เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 335 โดนปืนจ่ออีกแล้ว
ตอนที่ 335 โดนปืนจ่ออีกแล้ว
……….
ห้องส่วนตัวไฉ่อวิ๋นเฟยมีคนนั่งอยู่ทั้งหมดห้าคน
หนึ่งในนั้นคือผู้นำหลี่บุคคลสำคัญอันดับสองของตู้เหมิน และยังมีอธิบดีกรมตำรวจเมืองตู้เหมินอีกหนึ่งคน อีกสามคนเป็นผู้นำสำคัญจากมณฑลอื่น
กำลังพลเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นบุคคลที่รายล้อมไปด้วยทีมนักข่าว มาที่หอหงเยวี่ยก็เพื่อจะได้นั่งพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายนานๆ ที
เห็นว่าจู่ๆ เฉินล่างบุกเข้ามา ฮั่วเจ๋ออธิบดีกรมตำรวจก็ขมวดคิ้วในทันที
ถึงแม้จะพูดว่าที่นี่เป็นถิ่นของผู้นำหลี่ แต่ปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัยและความสงบสุขของบ้านเมืองเขาอธิบดีกรมตำรวจคนนี้เป็นผู้ดูแล ตอนนี้มีนักเลงเข้ามาก่อกวนรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของท่านผู้นำ เขาก็รู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง
ฮั่วเจ๋อมองไปทางผู้นำหลี่ “ท่านผู้นำ ผม…”
ผู้นำหลี่กลับยกมือ ไม่ได้สั่งให้เขาพูดต่อ จากนั้นมองไปทางเฉินล่าง
“สหาย เมื่อกี้นายพูดว่า…ใครหน้าใหญ่กว่านายงั้นเหรอ”
อันที่จริงผู้นำหลี่รู้แต่ก็ยังถาม เพราะภายในห้องนี้ จะมีใครที่หน้าใหญ่กว่าเขาอีก
ในเมืองตู้เหมิน ต่อให้เป็นหน้าตาของหลี่ม่านหงก็ใช่ว่าเฉินล่างจะเปรียบเทียบได้
เฉินล่างมองคนภายในห้อง ดูเหมือนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
อีกฝ่ายคนไม่เยอะมาก ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดุร้ายอะไร แต่มาดของแต่ละคนนั้น…
อย่างไรก็ทำอาชีพข้าราชการมาหลายปี มีรัศมีแบบนี้ได้ก็เพราะนั่งตำแหน่งของผู้นำ คนทั่วไปจะมีรัศมีเช่นนี้ได้อย่างไร
ประเด็นสำคัญคือ การแต่งกายของคนพวกนี้แทบจะเหมือนกัน ล้วนใส่กางเกงสูทและสวมเสื้อแจ็กเก็ต
หากเปลี่ยนเป็นเฉินล่าง เขาจะไม่แต่งตัวเช่นนี้ เพราะมันดูเชยเกินไป
แต่ในสภาพแวดล้อมบางแห่ง มีหลายคนที่แต่งตัวแบบนี้ เช่นนั้นก็ต้องทำงานในหน่วยงานราชการ
ชั่วขณะนั้น เฉินล่างรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ถึงจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีสถานะอะไร ทว่าเขาเริ่มรู้สึกว่าคำพูดของหลิวหยวนเฮิงนั้นถูกต้อง
อย่างไรอยู่ในถิ่นของอีกฝ่าย หากผิดใจกับใครแล้วก็จะลำบาก
เหมือนกับหลายคนที่อยู่ตรงหน้า ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเขาทำงานอะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงความสุดยอดที่ไม่เหมือนใคร
ยกตัวอย่างเช่นหากพวกผู้นำหลี่แต่งตัวเหมือนกับนักเลง มีรอยสัก เขาก็คงไม่กลัว เพราะมีข่งอวี้เซินอยู่จะต้องกลัวอะไร
แต่คนของอีกฝ่ายกลับไม่ใช่แบบนั้น…
“หัวหน้า พวกเรากลับกันเถอะ” หลิวหยวนเฮิงพูดเสียงเบาที่สุด
เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของเขาผู้ชายอกสามศอกต้องไม่ยอมเสียเปรียบสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และเป้าหมายของพวกเขาก็ไม่ใช่คนพวกนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินล่างบ้าผู้หญิงมองหอหงเยวี่ยของอีกฝ่ายเป็นสถานที่ไม่ดี ก็ไม่น่าจะได้มาที่ห้องส่วนตัวนี้ด้วยซ้ำ
แต่เฉินล่างกลับไม่คิดแบบนั้น ถึงแม้จะแอบใจฝ่อเล็กน้อย แต่ถ้าเดินออกไปแบบนี้ จะเสียหน้าเกินไปหรือเปล่า
โดยเฉพาะต่อหน้าหลี่ม่านหง พอความหื่นกามนำหน้า เขาก็ไม่คิดที่จะถอยเลยจริงๆ
จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที แล้วหัวเราะเย็นชาออกมา
“ตอนแรกหลี่ม่านหงน่ะอยู่ในห้องของฉัน พวกนายเรียกเธอมาแบบนี้ ไม่เหมาะสมเกินไปหรือเปล่า”
หลี่ม่านหงได้ยินประโยคนี้ก็หัวใจเย็นวูบทันที
ไอ้คนบ้านนอกนี่ แกพูดพร่ำไปเถอะ ฉันไม่สนใจแล้ว วันนี้คนที่ซวยก็คือแกนั่นแหละ
พอได้ยินประโยคนี้ ผู้นำหลี่ก็ชะงักไป อดขมวดคิ้วไม่ได้
ความจริงแล้ววิธีการพูดของเฉินล่างดูเฉิ่มเชยขนาดนี้ ปกติจะทำให้เขาหัวเราะได้ แต่เขากลับไม่ได้หัวเราะ
เพราะอีกฝ่ายกำลังพูดถึงหลี่ม่านหง
มองหลี่ม่านหงเป็นผู้หญิงกลางคืน ผู้นำหลี่จะทนได้อย่างไร
ถึงแม้ผู้นำหลี่จะมีครอบครัว แต่คนอย่างเขา อยู่นอกบ้านมีความต้องการเรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาสัมผัสผู้หญิงมาไม่น้อย กระทั่งได้ครอบครองเป็นเจ้าของ
แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาจดจำฝังใจ ก็คือหลี่ม่านหงที่เขาไม่เคยได้มา
เขาให้เกียรติและชื่นชมหลี่ม่านหง เพราะฉะนั้นจึงไม่ฝืนใจเธอ
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้เขาจึงพยายามปกป้องหอหงเยวี่ยกับหลี่ม่านหง วันนี้จะยอมให้ไอ้คนบ้านนอกคอกนามาว่าเทพธิดาของตนได้อย่างไร
ผู้นำหลี่มองเฉินล่าง “ตอนแรกอยู่ในห้องของนายงั้นเหรอ”
เห็นมาดของผู้นำหลี่ เฉินล่างอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ยืดหน้าอก
“ใช่สิ อย่างน้อยใครถึงก่อนก็มีสิทธิ์ก่อนไม่ใช่เหรอ”
ผู้นำหลี่แค่นหัวเราะ “ถึงก่อนมีสิทธิ์ก่อน ความหมายของนายคือ หอหงเยวี่ยนี้…นายมาถึงแล้ว เธอจะไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นไม่ได้แล้วใช่ไหม”
“มีตรงไหนไม่ถูกต้องเหรอ ฉันจะจ่ายเพิ่มอีกสองพันหยวนด้วยนะ”
ผู้นำหลี่ได้ยินประโยคนี้ก็ทนไม่ไหว สุดท้ายจึงหัวเราะออกมา คนที่เหลือเห็นแบบนั้นถึงกล้าเผยรอยยิ้มออกมา
“พูดแบบนี้แปลว่า…คนที่ให้ราคาสูงถึงจะได้ตัวงั้นเหรอ”
เฉินล่างเชิดหน้า “แบบนั้นก็ได้!”
หลายปีที่ผ่านมานี้ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เรื่องการจ่ายเงินเขาเฉินล่างคนนี้ไม่เคยยอมใคร เอาเงินของเหล่าพี่น้องกลุ่มเสื้อผ้าสะอาดมาใช้เป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
ผู้นำหลี่พยักหน้า “หนึ่งแสนหยวน!”
ถึงแม้หลี่ม่านหงจะไม่ค่อยพอใจที่ตนถูกเอามาประมูลเหมือนเป็นสินค้า แต่เธอก็เข้าใจดี ผู้นำหลี่อยากจะแกล้งเฉินล่าง
เธอจึงไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ
“นาย…บ้าไปแล้วมั้ง เที่ยวผู้หญิงทีต้องจ่ายหนึ่งแสนหยวนเลยเรอะ!”
ปัง!
ผู้นำหลี่ตบหน้าโต๊ะทันที “ไสหัวออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนบ้านนอกอย่างพวกนายจะมาเที่ยวผู้หญิง นี่คือโรงน้ำชาอย่างแท้จริง ควักเงินมาไม่ได้ก็ไสหัวไปซะ!”
ผู้นำหลี่โกรธจริงๆ แล้ว เมื่อได้ยินเฉินล่างจัดหลี่ม่านหงอยู่ในลิสต์ผู้หญิงบริการ เขาก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว
“นาย…นายกล้าพูดจากับฉันแบบนี้งั้นเหรอ ข่งอวี้เซิน จัดการพวกเขา!”
“ครับ!”
ข่งอวี้เซินพูดพลางพุ่งเข้าหาผู้นำหลี่ทันที
ผู้นำหลี่ตกใจถอยหลังหนึ่งก้าว อย่างไรอยู่ในตำแหน่งผู้นำเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยเตะต่อย จู่ๆ เห็นคนพุ่งเข้ามา หากพูดว่ายังสงบจิตใจอยู่ได้ก็เป็นเรื่องไร้สาระแล้ว
ชั่วขณะนั้น หลายคนเข้ามาขวางตรงหน้าผู้นำหลี่ไว้ ไม่แสดงตัวตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไรกันล่ะ
และวินาทีที่ข่งอวี้เซินเข้าใกล้ก็ต้องหยุดชะงักไปทันใด
เขาก็มึนงงเหมือนกัน ทำไมพอจะลงมือในตู้เหมิน ก็โดนปืนจ่อหัวอีกแล้ว…
ฮั่วเจ๋อยกปืนขึ้นมา มองข่งอวี้เซินที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเย็นชา เหมือนกำลังมองมดตัวหนึ่ง
ปกติฮั่วเจ๋อจะไม่พกปืน เพราะเขาไม่ใช่หัวหน้าทีมตำรวจอาชญากรรม แต่เป็นอธิบดีกรมตำรวจ
แต่ออกมากับผู้นำหลี่ ผู้นำยังกำชับว่าไม่ต้องพาคนมาเยอะเกินไป เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย เขาจึงพกปืนมาด้วยเพื่อป้องกันตัว
ใครจะรู้ว่าได้ใช้งานพอดี
ฮั่วเจ๋อเดินเข้าไปทีละก้าวโดยที่ยังใช้ปืนจ่อศีรษะของข่งอวี้เซินอยู่ ข่งอวี้เซินก็ได้แต่เดินถอยหลังทีละก้าว
เฉินล่างที่อยู่ข้างหลังมองด้วยความงุนงง เบิกตาโตทั้งสองข้าง อ้าปากค้างไม่รู้ว่ายังจะพูดอะไรได้อีก
บางทีการไม่พูดอะไรเลยอาจจะปลอดภัยกว่า เพื่อไม่ให้ปืนหันมาจ่อที่ตัวเองแทน
แต่หลิวหยวนเฮิงกลับถอนหายใจไม่หยุด พลางพูดในใจว่าเฉินล่างนะเฉินล่าง นายตามสบายเลย เป็นหัวหน้าแก๊งในมณฑลเหออันยังไม่เจ๋งพอสำหรับนาย
ตอนนี้อยากมาอวดเก่งที่เมืองตู้เหมินงั้นเหรอ ใครสนแม่งล่ะ
“คุณ…คุณๆๆ…ค่อยๆ นะ เดี๋ยวปืนลั่น”
ข่งอวี้เซินพูดเสียงสั่นเครือ
ฮั่วเจ๋อไม่สนใจ ยังคงดันพวกเขาออกไปนอกประตู
วินาทีที่เข้าใกล้เฉินล่าง ฮั่วเจ๋อก็เหลือบตามองเขาหนึ่งที “ไสหัวออกไป!”
เฉินล่างรู้สึกโมโหขึ้นมา ยังไงข้าก็เป็นหัวหน้าแก๊งเชียวนะ มากล้าพูดกับฉันแบบนี้งั้นเหรอ
“หึ นายพกปืนอย่างโจ่งแจ้งงี้เลย ไม่กลัวพวกเราแจ้งตำรวจใช่ไหม”
ฮั่วเจ๋อแค่นหัวเราะใส่แล้วเอ่ยว่า “ฉันจะนับสามถึงหนึ่ง ไสหัวออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันรับรองว่าปืนได้ลั่นแน่”
ข่งอวี้เซินสีหน้าตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีได้ไหม
ไม่วิ่งหนี…อีกฝ่ายให้เวลาแค่สามวินาที แต่ถ้าวิ่งหนี…ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิงปืนทันที
อย่างน้อยในภาพยนตร์ก็เป็นแบบนั้น
“ยิงปืนงั้นเหรอ หึ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะกล้ายิงปืนในที่ที่มีคนอยู่ขนาดนี้” เฉินล่างตะโกนใส่
จากน้ำเสียงของเขาฟังออกได้ชัดเจนว่าเขากลัวแล้ว ไม่อย่างนั้นจู่ๆ จะพูดเสียงสูงขึ้นมาทำไม
ฮั่วเจ๋อไม่สนใจ เริ่มนับเลข
“สาม สอง…”
หนึ่งยังไม่ทันนับ เฉินล่างก็หมุนตัววิ่งออกไปเป็นคนแรก ตามไปด้วยหลิวหยวนเฮิง
เห็นสีหน้าหวาดกลัวของข่งอวี้เซินที่อยู่ตรงหน้า ฮั่วเจ๋อก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ยังไม่ไปอีก”
“ผม ผมไปได้ใช่ไหม” เสียงของข่งอวี้เซินแทบจะสะอื้นไห้
ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมืออะไร ยามอยู่ต่อหน้าปืน ไม่ว่าใครก็อวดเก่งไม่ไหว
“ไสหัวไป!”
ข่งอวี้เซินรีบหันตัวเดินออกไป
จากนั้น ฮั่วเจ๋อก็เดินกลับเข้าไป “ท่านผู้นำครับ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ไอ้คนบ้านนอกพวกนี้ แม่งตลกดี มาหาความสนุกที่หอหงเยวี่ยเนี่ยนะ”
ฮั่วเจ๋อฟังความไม่พอใจจากปากของผู้นำหลี่ออก “ท่านผู้นำ ถ้าอย่างนั้นให้ผมโทรไหมครับ”
ผู้นำหลี่มองเขาหนึ่งที “แล้วแต่คุณจะจัดการเถอะ”
ประโยคที่ว่าแล้วแต่จะจัดการ อันที่จริงก็คืออนุญาตแล้ว
ออกมาจากไฉ่อวิ๋นเฟยได้ พวกเฉินล่างก็หัวใจเต้นตุบๆ
ทำไมกฎเกณฑ์ไม่เหมือนที่มณฑลเหออันวะ เอะอะก็ชักปืน
ความจริงคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุดก็คือข่งอวี้เซิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกปืนจ่อหัว
มาตู้เหมินกี่ครั้งก็ถูกคนจ่อหัวทุกครั้ง ความรู้สึกเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนความเป็นความตายนับว่าเขาได้ตระหนักรู้อย่างแท้จริงแล้ว
“หัวหน้า ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี” ข่งอวี้เซินถาม
ไม่รอให้เฉินล่างเอ่ยปาก หลิวหยวนเฮิงก็เอ่ยว่า “หัวหน้า ทุกอย่างต้องนิ่งไว้ครับ เมื่อกี้ผมบอกแล้ว อยู่ตู้เหมินพวกเราไม่ใช่เจ้าถิ่น ถ้าจะทำอะไร…”
“พอแล้วๆ รำคาญจริงๆ!”
“ใช่แล้ว หลิวหยวนเฮิงนายพูดให้น้อยหน่อย ป่านนี้แล้วนายพูดไปจะมีประโยชน์อะไร กลับไปดูซ่งจื่อเซวียนก่อน ไอ้หมอนั่นหนีไปหรือยัง”
“ไม่หรอก” เฉินล่างทำสีหน้าร้ายกาจ “มีพวกโจวเหยียนเฝ้าอยู่หน้าประตู”
หน้าประตูหอหงเยวี่ย
จุดมืดที่ไฟริมทางส่องไม่ถึง
ผู้อาวุโสทั้งห้าและยอดฝีมือทั้งห้าซึ่งเป็นลูกน้องของเฉินล่างที่มีโจวเหยียนเป็นแกนนำ กำลังนั่งพิงกำแพงเรียงตัว
ทุกคนถูกเชือกมัดมือไพล่หลัง มีผ้าขี้ริ้วผืนใหญ่ยัดอยู่ในปาก
มองดูคนพวกนี้ อวี่เหวินเซี่ยวกับฟางรุ่ยสบตากันหนึ่งทีแล้วยิ้มบางๆ ออกมา
“รุ่ยจื่อ เมื่อกี้ไม่เลวเลยนะ นายเร็วกว่าฉันสิบวิกว่าเลย” อวี่เหวินเซี่ยวพูดยิ้มๆ
ฟางรุ่ยส่ายหน้า “แต่นายจัดการได้เยอะกว่าฉันหนึ่งคน วันนี้นายชนะแล้ว”
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่แน่ คนหนึ่งใช้เวลาประมาณสิบวิ ก็แปลว่านายเร็วกว่าฉันสี่หรือห้าวิ”
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน พวกโจวเหยียนต่างงุนงงไปตามกัน
แม่งเอ๊ย นี่มันสถานการณ์อะไร
ซ่อนตัวอย่างมิดชิดแล้ว ยอดฝีมือสองคนนี้โผล่มามัดตัวเองได้ยังไง
จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ละคนมองอวี่เหวินเซี่ยวกับฟางรุ่ยด้วยความงงงวย มองสองคนนี้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน…
ไม่น่าเชื่อว่าจะแข่งกันเรื่องเวลาในการจัดการพวกเขา จุดนี้ทำให้พอเห็นได้ว่าศักยภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายต่างกันมากทีเดียว
ที่จริงความสามารถของผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ด้อยกว่าแน่นอน แต่ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอยู่ในที่ซ่อน ส่วนอีกฝ่ายอยู่ในที่แจ้ง กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตนจะอยู่ในที่แจ้งเสียเอง
ตั้งแต่มาถึงหอหงเยวี่ย จนถึงเจอที่ซ่อนตัว ทุกขั้นตอนอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย
“รอก่อนเถอะ อีกสักพักพอนายท่านรองออกมา ก็จับพวกเฉินล่างพร้อมกันเลย!”
ฟางรุ่ยยิ้มออกมา “แผนของเสี่ยวเป่าใช้ได้จริงๆ จับได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเปลืองแรง คราวนี้พวกนายได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่แล้ว”
อวี่เหวินเซี่ยวพยักหน้า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความช่วยเหลือของนายท่านรองนั่นแหละ บุญคุณนี้ แก๊งขอทานจะไม่มีวันลืม!”
……………………………………………
……….