เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน - ตอนที่ 4 [บทที่ 1 คำสัญญา] กลั่นแกล้ง
- Home
- เมื่อกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธจากเพื่อนสมัยเด็ก จึงตัดสินใจกระโดดตึกกับสาวสวยที่สุดในโรงเรียน
- ตอนที่ 4 [บทที่ 1 คำสัญญา] กลั่นแกล้ง
หลังจากที่ผมแยกกับครูอัตสึตะ ผมก็กลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง
หลังเลิกเรียนแล้ว เวลาก็ผ่านไปพอสมควร
แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนที่ยังคงอยู่และกำลังนั่งคุยกันอยู่
“อุหว่า~ เกิดอะไรขึ้นน่ะ อากิ? ทำไมตัวเปียกหมดเลย!”
“เปียกไปทั้งตัวเลยนะเนี่ย-“
ผมเริ่มชินกับชื่อเล่น “อากิ” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมเห็นสาวๆ สามคนกำลังหัวเราะเยาะผม
พวกเธอแต่งหน้าจัดเต็ม ใส่ชุดนักเรียนที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ และทำสีผม
พวกเธอเป็นกลุ่มสาวแกล ที่เลิกหวังกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
จากการที่เห็นว่าพวกเธอกำลังเสียเวลามานั่งคุยเล่นหลังเลิกเรียนในช่วงปีสุดท้ายของโรงเรียนแบบนี้
อย่างไรก็ตาม พวกเธอมักจะปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน
แถมยังเป็น “กลุ่มสาวๆ ที่เป็นมิตรกับโอตาคุ” ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เว้นแค่ “นัตสึกิ” ที่พวกเธอไม่ชอบอย่างมาก
ในขณะที่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ของผมเลือกที่จะเมินนัตสึกิเพื่อหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับเธอ
แต่พวกสาวๆเหล่านี้กลับนินทาและกลั่นแกล้งเธอ
“อากิ ทำไมยืนอยู่เฉยๆ ล่ะ?”
หนึ่งในนั้น ถามผมด้วยความสงสัย ทำไมผมถึงยืนเงียบอยู่ตรงนี้
“ไม่มีอะไร… แล้วในห้องนี้มีแค่พวกเธอเหรอ?”
นัตสึกิควรจะกลับมาที่ห้องเรียนก่อนผม
ผมเลยรู้สึกสงสารเธอที่ต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกสาวๆ เหล่านี้…
“ใช่ แล้วทำไมล่ะ?”
“ผมคิดว่าเห็นสาวผมดำเดินเข้าไปในห้องเรียนก่อนผม อ๊ะ… หรือผมมองผิดไป?”
ผมตอบกลับไป
“คงเห็นผิดไปเองมั้ง พวกเราอยู่กันแค่สามคนนี้แหละ ตั้งนานแล้วด้วย”
สาวคนหนึ่งที่ดูงงๆ ตอบกลับมา
เธอดูเหมือนไม่ได้โกหกเลย ถ้านัตสึกิเคยอยู่ที่นี่จริง
พวกเธอคงจะพูดอย่างมั่นใจว่าพวกเธอพึ่งจะรังแกนัตสึกิไป
ดูเหมือนนัตสึกิจะไม่ได้ทิ้งกระเป๋าไว้ในห้องเรียน คงจะทิ้งมันไว้ใกล้บันไดที่ผมไม่ทันสังเกต
เธอคงจะกลับไปแล้วสินะ
“งั้นคงเป็นผมเองที่มองผิดไป”
ผมพูดไปแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูออกจากกระเป๋ามาเช็ดหน้าผากก่อน
โชคดีที่วันนี้ผมเอาชุดกีฬาไปด้วย เลยคิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับบ้าน
แต่ผมก็สงสัยว่า… จะเปลี่ยนที่นี่ได้ใช่ไหม?
ผมจะไม่โดนกล่าวหาว่า กำลังจะทำมิดีมิร้ายกับพวกเธอใช่ไหม?
“รีบเปลี่ยนเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก!”
“ใช่ รีบถอดเสื้อแล้วเช็ดตัวไปเรื่อยๆ ช้าๆ แล้วก็ขอแบบแซ่บๆ หน่อยนะ แล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้า”
…ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ หรือจริงๆ เป็นผมที่โดน?
ผมถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าไงผมก็ไม่เข้าใจสาวๆเหล่านี้เลย…
หลังจากถอนหายใจ ผมก็ถอดชุดนักเรียนออก เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนู
แล้วก็ใช้แผ่นซับเหงื่อ
“ว้าว กลิ่นเหมือนตอนทำกิจกรรมชมรมเลย”
“นายไม่เคยเข้าชมรมใช่ไหม?”
พวกสาวๆ ทั้งสามหัวเราะกันเสียงดัง
ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว แต่ตอนนี้ที่ผมเป็นผู้ชายวัยยี่สิบกว่าๆ ผมยิ่งรู้สึกว่า
สาวๆพวกนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะเข้าใจจริงๆ
หลังจากที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็มองไปที่พวกสาวๆ ทั้งสามอีกครั้ง
ในใจผมคิดว่าถ้าพวกเธอจะหยุดก่อกวน นัตสึกิ ผมก็คงจะรู้สึกสบายใจขึ้น
ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนกับนัตสึกิหรอกนะ
ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากจะช่วยอะไรสักอย่างให้กับเธอ จากพวกสาวๆ ที่คอยแกล้งเธอ
“อิโอริ, ขอโทษนะ ขอคุยกับคุณสองคนหน่อยได้ไหม?”
ผมเรียก อิโอริ โทวะ หัวหน้ากลุ่มของพวกเธอ
“โอ้ จะไปสารภาพรักกับ อิโอริ เหรอ?”
“จะไปหาความรักครั้งใหม่ เพื่อจะได้ลืมรักครั้งเก่าแหละ~”
สองสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ อิโอริก็ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน
ผมยังพอรับได้กับการล้อเลียนในระดับนี้ ผมเลยรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
ดังนั้น ผมก็เพิกเฉยต่อการล้อเลียนของพวกเธอและมองไปที่อิโอริ
…แต่ว่าท่าทางของผมที่ไม่แคร์คำพูดของพวกเธอกลับมีผลตรงกันข้าม
“อากิ, นายจริงจังเหรอ…”
“ไปเถอะ โทวะ—”
“เอ่อ… มีอะไรไม่สะดวกคุยที่นี่เหรอ?”
อิโอริถามด้วยท่าทางเขินๆ ขณะที่เล่นผมยาวสีบลอนด์ของตัวเอง
ซึ่งเธอมักจะบอกผมเสมอว่าไปทำสีที่ร้านทำผมชื่อดังในเมือง
“อ่า ใช่แล้ว… ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากคุยกับเธอแบบส่วนตัวน่ะ”
ผมพูดออกไป
“ไม่อยากให้พวกเราเข้าไปเป็นก้างขวางคอรึไง?”
“กล้าจริงนะ ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนชอบพูดคำว่า ‘เรียจู ระเบิดไปซะ’ รึไง?”
เพื่อนที่นั่งข้างๆอิโอริมองไปที่เธอด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
อิโอริ ใช้มือแตะไปที่หัวของพวกเธอแล้วพูดว่า “รำคาญจริงๆ!” แล้วก็ลุกขึ้น
“ตอนนี้ไม่มีใครในทางเดินแล้วใช่ไหม?”
เธอพูดแล้วเดินออกจากห้องเรียน
แล้วผมผมเดินตามอิโอริไป
“อากิ, แต่เธอก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ…”
“ผมอยากลืมเพื่อนสมัยเด็กแล้ว ผมอยากทำให้โทวะมีความสุข~”
พวกเพื่อนของอิโอริพูดออกมา
…พอมานึกดูแบบนี้แล้วผมก็สงสัยว่า ทำไมพวกเธอถึงต้องไปแกล้งนัตสึกิ
ทั้งที่ปกติแล้วพวกเธอก็เป็นเด็กดี
ผมคิดเรื่อยเปื่อยแล้วก็เดินออกจากห้องเรียน
อิโอริบอกว่าจะคุยกันที่ทางเดิน แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่คิดจะคุยตรงหน้าห้อง
เมื่อผมหันไปมอง เธอกำลังเดินไปข้างหน้าบันได
มันไม่ใกล้เกินไป แต่ก็ไม่ไกลเกินไป ถ้าพวกสาวๆ ออกมาจากห้องเพื่อแอบฟังก็คงจะไม่ได้ยินแน่ ๆ
ถือเป็นที่ที่ไม่เลวสำหรับการคุยการคุยแบบส่วนตัว
ผมยืนข้างๆ อิโอริแล้วพูดกับเธอ
“ขอโทษที่เสียเวลานะอิโอริ เอาเป็นว่า… ผมอยากคุยกับคุณแค่เรื่องเดียว…”
แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดนั้น
“ฉะ…ฉันโอเคนะ”
อิโอริพูดออกมาแบบนั้น
“ห๊ะ….”
ผมตกใจกับคำพูดของเธอ แล้วเธอก็จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ขี้อ้อน
จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เปิดปากพูด
“นายน่ะ ชอบโทวะใช่ไหม?”
“ห๊ะ…”
“โทวะก็เหมือนกันนะ… โทวะน่ะนะชอบอากิมานานแล้ว… จริงๆ ก็ลังเลอยู่นานเพราะโคโยอิด้วย
แต่ตอนนี้คงไม่ต้องสนใจเธอแล้วใช่ไหม…?”
เธอพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานพลางดึงชายเสื้อของผม
ผมยังรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเธอ แต่ในใจผมก็เริ่มคิด
หรือว่าสมัยเรียนผมอาจจะเนื้อหอมกว่าที่คิด…!?
ถ้าผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ชีวิตแรกของมัธยม มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม…?
…ไม่หรอก ไม่มีอะไรเปลี่ยน
โคโยอิเป็นทุกอย่างสำหรับผมในตอนนั้นมาตลอด
แม้จะรู้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ มาชอบผมในตอนนั้น
ผมก็คงไม่มีวันคิดจะไปคบกับใครนอกจากโคโยอิหรอก
งั้น… ตอนนี้ล่ะ?
อิโอริถือเป็นสาวที่สวยมากๆคนนึง ถึงแม้จะไม่ค่อยจริงจังกับการเรียนและชอบแกล้งนัตสึกิ
เริ่มชีวิตในโรงเรียนใหม่กับเธอก็ไม่แย่รึป่าว?
แต่มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก
ผมไม่สามารถจินตนาการได้ว่า อิโอริ สาวมัธยมทั่วไป กับผม ชายวัยจะ 30 จะมีความสัมพันธ์ที่ดี
ถ้าเราคบกัน
ผมอยากให้เธอไปคบกับใครที่อายุใกล้เคียงกัน
ไม่ใช่เด็กผู้ชายปลอมๆอย่างผมที่อายุจริงๆเกือบจะ 30 แล้ว
เธอควรได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างมีความสุข
“…ขอโทษนะ, แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะพูด.”
อิโอริขมวดคิ้วแล้วเอนหัวไปด้านข้าง ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด
“พวกเธอควรหยุดแกล้งนัตสึกิได้แล้ว”
พอได้ยินคำพูดของผม หน้าของอิโอริที่เคยดูน่ารักก็ได้หายไป กลายเป็นความไม่พอใจแทน
“ห๊า? หมายความว่าไง?”
อิโอริถามผมด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เมื่อกี้ผมพึ่งจะคุยกับครูอัตสึตะมา เขาดูเหมือนจะเป็นห่วงนัตสึกิ ถ้าเธอยังแกล้งแบบนี้ต่อไป
เธออาจจะเดือดร้อนได้เร็วๆ นี้น่ะ”
“แล้วยังไง? จะให้ฉันเป็นเพื่อนกับยัยนั่นรึไง?”
อิโอริแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมากและจ้องมาที่ผม
“ผมไม่ได้บอกให้เธอไปเป็นเพื่อนกับนัตสึกิ หรือไปทำดีด้วยหรอกนะ
เธอจะเมินก็ได้ หรือจะยังแกล้ง จะยังนินทาก็ได้
แต่ว่าถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาเธอจะกลายเป็นแพะในเรื่องนี้แทนนะ”
“คนอื่นๆ ก็นินทาเธอลับหลังเหมือนกันนั่นแหละ”
“ใช่แล้ว นั่นแหละ ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา เพื่อนคนอื่นๆก็จะเริ่มโยนความผิดมาให้เธอ
เพราะเธอโดดเด่นที่สุด เธอก็รู้ว่าไม่มีใครยอมพูดในสิ่งที่จะทำให้ตัวเองดูแย่หรอก จริงไหม?
และเมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้ายก็ตาม”
อิโอริเงียบไปหลังจากที่ผมพูดจบ
คงพอจะนึกภาพออกว่าเหตุการณ์มันจะเป็นยังไง
“มันจะมีคนอยู่ประเภทนึ่งที่ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจอยู่เสมอใช่ไหมล่ะ? แล้ว
การที่เราไปแกล้งหรือไปทำร้ายคนๆนั้นมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาใช่ไหมล่ะ บางครั้งอาจเกิดผลเสียด้วยซ้ำ
ถ้าอย่างนั้น ถ้าเราทำเป็นไม่สนใจแล้วปล่อยผ่านไป อย่างๆน้อยมันก็ไม่มีปัญหาอะไรตามมานะ “
อิโอริดูเหมือนจะอารมณ์เสียหลังจากที่ผมพูดไป… แล้วเธอก็พึมพำออกมาอย่างงอนๆ
“อะไรของนายเนี่ย…”
“กฎในการใช้ชีวิตของผมเองแหละ”
ตอนที่ผมเข้าทำงานในสังคม ผมต้องเผชิญกับหัวหน้าที่ชอบคุกคามและทำร้ายจิตใจโดยไม่สนใจ
ความต้องการของผม และยังต้องดูแลพนักงานใหม่ที่ขาดความกระตือรือร้น ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าไม่นาน
พวกเขาก็คงจะลาออกไป
ผมคิดว่ามันคงไม่เหมือนกันกับพวกที่แกล้งหรือถูกแกล้งในโรงเรียน เพราะในที่ทำงานมันไม่มีทางหนี
แต่ถ้าเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อนในห้องเรียน มันคงไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“อะไรของนาย?”
อิโอริพึมพำออกมาซ้ำประโยคเดิม
แต่คราวนี้เธอยิ้มเล็กน้อย
“นี่ ทำไมบอกแค่โทวะคนเดียวล่ะ ไม่พูดต่อหน้าทุกคนเลยเหรอ? หรือเพราะคิดว่าโทวะชอบแกล้ง
ยัยนั่นที่สุดหรือไง?”
ความรังเกียจที่ผมรู้สึกจากเธอก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปแล้ว
แต่เธอก็มีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจ
“ถ้าผมพูดกับพวกเธอสามคนพร้อมกัน พวกคุณก็คงจะไม่สนใจคำพูดของผมใช่ไหมล่ะ?
ผมเลยเลือกบอกอิโอริที่ดูเหมือนจะคุยง่ายที่สุด”
“อ๋อ แบบนี้เองสินะ”
เธอยิ้มอย่างเศร้าๆ หลังจากที่ได้ยินคำตอบของผม
“โอเค ครั้งนี้โทวะจะเชื่อคำพูดของอากิก็แล้วกัน”
อิโอริถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“พูดตามตรงนะ… ฉันเริ่มเบื่อที่ต้องแกล้งนัตสึกิแล้วล่ะ โทวะจะบอกทั้งสองคนทีหลัง”
“ขอโทษที่ทำให้รำคาญนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก อากิ… เธอคงกังวลเรื่องพวกเราสินะ?”
จริงๆ ผมไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับอิโอริและพวกที่แกล้งนัตสึกิหรอก แต่… ผมพยักหน้าเงียบๆ
พอเห็นท่าทางของผม อิโอริก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วเริ่มเดินออกไป
เธอคงจะกลับห้องเรียนสินะ
ผมเริ่มเดินตามอิโอริไป
“อ๊ะ แล้วก็…”
“อะไรเหรอ?”
อิโอริหันกลับมาพูด
“แค่บอกไว้ แต่… ถ้านายว่างเมื่อไหร่ ก็สามารถชวนฉันไปเดตได้ทุกเมื่อเลยนะ”
อิโอริหัวเราะคิกคักเหมือนแค่หยอกล้อผม แล้วก็พูดต่อ
“ถ้านายอยากจะลืมรักเก่าก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ”
“…เอาตามนั้นแล้วก็แล้วกัน”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มของเธอ
–ถ้าผมเป็นแค่เด็กชายมัธยมธรรมดาๆ และไม่ได้เจอกับโคโยอิ ผมคงจะตกหลุมรักเธอไปแล้วล่ะ
รอยยิ้มของเธอมันมีเสน่ห์จนทำให้ผมคิดแบบนั้น