่ได้เหนือความคาดหมาย
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด เขาก็เอ่ยขึ้น “โธ่เอ๊ย มันไม่ใช่โรคเบื่ออาหารอะไรหรอก นี่เป็นอาการทางจิต”
“อาการทางจิตเหรอ”
“ใช่แล้ว ฉันจำคำที่อาจารย์เคยบอกไว้ได้ ลักษณะแบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นโรค กินอาหารดีๆ นิดหน่อยก็กลับมาดีขึ้นแล้ว”
“กินอาหารดีๆ? ตะ…แต่ฉันไม่อยากกินอะไรเลย แม่ทำเกี๊ยวไส้หอยที่ฉันชอบกิน พอได้กลิ่นก็รู้สึกเหมือนจะอ้วกแล้ว” เจ้าถิงถิงเอ่ย
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “อาจเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารมานานเกินไป ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ามียาชนิดหนึ่งที่ดื่มแล้วทำให้อยากอาหาร เธออยากลองไหม”
เจ้าถิงถิงพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว
“โอเค คราวหน้าถ้าฉันมาที่นี่จะเอามาให้เธอแล้วกัน เธอลองดูหน่อย ต้องอยากอาหารแน่นอน ครั้งที่แล้วที่ฉันดื่ม ผลลัพธ์คือในสามวันฉันอยากกินทุกอย่าง น้ำหนักขึ้นมาสองกิโลครึ่งเลย!”
สีหน้าเจ้าถิงถิงดูประหลาดใจและยิ้มในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าซ่งจื่อเซวียนได้เปิดโลกใหม่ให้กับเธอ
“สองกิโลครึ่งเนี่ยนะ”
“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเธอก็ลองดื่มยานี้ดู ถ้ามันได้ผล ฉันจะทำอาหารด้วยฝีมือฉันให้เธอกินเอง!”
“นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” เจ้าถิงถิงถามด้วยความสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนตบหน้าอกของเขา “แน่นอนอยู่แล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของซ่งจื่อเซวียน เจ้าถิงถิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ไม่ได้โม้ใช่ไหม”
“เฮ้ ดูเธอพูดเข้าสิ กำลังดูถูกใครอยู่น่ะ ถ้าฉันเป็นเชฟ ต้องมีลูกค้าเหมือนเมฆลอยมาแน่นอน!”
“ได้ งั้นเราตกลงกันแล้ว ฉันจะลองดื่มยาของนาย ถ้ามันได้ผล ฉันจะเลี้ยงอาหารอร่อยๆ ให้นายเลย”
เจ้าถิงถิงหัวเราะออกมา ราวกับว่าเธอไม่ได้หัวเราะมานานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหัวเราะอย่างมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ
……………………………………………………..
……….