เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 324 ฟินิลอะลานีน
บทที่ 324 ฟินิลอะลานีน
“พี่ทำอะไรอยู่คะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเดินเข้าไป มองดูยาที่อยู่ในมือของจี้จิ่งเชิน “พี่ไม่สบายอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าหรอก”
จี้จิ่งเชินยิ้มออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเอาขวดยานั้นวางไว้บนโต๊ะ
“เมื่อก่อนที่ผมเคยบอกคุณเอาไว้ไง ว่ายาที่หมอจางให้ผมไว้ สามารถรักษาอาการของผมได้”
เวินเที๋ยนเที๋ยนนึกย้อนกลับไป แล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้จี้จิ่งเชินเคยบอกเรื่องนี้กับเธอเอาไว้แล้ว
เธอวางใจแล้วนั้น จึงหยิบขวดยานั้นขึ้นมาดู เห็นด้านบนเขียนเอาไว้สามคำว่า “ฟินิลอะลานีน” ส่วนทางด้านล่างนั้นเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
“ฉันคิดว่าพี่หายแล้วซะอีก นี่พี่ยังต้องทานยาไปอีกนานแค่ไหนคะ?”
จี้จิ่งเชินยื่นมือออกมากอดเธอเอาไว้ แล้วก็เอาขวดยาที่อยู่ในมือเธอเก็บออกไป
“อีกสักพักหนึ่งแหละ รอให้อาการคงที่ก็ดีขึ้นแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่งลง แล้วเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
นิตยสารเปิดขึ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง รูปถ่ายของเวินเที๋ยนเที๋ยนปรากฎอยู่ด้านบน
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”
เธอรีบหยิบขึ้นมาดู ด้านบนนั้นตีพิมพ์รูปถ่ายอยู่สามรูป รูปแรกเป็นรูปที่เธอถือกล่องข้าวไปหาหมินอันเกอที่บริษัทโทรทัศน์หัวไต้
และยังมีอีกสองรูปล้วนแต่เป็นรูปของเธอกับหมินอันเกอที่กำลังยืนอยู่ประตูด้านหน้าบริษัท
หมินอันเกอยกมือขึ้นมาจัดผ้าพันคอให้เธอ ถูกถ่ายเก็บไว้อย่างชัดเจน
ในนิตยสารนั้นใช้ตัวหนังสือสีแดงตัวหนาทำให้ดึงดูดสายตาของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
–ทายาทตระกูลหล่อนพบปะซุปเปอร์สตาร์ดังเป็นการส่วนตัว
เวินเที๋ยนเที๋ยนอ่านไปเพียงไม่กี่บรรทัด แล้วขมวดคิ้วขึ้น
เธอหันมาดึงจี้จิ่งเชินเอาไว้
“ฉันไปส่งอาหารกลางวันให้เขา หลวนจื่อขอให้ฉันช่วยเธอ ฉันกับเขาไม่ได้……”
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่จะอธิบายออกมาอย่างร้อนใจ แต่กลับถูกจี้จิ่งเชินจับตัวเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องหรอก ผมเชื่อคุณ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองดูท่าทางของเขาอย่างระแวง เธอมองตาเขา
“จริงหรือเปล่าคะ?”
ท่าทางของจี้จิ่งเชินนั้นดูน่าตกใจเกินไป จึงทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกกังวลขนาดนี้
จี้จิ่งเชินพยักหน้า
“ผมไม่เป็นอะไรครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงมองสำรวจเขาอีกครั้ง ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นในที่สุด
จี้จิ่งเชินยิ้มออกมา หยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นแล้วโยนทิ้งลงถังขยะไป
เขากอดเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้พลางเอ่ยถามขึ้น : “เมื่อกี้คุณจะบอกอะไรกับผมนะครับ? ตระกูลหล่อนกับตระกูลเวินทำไมหรือครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงนึกเรื่องของตัวเองขึ้นมาได้ เธอหันมาหาเขา : “หลวนจื่อช่วยฉันสืบถามมาจากคุณป้าที่อยู่ที่ตระกูลเวินมาค่ะ รู้ความแค้นก่อนหน้านี้ระหว่างตระกูลหล่อนกับตระกูลเวินแล้ว”
ความแค้นของทั้งสองตระกูลนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จะต้องย้อนกลับไปอีกเป็นระยะเวลาอันแสนจะยาวนาน
ตอนนั้น ตระกูลเวินเป็นเพียงแค่หัวหน้าหมวดการปฏิวัติ เป็นผู้นำที่มีนายทหารเพียงหลักร้อยนายเท่านั้น
ในการสู้รบครั้งหนึ่งพวกเขาเกือบจะพ่ายแพ้จนถูกจับเป็นเชลย แต่ถูกตระกูลหล่อนพาคนมาช่วยเอาไว้ อาศัยอาวุธและกำลังคนเป็นจำนวนมากของตระกูลเวินจึงทำให้พวกเขาแย่งพื้นที่ที่เกือบจะสูญเสียไปกลับมาได้
ตระกูลหล่อนกับพวกเขาได้สัญญากันเอาไว้ ว่าต้องการให้เขาแนะนำ เพื่อที่จะเข้าร่วมคณะปฏิวัตินี้
แต่รอจนหลังจากที่ชนะสงครามแล้ว คนของตระกูลเวินกลับปิดปากเงียบไม่ยอมพูดถึงความช่วยเหลือนี้ของตระกูลหล่อน เอาความดีความชอบไว้ฝ่ายเดียว และไม่นานก็ได้รับความสนใจ
หลังจากนั้นเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองทหารภายในเวลาไม่ถึงสิบปี
ตระกูลหล่อนก็รอการแนะนำจากเขามาตลอด จนกระทั่งได้รู้ความจริงแล้ว จึงไม่ยอมที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังทหารอีก แต่เปลี่ยนมาเป็นนายพลที่มีอำนาจและอิทธิพลแทน
“ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ตระกูลหล่อนกับตระกูลเวินก็เริ่มกลายเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกเลย”
จี้จิ่งเชินฟังจบแล้วนั้น จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น : “ตระกูลเวินเป็นฝ่ายที่ทำไม่เหมาะสมก่อน มิน่าล่ะตระกูลหล่อนถึงไม่ยอมร่วมงานกับพวกเขา จากที่ผมรู้ ต่อมาทั้งสองตระกูลก็ได้มาพบกันที่เมืองหลวง ตระกูลเวินเห็นว่าตระกูลหล่อนร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย จึงต้องการจะเจรจาด้วย แต่กลับถูกปิดกั้นทุกครั้งไป”
มุมปากของเขายกขึ้น รอยยิ้มแห่งความเย้ยหยันปรากฏออกมา
“ไม่เพียงแค่จะไม่สามารถปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นใหญ่ของตระกูลหล่อนได้เพียงเท่านั้น และยังถูกให้ร้ายอีกด้วย แม้แต่ตำแหน่งของตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ ต่อมาพวกเขาถึงได้ตัดสินใจเข้าสู่วงการธุรกิจ”
“ตระกูลหล่อนกับตระกูลเวินเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลยจริงๆสินะคะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยพูดต่อ : “แต่ก็ไม่มีใครรู้ ว่าคุณนายหล่อนกับเวินหงหยู้มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่เมื่อไหร่ รอจนตอนที่ทุกคนรู้ พวกเขาสองคนก็เลิกกันไปอย่างเด็ดขาดเป็นเวลาเป็นยี่สิบปีแล้ว ตอนนั้น คุณนายหล่อนยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยนะคะ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินหลวนจื่อเล่าให้เธอฟัง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ช็อคไปเหมือนกัน
คุณนายหล่อนกับเวินหงหยู้รออีกฝ่ายเป็นเวลายี่สิบปี แต่ตอนนั้นที่เวินหงหยู้อยู่ที่ตระกูลหล่อนนั้น ดูแล้วราวกับว่าเขาก็อยู่ข้างกายคุณนายหล่อนตลอดเวลา
เขารู้ว่าตัวเองจะต้องได้กลับมาที่ตระกูลเวินอีกครั้งอย่างแน่นอน นึกถึงตอนนั้นแล้ว เวินหงหยู้จะต้องใช้เวลาทุกวันที่อยู่กับคุณนายหล่อนให้คุ้มค่าที่สุดแน่ๆ
เธอจำได้ว่าเพียงแค่คุณนายหล่อนปรากฏตัว สายตาของเวินหงหยู้ก็จะมองตามเธอไปตลอด
เวินเที๋ยนเที๋ยนถอนหายใจออกมา
“คุณนายหล่อนไม่เคยเอ่ยพูดถึงเรื่องราวในอดีตเลย ไม่คิดว่าเมื่อก่อนจะเคยเจอเรื่องที่สะเทือนใจเช่นนี้มาเหมือนกัน”
หลังจากที่รู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยิ่งแน่ใจ ว่าอำนาจตัวแทนยุทโธปกรณ์เมื่อสิบปีก่อน คุณนายหล่อนตั้งใจที่จะทิ้งเอาไว้ให้กับเวินหงหยู้นั่นเอง
หรือบางที นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในแผนของพวกเขาก็ได้
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเอง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รู้สึกลังเล ไม่รู้ว่าควรจะแย่งเอาอำนาจตัวแทนนี้ต่อดีหรือเปล่า
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว ถึงได้บอกกับเวินเที๋ยนเที๋ยนถึงข่าวที่ได้ไปตรวจสอบมาเมื่อครู่นี้
“หลังจากที่เวินหงหยู้กลับไปที่ตระกูลเวินแล้ว เขาก็ได้เข้าร่วมอำนาจตัวแทนยุทโธปกรณ์ในครั้งนี้ด้วยนะครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว หันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะคะ?”
จี้จิ่งเชินส่ายหน้าเล็กน้อย แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของเวินหงหยู้ได้ หรือบางทีคงจะมีเพียงแค่คุณนายหล่อนคนเดียวเพียงเท่านั้นที่จะเข้าใจอย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้คุณนายหล่อนกลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น
เขาขมวดคิ้วขึ้นพลางเอ่ย : “ตอนนี้แม้แต่เขาเองก็เข้าร่วมด้วยแล้ว คุณยังจะดำเนินต่อไหมครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนคิดแล้วก็พยักหน้าออกมาด้วยความมุ่งมั่น
“ฉันจะทำต่อค่ะ”
เธอยืนขึ้นมา พลางเอ่ยต่อ : “ถ้าหากตระกูลเวินไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าหากไม่ตอบโต้กลับอีกกิจการของตระกูลหล่อนจะต้องสูญเสียอย่างหนักแน่ๆ”
จี้จิ่งเชินเบิกตาขึ้นเล็กน้อย มองดูเวินเที๋ยนเที๋ยนที่มีชีวิตชีวาสดใสอยู่ตรงหน้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย
“คุณจะทำอะไร ผมสนับสนุนคุณอยู่แล้วครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนดึงเขาขึ้นมา “เรื่องของที่บริษัทเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังดีกว่าค่ะ ตอนนี้พี่ไปดูเด็กๆกับฉันก่อนดีกว่านะคะ”
ทั้งสองคนเดินออกมาจากตึกใหญ่
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว อากาศจึงหนาวเย็นมาก
เด็กๆกลับไม่กลัวความหนาวเลย กำลังเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินเดินมานั้น พวกเขาไม่ได้เดินเข้ามาหา แต่กลับพากันหลบเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจี้จิ่งเชินจะไม่ตีไม่ดุพวกเขา แต่กลับยังคงรู้สึกกลัว จึงพากันไม่กล้าเข้าใกล้เขา
เสี่ยวชิ่งที่คุ้นเคยกับจี้จิ่งเชินอยู่บ้าง เดินเข้ามาก่อน
“พี่เที๋ยนเที๋ยน”
“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ?” เวินเที๋ยนเที๋ยนมองดูเด็กๆที่ซ่อนตัวกันอยู่ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“คุณปู่พ่อบ้านบอกพวกเราว่าอีกสองสามวัน พวกเราจะต้องกลับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว พวกเราเลยอยากจะมาปั้นตุ๊กตาหิมะกันเป็นครั้งสุดท้ายครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้นมา เห็นพวกเขากำลังรวบรวมหิมะกันขึ้นมา ดูแล้วเป็นการทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่กันเหลือกัน
“ให้พี่ช่วยไหม?”
“ไม่ได้ครับไม่ได้”
เสี่ยวชิ่งส่ายหน้าเหมือนกับป๋องแป๋งของเล่นเด็ก แล้วรีบเข้ามา เพื่อดันตัวเวินเที๋ยนเที๋ยนให้กลับไป
“พี่กลับไปก่อนดีกว่านะครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนถูกเขาดันตัวกลับไปด้วยความสงสัย จึงเอ่ยออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ : “พวกเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ?”
“เดี๋ยวพี่ก็รู้ครับ”
ว่าแล้วก็ส่งตัวเวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไปตึกใหญ่แล้วถึงได้กลับออกมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองตามเบื้องหลังที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วของเสี่ยวชิ่งด้วยความสงสัย ในใจยิ่งรู้สึกอยากรู้มากขึ้น
“พวกเขากำลังทำอะไรกันแน่นะ?”