เวลาผ่านไปอย่างดวงจันทร์ - ตอนที่ 17 งานแรกก็ดังโด่ง
เหอฮุ้ยหมิงพูดแบบนี้ ความเศร้าหมองของเฉินซู่ก็ค่อย ๆ จางหายไป เหอฮุ้ยหมิงเป็นคนมองโลกในแง่ดีโดยธรรมชาติ เธอมักจะหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจเฉินซู่ได้เสมอ สิ่งนี้ทำให้เฉินซู่ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวที่มีต่อเด็ก
ในอนาคตถ้าเฉินซู่มีลูกสาว เธอจะต้องเลี้ยงดูลูกสาวให้ได้ดี เลี้ยงดูเธอให้เธอเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อย ๆ อย่างเหอฮุ้ยหมิง
"ซู่ซู่ ชุดสีชมพูนี่ สวยมากเลยนะ"
เฉินซู่ยิ้มออกมา "ฉันจะไปทำงาน ไม่ใช่ไปเดตสักหน่อย ดูนี่ ฉันแต่งงานแล้วนะ"
เหอฮุ้ยหมิงแบะปาก "แหวนบ้าอะไร ถอดออกแล้วใส่ในกระเป๋า ใครจะไปรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วล่ะ"
ในที่สุดเฉินซู่ก็เลือกชุดทำงานที่ดูสุขุมมาสองชุดจนได้ ชุดหนึ่งเป็นสีขาว อีกชุดหนึ่งสีดำ ส่วนชุดที่เหลือก็ไว้ค่อย ๆ ทยอยซื้อภายหลัง
วันรุ่งขึ้น เหลยถิงพาเฉินซู่ไปทำงานด้วย ตอนที่เจอกับเหลยหย่าที่ลานจอดรถ ก็ทำให้เหลยหย่าก็อิจฉาอย่างสุด ๆ
"พี่คะ พี่ไม่ใช่ว่าเกลียดความลำเอียงมากที่สุดเหรอ? เธอมาทำงาน พี่ก็ขับรถมาพาเธอมาด้วย แต่พอเป็นฉันก็ต้องขับรถมาเอง เป็นงี้ได้ยังไงกัน!" เหลยหย่าพูดประท้วง
เหลยถิงไม่ตอบเธอ
เฉินซู่พูดเสียงเบา "ฉัน…ขับรถไม่เป็นน่ะ"
"นี่เธอ!" เหลยหย่าฟึดฟัด
ทั้งสามคนขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน เฉินซู่ไปที่แผนกบุคคลเพื่อรายงานตัว เธอต้องไปทางเดียวกับเหลยหย่าพอดี ส่วนเหลยถิงอยู่คนละชั้นกับพวกเธอ ทั้งสามจึงแยกกันที่หน้าลิฟต์
"เฉินซู่ ฉันได้ยินมาว่าเธอเพิ่งจะถูกขังอยู่ห้องดำ ทำไมตอนนี้ถึงมาทำงานที่บริษัทเหลยได้ล่ะ เธอใช้แผนอะไรเกลี้ยกล่อมพี่ชายของฉันให้ทำดีกับเธอได้ขนาดนี้" เหลยหย่าพูดอย่างมีความนัย น้ำเสียงแสดงถึงความอิจฉาเป็นอย่างมาก
เฉินซู่มองเธออย่างจนปัญหา "ถ้าจะให้ดีก็ให้ฉันอยู่ในห้องดำต่อเถอะ ถ้าให้ฉันมาทำงาน แบบนี้ฉันก็ไม่คิดว่าเขาทำดีกับฉันจริง ๆ หรอก ถ้าผู้ชายดีกับผู้หญิงจริง ๆ คงแทบอยากให้เธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่อยู่ในมือเลยล่ะ ถ้าให้ทำงานเป็นวัวเป็นควาย ทำงานไม่ดีก็ยังต้องถูกขังในห้องดำอีกใช่ไหมล่ะ?"
เหลยหย่าฟังคำพูดดูถูกตัวเอง ก็ฟังอย่างสบายอารมณ์ เธอรู้สึกว่าเฉินซู่เหมือนจะไม่น่ารำคาญอีกต่อไป
"งั้นเธอก็อย่าทิ้งพี่ฉันไปเร็วนักก็แล้วกัน"
"เตรียมตัวให้พร้อมตลอดเถอะ" เฉินซู่พูดเสียงเบา "ฉันจะเข้าไปหาผู้จัดการก่อน"
เหลยหย่าชี้ "เธอไม่จำเป็นต้องหาผู้จัดการ ไปหาคนนั้น"
เฉินซู่ยกมือทำท่าโอเค เข้าไปแนะนำตัวเอง อีกฝ่ายก็รู้ว่าเธอคือเฉินซู่ จึงขอให้เธอกรอกข้อมูลบางอย่าง จากนั้นก็ให้บัตรเข้าทำงานกับเธอ และสุดท้ายก็บันทึกลายนิ้วมือ แล้วก็มีคนพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับงาน
เธอเคยเรียนบัญชีมาก่อน ตอนที่เธอใกล้เรียนจบอาการของแม่เธอแย่ลง เธอไม่มีเวลาไปหางานทำ ได้แต่ไปขอให้เฉินจินซานช่วยแม่ แต่กว่าจะได้เงินค่าผ่าตัดมาสองหมื่นหยวน แต่แม่ของเธอก็ทนรอไม่ไหว แล้วจากไปแบบนี้
ต่อมาเธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วถูกเฉินจินซานขายให้เหลยถิง…
จนมาถึงตอนนี้เธอยังไม่มีงานที่จริงจัง ๆ ทำเลย เพราะงั้นการมาทำงานที่บริษัทเหลยจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ในวันแรกของการทำงาน เฉินซู่ก็แค่ดูบัญชีของบริษัท และฟังรุ่นพี่พูดถึงพวกข้อควรระวัง เป็นแบบนี้ติดต่อกันหลายวัน จนกระทั่ง…
"ทำไมเงินจากบริษัทของเฉินจินซานยังไม่คืนมาเลย เฉินซู่ คุณช่วยทวงอีกครั้งเถอะนะ ถ้าพวกเขายังยื้อกับคุณ ฉันจะบอกประธานแล้วนะคะ"
"ค่ะ" เมื่อเฉินซู่ได้ยินชื่อของเฉินจินซาน เหงื่อก็ออกท่วมตัว ทั้งโกรธทั้งเกลียดเขาถึงขีดสุด เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำที่เฉินจินซานด่าพวกเธอสองแม่ลูก อีกทั้งใบหน้าที่น่ารังเกียจของเขาอีก
ตอนที่แม่ของเธอจากไป เขาไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้เห็น ก็เพราะเขาอายคนอื่น กลัวว่าคนจะรู้ว่าเขามีลูกสาวนอกสมรส แล้วยังกลัวคนจะรู้ว่าผู้หญิงที่เขาแอบมีสัมพันธ์ด้วยจะไม่สวยไม่มีเสน่ห์เลยสักนิด เป็นแค่ผู้หญิงที่ทั้งแก่ทั้งน่าเกลียด วัน ๆ เอาแต่เลี้ยงลูกและทำงานบ้านงก ๆ
เสียแรงที่แม่คิดถึงเขามาตลอดชีวิต ถูกเขาหลอกซ้ำไปซ้ำมา
"เฉินซู่?"
"ค่ะ ฉันจะรีบโทรนะคะ" เฉินซู่รีบเก็บซ่อนอารมณ์ตัวเอง สายตาจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาหนึ่งนาทีเต็ม ถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ เธอท่องคำพูดของเบื้องบนไว้ในใจ
เฉินซู่โทรไปหาทางฝั่งเฉินจินซาน พอรับโทรศัพท์อีกฝ่ายก็พูดสาธยายยืดเยื้อ เธอจึงพูดอย่างรำคาญว่า "พูดมาก พวกคุณก็แค่ไม่อยากคืนเงินไม่ใช่เหรอ? รอรับจดหมายจากฝ่ายกฎหมายของเราได้เลยค่ะ"
"เฮ้ ผมบอกว่าจะยืดเวลาไปอีกสองวันไง ความสัมพันธ์ของประธานเฉินจากบริษัทของเรากับประธานเหลยจากบริษัทของคุณดีมากเลยนะ ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทที่ลูกแต่งงานกัน เงินเล็กน้อยแค่นี้ ประธานเหลยคงไม่เก็บมาใส่ใจหรอกครับ"
"เหอะ ๆ คุณคิดมากไปแล้วค่ะ การทำงานของประธานเหลย มีใครในวงการไม่รู้บ้างล่ะคะ? ฉันย้ำอีกรอบนะคะ ถ้าพวกคุณยังไม่จ่ายเงินคืนอีก ก็รอรับจดหมายได้เลย ยังไงก็ตามสิ่งที่บริษัทเหลยมีก็คือเงิน มีอะไรก็จ่ายไหวอยู่แล้ว!" เฉินซู่กดวางสาย ความคิดและการกระทำที่ไร้ยางอายของเฉินจินซานพวกลูกน้องก็ได้เรียนรู้มาด้วยงั้นเหรอ? พอฟังแล้วก็กวนใจเธอมาก
"โอ๋ สาวน้อยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว" คุณสวี๋ในห้องทำงานส่งยิ้มให้เฉินซู่
เฉินซู่เกาหน้าผากของเธอด้วยความเขินอาย "พวกเขาก็ยื้อเวลาไปเรื่อย ฉันก็เลยโกรธมากค่ะ"
"ก็สมควรโกรธแล้ว ทุกคนทำงานที่นี่มานานแล้ว แต่กลับไม่โกรธไม่อารมณ์เสียเลย เธอทำแบบนี้ก็ถูกแล้ว" คุณสวี๋พูดอย่างชื่นชม
เฉินซู่พยักหน้า ส่งยิ้มให้เธอแทนคำขอบคุณที่เข้าใจของเธอ
ทันทีที่เฉินซู่เรื่องการคุยโทรศัพท์โด่งดังขึ้น คนต่างก็บอกว่าเธอเป็นเด็กใหม่ใจกล้า วิธีการทวงหนี้รวดเร็วและเด็ดขาด หลังจากนี้หนี้ล่าช้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทจัดการไม่ได้ต่างก็ส่งให้เธอทำ การที่เธอเพิ่งมาทำงานก็มีชื่อเสียงขึ้นมานั้นทำให้เฉินซู่เป็นกังวลในใจขึ้นมา
ตอนที่เธอทานอาหารเย็น เธอก็ยังคงดูบัญชีพวกนั้นอยู่
"คราวหน้าอย่าเอางานกลับมาทำ มากินข้าวได้แล้ว" เหลยถิงออกคำสั่ง
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับว่าตัวเองต้องการกินข้าวกับเฉินซู่
เฉินซู่วางมือจากงาน ไปล้างมือและมาทานข้าว "งั้นคราวหน้าฉันจะทำโอทีที่บริษัทได้ไหม?"
เหลยถิงขมวดคิ้ว "เธอใช้เวลาทำงานไม่พอเหรอไง?"
"ฉันเพิ่งเข้าบริษัทมา อยากจะตามพวกเขาให้ทันเร็ว ๆ ฉันเป็นนักบัญชีนะ แต่ฉันถูกให้ไปทวงหนี้ตลอดเลย มันไม่ตรงสายกับงานของฉันสักนิด" เฉินซู่ปุ้ยปาก
เหลยถิงได้ยินเรื่องการทวงหนี้ของเฉินซู่มาแล้ว คาดไม่ถึงว่าเธอโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง อยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นคนละคน
"เวลาทานอาหารเปลี่ยนไม่ได้ เวลาที่เหลือ เธอก็ต้องคิดเอาว่าจะจัดการยังไง"
นี่ก็หมายความว่าเธอสามารถทำงานต่อหลังจากทานข้าวได้ใช่ไหม? แบบนี้ก็ดีเลย ทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาทานข้าวอีกด้วย
ระหว่างที่ทั้งสองทานอาหารเย็น ไม่มีการพูดคุยใด ๆ ดูแล้วช่างเงียบสงบ เฉินซู่รู้สึกขอบคุณที่เหลยถิงมีช่วงเวลาที่สุภาพและสงบเยือกเย็น เธอจึงกังวลถึงสภาพของตัวเองได้น้อยลงบ้าง
"เงินของเฉินจินซานได้คืนเพียงแค่ครึ่งเดียวเอง ยังเหลืออีกสิบล้านหยวนที่ยังไม่ได้คืนอีก จะยื้อเวลาต่อไปแบบนี้ถึงเมื่อไหร่ ทำตามขั้นตอนทางกฎหมายไม่ดีกว่าเหรอไง?" เฉินซู่กล่าว
"ฝ่ายกฎหมายของบริษัทไม่ชอบเสียเวลากับพวกเล่นแง่ บัญชีของเขา เธอต้องจัดการเอง" น้ำเสียงของเหลยถิงทำเอาไม่อาจโต้แย้งอะไรขึ้นมาได้
เฉินซู่ร้องขึ้นมา "ความหมายของคุณก็คือจะให้ฉันจับเสือมือเปล่า ในมือฉันมันไม่มีลูกธนูด้วยซ้ำ แรงของฉันก็มีไม่พออีก"
"คิดหาวิธีเอง" เหลยถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว ทิ้งให้เธอทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น
เฉินซู่รู้สึกลำบากใจ ก่อนหน้านี้ที่เธอมีความมั่นใจไปตะโกนเย้ว ๆ ใส่ นั่นก็เป็นเพราะเบื้องบนพูดกับเธอเรื่องจดหมายมาแล้ว เธอเพียงแค่พูดตามก็ใช้ได้แล้ว แต่ว่าคำพูดนี้ของเหลยถิง ถึงเฉินซู่จะพูดตามยังไง เฉินจินซานก็ไม่คืนเงินแน่ ๆ
ตอนนี้นอกจากแสร้งทำเป็นอวดรู้แล้ว แอบอ้างบารมีคนอื่น เธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ?
เฉินซู่ขมวดคิ้วครุ่นคิด รับมือเฉินจินซาน เธอก็ถือว่ารู้เขารู้เราอยู่ จะทำยังไง ในใจเธอค่อยๆ มีค่อยมีแผนการขึ้นมา