เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 186 ขอตัวก่อน
ตอนที่ 186 ขอตัวก่อน
เห็นซ่งอวิ๋นฮั่นยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าเฮยจื่อตกตะลึงไปพักหนึ่งก่อน จากนั้นในดวงตาของเขาก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวเช่นนี้ไม่ใช่ความกลัวตำแหน่งของซ่งอวิ๋นฮั่นเท่านั้น แต่ดูเหมือนยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะคาดเดา
ช่วงนี้ซ่งอวิ๋นฮั่นไม่เคยปรากฏตัวเลย อันที่จริงก็มีการพูดกันอย่างแพร่หลายไปต่างๆ นานา หนึ่งในนั้นก็คือพูดว่าซ่งอวิ๋นฮั่นตายไปแล้ว
แต่จากการคาดคะเนของพวกนายท่านฉินลิ่ว ก็เพื่ออยากให้ทุกคนสบายใจ ถึงไม่ได้ปล่อยข่าวนี้ออกมา
ดังนั้นวินาทีที่เห็นซ่งอวิ๋นฮั่น เจ้าเฮยจื่อรู้สึกกลัวอย่างกับเห็นผี
บรรยากาศที่เงียบเช่นนี้อยู่นานถึงห้าหกวินาที ทั้งเฮ่อเหว่ยและจั่วอู่ต่างลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ตื่นตะลึง
ส่วนหลี่ลี่สยา เพราะเป็นผู้หญิงจึงรู้สึกกลัวยิ่งกว่า ตอนที่ลุกขึ้นยืนตามคนอื่น เธอก้มหน้าตลอดไม่กล้ามองซ่งอวิ๋นฮั่น
“เจ้าเฮยจื่อ วางเก้าอี้ลง”
“ผม…”
“ฉันสั่งให้วางลง!” ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดอีกครั้ง
เมื่อเห็นซ่งอวิ๋นฮั่นเบิกตาโตทั้งสองข้าง เจ้าเฮยจื่อจึงค่อยๆ วางเก้าอี้ลง ลมหายใจหอบแรง
ยังไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่เหมือนเจอผีกลางวันแสกๆ ก่อน ลำพังแค่การปรากฏตัวของซ่งอวิ๋นฮั่นก็มีพลังสยบได้มากพอ ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซ่งอวิ๋นฮั่นเหลือบตามองเขาหนึ่งที จากนั้นจึงบนที่นั่งตำแหน่งประธาน ที่นั่งตรงนี้ว่างมาเกือบสามเดือนแล้ว และยังเป็นครั้งแรกในสามเดือนที่ซ่งอวิ๋นฮั่นเป็นผู้ดำเนินการประชุมด้วยตัวเอง
ซ่งอวิ๋นฮั่นโบกมือเพื่อสั่งให้ทุกคนนั่งลง เอ่ยว่า “ทุกท่าน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“คุณซ่ง ช่วงนี้คุณออกจากบ้านแล้วเหรอครับ ผ่านไปสองสามเดือนแล้วใช่ไหมเนี่ย” เฮ่อเหว่ยพูดก่อน
ซ่งจื่อเซวียนมองเฮ่อเหว่ย ในใจพลางพูดว่าไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนพูดน้อยเลย ถึงเวลาพูด เขาจะชิงพูดก่อนเสมอ
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “มีบางเรื่องที่ต้องจัดการ และสุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไร”
อันที่จริงปัญหาสุขภาพร่างกาย ทุกคนก็เดามาตลอด บวกกับวันนี้ที่ได้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนกระดาษของซ่งอวิ๋นฮั่นแล้ว จึงยิ่งมั่นใจ
“ที่มาในวันนี้มีเรื่องสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยน อย่างแรก ฉันตัดสินใจจะไม่ทำหน้าที่ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทชิงอวี่แล้ว”
พอพูดประโยคนี้จบ ในใจของพวกเฮ่อเหว่ยและจั่วอู่ต่างกระวนกระวายขึ้นมาทันที เพราะมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำงานในบริษัทชิงอวี่เฉยๆเท่านั้น แต่ทุกคนยังถือหุ้นส่วนที่เยอะพอสมควรด้วย
“คุณซ่ง ถ้างั้นบริษัทของพวกเราต้องเลือกคนมาบริหารใหม่ใช่ไหมครับ” เฮ่อเหว่ยถามต่อ
อันที่จริงหากนายท่านฉินลิ่วกับซ่งอวิ๋นหล่างอยู่ เฮ่อเหว่ยจะไม่เป็นคนถามคำถามนี้ก่อน แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาไม่อยู่ เฮ่อเหว่ยจึงรู้สึกว่านี่คือโอกาส
ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม จั่วอู่กับเฮยจื่อเป็นคนของนายท่านฉินลิ่ว หลี่ลี่สยาเป็นคนของซ่งอวิ๋นหล่าง ยังไม่ถึงตาของพวกเขาที่ต้องถาม
ซ่งอวิ๋นฮั่นยิ้มเล็กน้อย พยักหน้า “เฮ่อเหว่ย นายมีคนแนะนำไหม”
“แนะนำ เหอะๆ ผมคิดว่าตำแหน่งนี้นอกจากคุณซ่งก็ไม่มีใครเหมาะสมแล้วครับ”
ในเมื่อนายท่านฉินลิ่วกับซ่งอวิ๋นหล่างไม่อยู่ เฮ่อเหว่ยจึงกล้าพูดบ้าง อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเสนอสองคนนั้น เพราะแบบนั้นไม่เป็นผลดีกับเขาเหมือนกัน
เขาไม่โง่ที่จะเสนอตัวเองแน่นอน ดังนั้นพูดประโยคนี้ไปตามตรง ถือว่าละเอียดรอบคอบที่สุดแล้ว
“เจ้าเฮยจื่อ จั่วอู่ พวกนายลองพูดดู” ซ่งอวิ๋นฮั่นกล่าว
จั่วอู่ได้แต่ยิ้มเหมือนปกติ ไม่พูดอะไร จากนั้นมองไปที่เจ้าเจี้ยน
“คุณซ่ง ถ้าให้ผมพูด อันที่จริงนายท่านลิ่วก็เหมาะสม คุณสมบัติและลำดับความอาวุโสของเขาเหมาะสมกว่า และนายท่านลิ่วก็เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง สามารถพาทุกคนทำกำไรก้อนโตได้ พอมีเหตุผลบ้างใช่ไหมครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฮ่อเหว่ยแอบหัวเราะ ไอ้งั่งคนนี้ เสนอนายท่านลิ่วต่อหน้าซ่งอวิ๋นฮั่น นายเข้าใจหาเรื่องให้นายท่านลิ่วของนายเก่งจริงๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า จากนั้นมองหลี่ลี่สยา
ยังไม่ทันเอ่ยปาก หลี่ลี่สยาโดนซ่งอวิ๋นฮั่นมองเช่นนี้ ก็รู้สึกประหม่ามากแล้ว
หลี่ลี่สยาอายุสามสิบต้นๆ หน้าตาพอได้มาตรฐาน รูปร่างอวบอั๋นแต่ไม่อ้วน เสื้อสีดำคอเว้าที่อยู่ในเสื้อกันหนาวขนสัตว์สีขาว โชว์ให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง
แต่อย่างไรที่นี่ก็เป็นสำนักงานใหญ่ ภายใต้สายตาของซ่งอวิ๋นฮั่นเถ้าแก่ของบริษัท เธอไม่กล้าที่จะทำตัวโอหังก้าวร้าวเลยสักนิด
“ฉัน…คุณซ่ง ฉัน ฉันไม่มีความคิดเห็นค่ะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “ไม่มีความคิดเห็น อย่างนั้นอวิ๋นหล่างส่งเธอมาทำไมล่ะ”
หลี่ลี่สยายิ่งประหม่าเข้าไปอีก หน้าแดงก่ำ หน้าอกตูมกระเพื่อมขึ้นลงไปตามลมหายใจ แววตาของเจ้าเฮยจื่อที่อยู่ตรงข้ามมองอย่างไม่อยากละสายตา
“ไม่เป็นไร หากไม่มีความคิดเห็นจริงๆ ก็โทรหาอวิ๋นหล่าง ถามความคิดเห็นของเขามาหน่อย”
“อ๋า ค่ะ…” หลี่ลี่สยางุนงง ไร้ซึ่งความคิดของตัวเอง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาซ่งอวิ๋นหล่าง
“นายท่านรอง ฉันกำลังประชุมอยู่ที่บริษัท คุณซ่งบอกว่าจะไม่ทำหน้าที่ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทแล้ว…จึงอยากถามทุกคนว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นคนรับช่วงต่อค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นหล่างก็อึ้งไปทันที เงียบไปเจ็ดแปดวินาทีถึงพูดขึ้นมา
“พี่ พี่ชายของฉันเขา…มาที่บริษัทเหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ลี่สยาเอามือป้องลำโพงแล้วพูดเบาๆ “ใช่ค่ะ ฉันบอกให้คุณมาคุณก็ไม่มา ให้ฉันมาทำไมคะ…”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ เอาอย่างนี้นะ เธอบอกเขาก่อน ฉันรู้สึกว่าพี่ชายของฉันควรจะนั่งตำแหน่งนี้ต่อไป”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
พอวางสาย หลี่ลี่สยาก็เอ่ยว่า “คุณซ่ง นายท่านรองบอกว่าคุณนั่งตำแหน่งนี้ค่อนข้างเหมาะสมกว่าอยู่แล้วค่ะ”
เฮ่อเหว่ยแอบหัวเราะ ซ่งอวิ๋นหล่างอยู่เป็น เมื่อเทียบกันแล้วรู้จักถ่อมตัวมากกว่านายท่านฉินลิ่ว
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “ในเมื่อแสดงความคิดเห็นกันแล้ว ฉันจะได้พูดเรื่องที่ฉันตัดสินใจไว้”
พอฟังประโยคนี้จบ ทุกคนล้วนตื่นเต้นขึ้นมา
ต่อให้เป็นจั่วอู่กับเจ้าเจี้ยนก็เช่นกัน ผู้รับช่วงต่อคนนี้ถึงแม้จะไม่ถึงตาพวกเขา แต่อย่างไรก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดของบริษัท จะต้องส่งผลกระทบต่อกำไรของทุกคนแน่นอน
ถ้าหากนายท่านฉินลิ่วเป็นเจ้าของบริษัท เช่นนั้นอนาคตของพวกเขาจะต้องได้เดินเชิดหน้าในบริษัทเป็นแน่แท้!
การแสดงท่าทีของหลี่ลี่สยาก็เช่นกัน ในใจของเธอแอบคาดหวังให้นายท่านรองของพวกเขาได้นั่งตำแหน่งนั้น ต่อไปเธอจะได้ไม่แต่งตัวหรูๆ เรียบง่ายแค่นั้นแล้ว
ส่วนเฮ่อเหว่ย…อันที่จริงในใจของเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถนั่งตำแหน่งนั้นได้ เมื่อพูดถึงลำดับความอาวุโสเขาเทียบนายท่านฉินลิ่วไม่ได้ หากพูดถึงความสัมพันธ์แล้วเขาก็เทียบกับซ่งอวิ๋นหล่างไม่ได้เหมือนกัน
แต่เขาหวังว่าซ่งอวิ๋นฮั่นจะไม่มอบตำแหน่งให้สองคนนี้
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะสามารถเฝ้าดูตลาดเขตเฉิงหนานของตัวเองได้ต่อไป ทำเงินของตัวเองไปอย่างเงียบๆ
ซ่งอวิ๋นฮั่นมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน เอ่ยว่า “เขาน่ะ…พวกนายรู้จักกันหมดแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ใช่ครับ คราวที่แล้วคุณเจิ้งเคยแนะนำแล้ว” เฮ่อเหว่ยกล่าว
จั่วอู่ก็พยักหน้า “ผมจำได้ ครั้งที่แล้วคุณเจิ้งบอกว่า เขาคือพนักงานคนใหม่ของบริษัทพวกเรา”
นานๆ จะเห็นจั่วอู่พูด เพราะว่าเขาไม่พูดมาตลอด แต่เมื่อมองสีหน้า แววตาของทุกคนแล้ว กระทั่งซ่งอวิ๋นฮั่น รวมทั้งซ่งจื่อเซวียน
จากครั้งที่แล้วเขาก็รู้สึกว่าซ่งจื่อเซวียนไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นพนักงานคนใหม่ที่ไหนจะกล้าเถียงรุ่นพี่อย่างนายท่านฉินลิ่ว
การปะทะกันในวันนี้กับเจ้าเฮยจื่อทำให้เขามองคนคนนี้อีกครั้ง และประเด็นสำคัญคือ เขาแซ่ซ่งเหมือนกัน!
ซ่งอวิ๋นฮั่นพยักหน้า “รู้จักก็ดีแล้ว ถูกต้อง เขาเป็นพนักงานคนใหม่ของบริษัทชิงอวี่ของเรา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกชายของฉันด้วย ซ่งจื่อเซวียน!”
การแนะนำตัวของซ่งอวิ๋นฮั่นทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
ยังต้องเถียงกันอีกเหรอ เถียงกันตั้งนานสุดท้ายผู้รับช่วงต่อก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง
ชั่วขณะนั้นพวกหลี่ลี่สยาและเจ้าเจี่ยนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ขายหน้าเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะเจ้าเจี้ยน ต่อให้โง่แค่ไหนก็ยังเข้าใจความหมายที่อยู่ในนั้น เมื่อครู่ไม่น่าเชื่อว่าจะทะเลาะกับลูกชายเจ้าของบริษัท เขาซวยแล้วจริงๆ
“ซ่งจื่อเซวียนจะนั่งในตำแหน่งนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะใช้ห้องทำงานของฉัน ตัวแทนทางกฎหมายในเอกสารต่างๆ ของบริษัทในอนาคต ก็จะกลายเป็นชื่อของเขา พวกนายฟังเข้าใจแล้วใช่ไหม”
ซ่งอวิ๋นฮั่นพูดพลางกวาดตามองจากซ้ายไปขวา
เมื่อเจอกับสายตาเช่นนี้ ใครบ้างกล้าที่จะไม่ยอม
“ครับ ฟังเข้าใจแล้ว”
“ฟังเข้าใจแล้วค่ะ”
ซ่งอวิ๋นฮั่นสีหน้าเคร่งขรึม ถึงขั้นเย็นชาอยู่บ้าง เขารู้ดีว่า ในขณะที่เขาประกาศเรื่องนี้ในวันนี้ เขาจำเป็นต้องทำอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือคลายความกังวลสงสัยเพื่อซ่งจื่อเซวียน ขจัดอุปสรรคที่อาจจะมีอยู่
“จื่อเซวียน สถานการณ์ของบริษัทแกทำความเข้าใจมาบ้างแล้วใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ครับ สภาพการบริหารตลาดสองสามแห่ง ผลงานและกิจกรรมเกือบสามปีของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ แล้วก็ยังมีสภาพการขาดทุนช่วงหลายปีที่ผ่านมาของคลับเฮาส์หลงตู”
เกี่ยวกับตลาดและบริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์ ซ่งจื่อเซวียนใช้คำรวบรัด แต่พอถึงคลับเฮาส์ เขาใช้คำว่าขาดทุนสองคำนี้ชัดเจน
ได้ยินประโยคนี้ เจ้าเจี้ยนรู้สึกใจเต้นขึ้นมา ถึงแม้เขาจะมีนายท่านฉินลิ่วอยู่ข้างหลัง แต่ในห้องประชุมนี้คุณซ่งนั้นใหญ่ที่สุด นายท่านฉินลิ่วต่อให้อยากปกป้องเขาก็ทำไม่ได้
“ฉันคิดอย่างนี้ การบริหารของตลาดกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว จื่อเซวียนก็ต้องเรียนรู้จากรุ่นพี่สองสามคนเหมือนกัน เพราะงั้น…วิธีการบริหารตลาดจะไม่เปลี่ยน
ด้านบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์…จั่วอู่ นายต้องร่วมมือกับจื่อเซวียนอย่างแข็งขัน เขาเป็นคนหนุ่ม มีความเข้าใจภาพยนตร์และโทรทัศน์ยุคปัจจุบันมากกว่า บางทีอาจจะมีไอเดียใหม่ๆ ออกมา”
จั่วอู่พยักหน้า “ครับ คุณซ่ง”
ขณะพูด จั่วอู่ไม่ลืมที่จะบันทึกลงสมุดบันทึกที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาทำให้ซ่งจื่อเซวียนดู
คนฉลาดแบบนี้ สามารถเตรียมยืนข้างใดได้ตลอดเวลาอย่างแน่นอน เขาเป็นคนของนายท่านฉินลิ่วก็จริง แต่เมื่อเจอกับลูกชายเจ้าของบริษัท เขาไม่กล้าบ้าระห่ำเหมือนเจ้าเจี้ยน
“อืม คลับเฮาส์หลงตู…จื่อเซวียน นายมีความคิดเห็นอะไรไหม”
“สาเหตุที่คลับเฮาส์หลงตูอยู่ในสภาวะขาดทุนมาตลอด อย่างแรกเป็นเพราะความบกพร่องในหน้าที่ของผู้บริหาร วิธีการบริหารยังคงเหมือนเดิม ขั้นตอนการบริหารก็ไม่เข้มงวดพอ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจ้าเจี้ยนรู้สึกไม่ยอมอยู่ในใจ เอ่ยว่า “ถ้างั้นคุณเสี่ยวซ่ง คุณลองพูดมา ผมไม่เข้มงวดตรงไหน และบกพร่องในหน้าที่ตรงไหน”
“ไม่ต้องรีบร้อน ผมพูดอยู่แล้ว คลับเฮาส์หลงตูมีการบริการรูปแบบเดียว สิ้นเปลืองพื้นที่ขนาดใหญ่ เท่าที่ผมเข้าใจ อัตราการใช้ห้องส่วนตัวคาราโอเกะมีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น นั่นก็คือสิ้นเปลืองพื้นที่ที่เหลือทั้งหมด”ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“แต่คุณยังไม่เคยเห็นช่วงที่กิจการดีนี่นา ก็เคยมีลูกค้าเต็มห้องเหมือนกัน!” เจ้าเจี้ยนพูดอธิบาย
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะหนึ่งที “แล้วมีกี่ครั้งครับ สู้ยอมให้ลูกค้ารอดีกว่าไหม แบบนี้ลูกค้าจะคิดว่าหลงตูมีห้องเต็มทุกวัน กลับกันยังจะดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
อย่างที่สอง สำหรับพนักงานบริการแล้ว ก็คือการควบคุมสาวๆ ที่หละหลวมเกินไป การบริการของสาวๆ บางส่วนถึงขั้นฝ่าฝืนกฎ ในจุดนี้ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด ให้ความสนิทสนมใกล้ชิดกับลูกค้ามากเกินไป จำเป็นต้องจัดการหรือกระทั่งไล่ออก!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“หึ พูดง่ายสิครับ ไล่ออกแล้วก็ไม่มีสาวๆ ใครจะมาเที่ยวล่ะ” เจ้าเจี้ยนเอ่ย
“เหอะๆ ดังนั้นถึงพูดว่าวิธีการบริหารของคุณไม่เปลี่ยนไปเลย ด้วย…ระดับของคุณ ก็บริหารได้แค่นี้” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างไม่เกรงใจ
เจ้าเจี้ยนโมโห แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เด็กหนุ่มคนนี้คือเถ้าแก่ในอนาคตของตัวเอง
ขณะที่กำลังพูดอยู่ จู่ๆ วีแชทของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น
เขาเห็นข้อความที่ถังหย่าฉีส่งมา แชร์โลเคชันมาพร้อมทิ้งไว้หนึ่งประโยค
‘เอาล่ะ ฉันบอกที่อยู่กับนายแล้ว คราวนี้สบายใจได้หรือยัง ฉันคุยเสร็จแล้วจะโทรหานาย รอข่าวดีของฉันนะ’
เมื่อเห็นข้อความ ซ่งจื่อเซวียนแอบคิดว่าแย่แล้ว หย่าฉีไปถึงนานแล้วเหรอ
เขาตระหนักได้ทันทีถึงความไม่ชอบมาพากล จึงลุกขึ้นพรวดเอ่ยว่า “คุณซ่ง ผมมีธุระด่วนเกรงว่าต้องขอตัวก่อนครับ!”
พูดจบ เขาก็หันตัวเดินออกจากห้องประชุมไป
………………………………………………….