เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 212 ต่อยก่อนได้เปรียบ
ตอนที่ 212 ต่อยก่อนได้เปรียบ
เมื่อได้ยินพ่อของตนคุยโทรศัพท์กับสายนี้ เฮ่อเหยียนข่ายก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที
เฮ่อเหว่ยไม่เพียงแต่ดูแลตลาดอาหารทะเลในเขตเฉิงหนานเท่านั้น แต่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ยังอยู่ในเขตเฉิงหนานอีกด้วย
ในแถบพื้นที่นี้ แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักสถานะของเสี่ยเจียง
หากมีความช่วยเหลือจากเสี่ยเจียง คิดจะสั่งสอนซ่งจื่อเซวียนหรือแม้แต่การแก้แค้นในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา
“ช่วยเหรอ เหอะๆ ยังมีเรื่องที่คุณเฮ่อจัดการยากในเขตเฉิงหนานด้วยเหรอ” เสียงของเสี่ยเจียงดังมาจากปลายสาย
เฮ่อเหว่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ทำให้คุณขำเสียแล้ว แต่มีปัญหาจริงๆ ครับ…ผมไปล่วงเกินคนในวงการใต้ดิน เกรงว่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่วัน”
“เอ๋ วงการใต้ดินเหรอ คนนั้นชื่ออะไรล่ะ”
เฮ่อเหว่ยครุ่นคิด เขาจงใจบอกว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นคนวงการใต้ดินแทนเพื่อให้เสี่ยเจียงช่วย
ในเวลานี้อย่าเอ่ยชื่อจะดีกว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นก็สามารถปลีกตัวออกมาได้ง่าย
“ชื่อ…ผมไม่รู้จริงๆ ครับ แต่เขาบอกว่าอีกไม่กี่วันจะมาพังตลาด เสี่ย ช่วยผมด้วยนะครับ” เฮ่อเหว่ยพูด
เสี่ยเจียงไตร่ตรองครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้หรอก ก็แค่…นายก็ยังไม่รู้ว่าวันไหน แล้วจะให้ฉันช่วยยังไงล่ะ ฉันส่งคนไปที่ไปยืนเฝ้าตลาดของนายฟรีๆ ไม่ได้หรอกจริงไหม”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยเจียงคุณมีอารมณ์ขันมากเลยครับ ผมจัดการยังไงคุณจะไม่เข้าใจเหรอครับ ผมจะปล่อยให้คุณช่วยฟรีๆ ได้ยังไง”
“เอ๋ เฮ่อเหว่ย นายเกรงใจเกินไปแล้วมั้ง” เสี่ยเจียงคลี่ยิ้มหลังจากได้ยิน อย่างไรเขาก็คือคนวงการใต้ดิน การเรียกเงินเพื่อช่วยกำจัดตัวปัญหาแทนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการหาเงิน
“เสี่ยเจียงดูคุณพูดเข้าสิ ผมไม่ได้ไปเยี่ยมคุณนานแล้ว ทำไมจะแสดงความขอบคุณไม่ได้ล่ะ”
“พูดได้ดี งั้น…”
เสี่ยเจียงจงใจหยุดพูดไป เห็นได้ชัดว่ารอให้เฮ่อเหว่ยพูดค่าตอบแทนเอง
เฮ่อเหว่ยจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขายิ้มแล้วเอ่ย “เสี่ยเจียง เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้คุณช่วยเจียดเวลามาที่ตลาดหน่อยได้ไหมครับ ผมมีชาดีๆ อยู่ที่นี่ เรามาดื่มชาไปคุยไปกันดีกว่าครับ”
“ได้สิ ฉันชอบดื่มชา งั้นก็ตามนี้ พรุ่งนี้ฉันจะไปตลาดของนาย”
เสี่ยเจียงแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ เฮ่อเหว่ยตกลงให้เจอหน้ากันนั้นดีที่สุด แสดงให้เห็นว่าค่าตอบแทนครั้งนี้ไม่น้อยเลย
และเรื่องนี้ยิ่งสำคัญสำหรับเฮ่อเหว่ย หากสั่งสอนซ่งจื่อเซวียนได้ เขาก็ทุ่มเงินให้ได้ไม่อั้น
อย่างน้อยตอนนี้เด็กคนนี้ก็หยิ่งผยองมาก ระงับความเย่อหยิ่งนี้ได้สักหน่อยอาจจะเป็นผลดีกับตนในด้านอื่นๆ อีก
“โอเคครับ ผมจะจัดรถให้ไปรับคุณนะครับ!”
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”
หลังจากวางสาย เฮ่อเหว่ยก็โทรหาห้องยามรักษาความปลอดภัยของตลาด บอกป้ายทะเบียนรถเจิ้งอวี่เพื่อให้พวกเขาสังเกต ทันทีที่รถเข้ามาในตลาดก็ให้รายงานทันที
ตอนนี้มีความช่วยเหลือจากเสี่ยเจียง เขาต้องเตรียมการให้พร้อม ขอเพียงซ่งจื่อเซวียนมาเยือน เขาก็จะสั่งสอนให้เป็นบทเรียน
……
วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนนั่งทบทวนเรื่องเกี่ยวกับข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ที่โต๊ะอาหารตลอดช่วงเช้า
เขาไม่รู้ว่าทำไมท่านเป้ยเล่อถึงท้าดวลทำข้าวผัดจักรพรรดิกับเขา หากบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เตรียมการ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
แต่…เขาไปเรียนมาจากใครล่ะ
หากเป็นเมนูธรรมดา พ่อครัวหลายสิบจนไปถึงหลายร้อยหลายพันคนรู้วิธีทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
แต่กับข้าวผัดจักรพรรดิ…
นี่คือเมนูอาหารในวังสมัยราชวงศ์ชิง เรียกได้ว่านอกจากตาเฒ่าฟางก็ไม่มีใครทำได้ หรือว่าหนังสือสูตรอาหารนี้จะรั่วไหล
เขาส่ายหัวเบาๆ เขาเก็บหนังสือสูตรอาหารไว้ในบ้านตลอด สำเนาที่เขาพกติดตัวไว้อ่านก็ถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เมื่ออ่านเสร็จ เป็นไปไม่ได้ที่จะรั่วไหล
ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือหนังสือสูตรอาหารนี้…ไม่ได้อยู่ในมือตาเฒ่าฟางเพียงชุดเดียว!
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาตัดสินใจจะกลับไปถามชายชราในตอนเย็น
อันที่จริงเมื่อวานเขาก็คิดจะถาม เพียงแต่กลับมาช้าไปหน่อย ชายชราหลับพักผ่อนไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ถาม
เนื่องจากเขาทำข้าวผัดจักรพรรดิมานาน เขาจริงจังกับการทำอาหารมากมาตั้งแต่แรกๆ จนถึงช่วงที่ทำออกมาจำนวนมากเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพของอาหารเลย
แต่วันนี้เขาตั้งใจทำอาหารทุกจานเป็นอย่างมากและรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของข้าวสวย ไข่คน ไปจนถึงข้าวทุกเม็ด ราวกับว่าทุกขั้นตอนเล็กๆ อยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด
แต่เขานึกไม่ออกอยู่ดีว่าหากท่านเป้ยเล่อไม่มีหนังสือสูตรอาหาร อีกฝ่ายจะทำข้าวผัดจักรพรรดิออกมาได้อย่างไร
เพราะข้าวผัดจักรพรรดิอาจจะดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความลึกลับอย่างไม่สิ้นสุด จากกำลังภายในสู่ร่างกายภายนอก บวกกับการใช้กำลังภายในกับกระทะและตะหลิว สุดท้ายพลังทั้งหมดก็ถูกถ่ายโอนไปยังข้าวทุกเม็ด
ขั้นตอนเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง!
ประมาณบ่ายโมง เจิ้งอวี่ก็ตรงมาที่ร้านอาหารร่ำรวย
เห็นซ่งจื่อเซวียนนั่งพักอยู่ที่โต๊ะโดยเอามือเท้าคางไว้ เขาจึงเดินเข้ามาใกล้ “คุณซ่ง เราควรไปบริษัทกันแล้วครับ”
ซ่งจื่อเซวียนถึงกลับมามีสติ เงยหน้าขึ้นมองเจิ้งอวี่ “อ้าว มาแล้วเหรอครับ”
“คุณซ่ง ไปบริษัทกันครับ บ่ายนี้คุณมีกำหนดการดูรายการบัญชีสิบปีของตลาดเขตเฉิงเป่ยและเปลี่ยนการยื่นคำร้องครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “โอ๊ะ…ผมเกือบลืมไปเลย คืออย่างนี้ครับอาเจิ้ง จู่ๆ ผมก็นึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้ วันนี้เราจะไม่ไปบริษัทกันแล้ว”
“หา? ไม่ไปบริษัทแล้วเหรอ”
“ใช่ครับ ไปตลาดเฉิงหนานกัน ไปหาเฮ่อเหว่ย!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ความคิดของเขานั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือต้องจัดการเรื่องในบริษัทให้เรียบร้อยก่อนจะแข่งกับท่านเป้ยเล่อ
ตอนนี้จั่วอู่และเจ้าเฮยจื่อตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยแล้ว ส่วนทางด้านซ่งอวิ๋นหล่างก็ไม่ได้เร่งรีบแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ถือว่าควบคุมได้แล้ว
เฮ่อเหว่ยเป็นเพียงคนเดียวที่เขากังวล ดังนั้นวันนี้เขาจึงไปตลาดเฉิงหนานเพื่อหยุดความเย่อหยิ่งสุดท้ายของอีกฝ่ายแล้วค่อยว่ากันอีกที
“เอ่อ…ได้ครับ งั้นผมจะให้คนจากห้องเอกสารเก็บของกลับไปก่อน แล้วเราก็ขับรถไปเดี๋ยวนี้เลยครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิดแล้วจึงพูดว่า “เทียนซั่ว นายไปขับรถ!”
“ได้เลยอาจารย์!”
เมื่อสองวันที่ผ่านมาซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พาซางเทียนซั่วออกไปข้างนอกด้วย หมอนี่จึงน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อได้ยินว่าให้เขาไปขับรถก็กระดี๊กระด๊าทันที
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ณ ตลาดขายส่งอาหารทะเลเขตเฉิงหนาน
ในห้องทำงานของสำนักงานบริหารจัดการ เฮ่อเหว่ยกำลังนั่งชงชาอย่างชำนาญอยู่ตรงโต๊ะน้ำชา
แม้ว่าเสี่ยเจียงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาจะไม่เข้าใจวิธีชงชา แต่ก็รู้ถึงความสง่างาม
การออกแบบห้องทำงานของเฮ่อเหว่ยนั้นงดงามมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมในเมืองเช่นนี้ มีความแตกต่างอย่างมาก
“ผู้จัดการเฮ่อ คนที่นายพูดถึงมีภูมิหลังยังไงกันแน่ ถึงกับให้ฉันพาพี่น้องมายี่สิบคนเลยเนี่ยนะ” เสี่ยเจียงถาม
เฮ่อเหว่ยคลี่ยิ้มและรินชาหนึ่งแก้วให้เสี่ยเจียง “คนคนนี้ไม่ธรรมดาครับ เขามีบอดี้การ์ดที่ต่อสู้กับคนหกถึงเจ็ดคนได้ เสี่ยเจียง ถ้าผมไม่ให้คุณพาคนมาเยอะหน่อยจะสบายใจได้ยังไงล่ะครับ”
เสี่ยเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เก่งขนาดนั้นเลย ดูท่าจะเป็นบอดี้การ์ดมืออาชีพ แต่ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น มีแค่พวกพี่น้องเท่านั้น”
“เสี่ยครับ ลองชิมชานี้สิ ราคาสองพันหยวนต่อตำลึง ถึงจะไม่นับเป็นของชั้นเลิศในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ใบเดียวก็หายากแล้วครับ”
เสี่ยเจียงคลี่ยิ้มและจิบหนึ่งอึก “ฉันไม่รู้เรื่องชาหรอก ชาราคาแพงแบบนี้มาอยู่ในปากตาเฒ่าอย่างฉันคงจะเสียเปล่า”
เฮ่อเหว่ยได้ยินก็เหลือบมองเสี่ยเจียง และเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อ ตาเฒ่าร้อนใจอยากให้เขารีบบอกค่าตอบแทน
“เสี่ยเจียง วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้พี่น้องยี่สิบคนมาเสียเที่ยวหรอก ขอแค่คุณช่วยผมสั่งสอนไอ้เด็กนั่นได้ ก็คนละหนึ่งหมื่นหยวนครับ!”
เสี่ยเจียงยิ้มเมื่อได้ยิน “ผู้จัดการเฮ่อใจป้ำจริงๆ ฉันต้องขอบคุณแทนพี่น้องของฉันแล้ว แต่…”
“เหอะๆ เสี่ยครับ ไม่ต้องรีบไป เงินนั่นผมให้พวกเขา ส่วนของคุณ…จะจ่ายให้อีกเท่าตัวครับ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยเจียงก็แอบพอใจ เพิ่มเป็นสี่แสน…งานนี้สมควรทำ
อย่างไรตอนที่แบ่งให้พวกพี่น้องคงไม่ได้ให้คนละหนึ่งหมื่นหยวนจริงๆ ให้ลูกน้องเหล่านั้นหนึ่งพันหยวนสองพันหยวนก็ดีใจกันแล้ว
วงการใต้ดินก็เป็นเช่นนี้ เงินที่ได้มาจากการทำสิ่งต่างๆ แทนคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องเพียงให้ใช้จ่ายได้หลายปี ไม่อย่างนั้นก็จะเรียกว่าไม่สมควรทำ!
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน โทรศัพท์ของเฮ่อเหว่ยก็ดังขึ้น เป็นสายจากเฮ่อเหยียนข่าย
“พ่อครับ พวกมันมาแล้ว ตอนนี้เข้าไปในลานแล้ว!”
“ผมก็เพิ่งมาเหมือนกัน พ่อ พวกมันไม่ได้ขับรถของเจิ้งอวี่มา ยามเลยไม่ได้ห้ามไว้!”
เฮ่อเหว่ยพยักหน้า “ไอ้เด็กนี่มันใช้ได้จริงๆ โอเค แกไม่ต้องสนใจ!”
หลังจากวางสาย เฮ่อเหว่ยก็หยิบมือถือออกมาแล้วกดดูกล้องวงจรปิด “เสี่ยครับ จัดการได้เลย ผู้ชายสี่คนกำลังเดินเข้ามาในพื้นที่ตลาดโซนดี คนที่เดินด้านหน้าสุดสวมเสื้อสเวตเตอร์สีเทาก็คือเขาคนนั้นแหละครับ”
เสี่ยเจียงได้ยินก็พยักหน้า โทรหาลูกน้องและบอกต่อคำพูดนี้ทันที
“เอาล่ะผู้จัดการเฮ่อ นายไม่ต้องเป็นห่วง เริ่มจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะ”
เฮ่อเหว่ยคลี่ยิ้ม “ถ้าผมยังเชื่อใจเสี่ยเจียงอย่างคุณไม่ได้ ผมคงเป็นพวกทำอะไรไม่สำเร็จแล้ว คุณรอแป๊บนะครับ เดี๋ยวจะโอนเงินเข้าบัญชีเลย”
จากนั้นเฮ่อเหว่ยก็โทรหาฝ่ายการเงินให้โอนเงินให้เสี่ยเจียง
เนื่องจากรู้จักกันมาหลายปีจึงมีการข้อมูลทางการเงินอยู่ ในไม่ช้ามือถือของเสี่ยเจียงก็มีการแจ้งเตือน
“เยี่ยม ฉันชอบที่ได้ร่วมงานกับคนแบบผู้จัดการเฮ่อนะ!” เสี่ยเจียงพูดด้วยรอยยิ้ม
เฮ่อเหว่ยพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม “เสี่ยเจียงมีความสุข ผมก็สบายใจ เอาอย่างนี้ดีกว่าครับเสี่ย เราไปดูที่ห้องกล้องวงจรปิดกัน ถือว่าไปเสพความสุขกัน!”
ในพื้นที่โซนดีของตลาด พวกซ่งจื่อเซวียนกำลังเดินไปที่สำนักงานบริหารจัดการ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมา
คนกลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคนและดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดคือซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นทันทีว่าดวงตาของคนเหล่านั้นราวกับกำลังมองมาทางเขา
“นายท่านรอง มันแปลกๆ!” ฟางรุ่ยรับรู้ถึงอันตรายและเอ่ยขึ้นทันที
“เหอะๆ เฮ่อเหว่ยคงอยากลงมือกับฉันน่ะสิ รุ่ยจื่อ คนเยอะไปหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางรุ่ยยิ้ม “ผมจัดการกับพวกมันด้วยตัวคนเดียวว่าจะยากเกินกำลัง แต่…มีเทียนซั่วอยู่ด้วย น่าจะจัดการได้ครับ!”
“แม่ง จะให้ฉันสู้ด้วยเหรอ ฉันไม่สนหรอกนะ ฉันรับผิดชอบแค่สองคนที่เหลือก็เป็นของแก!” ซางเทียนซั่วพูด
ซ่งจื่อเซวียนหยุดฝีเท้า “หยุดเกี่ยงกัน หนีก็ไม่รอดแล้ว อาเจิ้ง หาร้านเข้าไปหลบก่อนนะครับ คุณจะบาดเจ็บไม่ได้!”
แม้ว่าจะไม่มีทางสู้ได้ แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่หลบซ่อนเช่นกัน อย่างน้อยในสถานการณ์นี้เขาต้องลุยไปด้วยกันกับเพื่อน!
เป็นอย่างที่คิดไว้ พอคนเหล่านั้นเดินผ่านก็มีคนหนึ่งเฉียดไหล่ของซ่งจื่อเซวียน อีกฝ่ายหันกลับมามองพร้อมจ้องเขม็ง
“แม่ง รนหาที่ตายนี่!”
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย “ขอโทษทีครับ ผมไม่ระวังเอง”
ซ่งจื่อเซวียนยังคงพูดคำสุภาพออกไปก่อน เพราะหากอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่อง สามารถเดินผ่านไปได้ก็แล้วไป จะได้ไม่เกิดปัญหา
“ขอโทษแม่แกสิ แม่ง จ่ายมาเลยเว้ย เสื้อผ้าข้าราคาสองหมื่นหยวน!”
ทันทีที่ฟังความนัยออก ซ่งจื่อเซวียนก็ล้มเลิกความคิดเดิม “ต่อยก่อนได้เปรียบ ต่อยหลังเสียเปรียบ รุ่ยจื่อ ลุยเลย!”
หลังจากสิ้นเสียง ฟางรุ่ยก็เหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าของคนคนนั้นแล้ว
………………………………………………