เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !! - ตอนที่ 16 สิ่งที่พวกเราปกป้องเอาไว้ได้ !!!
- Home
- เพื่อชดใช้หนี้ 2 ล้าน ฉันจึงเข้าร่วมระบบจอมเวทย์ค่ะ !!
- ตอนที่ 16 สิ่งที่พวกเราปกป้องเอาไว้ได้ !!!
พูดถึงของหวานก็ต้องร้านคาเฟ่
จากการเสาะแสวงหาร้านดังๆในเมจิคัลโฟน มาริซ่าก็เจอร้านๆหนึ่งที่มีแต่ของน่ารักน่าทานดีต่อใจ
‘สไลม์มี่ คาเฟทาเรีย’
ร้านคาเฟ่ชื่อดังเปิดใหม่ใจกลางเมือง
สถานที่ที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับเหล่าสไลม์อันแสนจะน่ารักไปพลางจิบชาหวานๆช่วยเพิ่มสีสันต์ให้กับชีวิตที่จืดชืด
ตอนนี้กำลังมีโปรโมชั่นพิเศษซื้อ 1 แก้วแถมฟรี 1 แก้ว หากเป็นเด็กนักเรียนและสตรีมีครรภ์จะได้ส่วนลดราคาพิเศษ 50 % ยังไม่พอ ! หากซื้อครบ 100 แก้ว รับไปเลย ดินสอสีระบายน้ำ สไลม์คาสเทล ซึ่งมีสีให้เลือกมากทั้งหมดถึง 72 สี แต่เดี๋ยวก่อน โชคชั้นที่สอง ทุกแก้ว 10 แก้วคุณจะมีสิทธิสุ่มกาชาตุ๊กตาสไลม์ลิมิเต็ตตัวเดียวในโลก
“ก็ตามนี้แหล่ะ มาร้านนี้กันเถอะ….เอ่อ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“เอ็มเพรส….มารีน….มาต่อกัน..ฮึก ! …มาต่อกันอีกรอบ”
“พอเถอะ ! ขอร้องล่ะ ! ฉันไม่อยากฆ่าเธออีกแล้ว โอเค้ !? น่าๆฉันเลี้ยงเองแล้วก็เช็ดน้ำตาได้แล้ว”
ดูเหมือน เอวา จะมีนิสัยเป็นเด็กกว่าที่คิด หลังจากที่แพ้รัวๆ ตัวเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาซ้ำยั้งตามตื้อจะขอสู้ใหม่ทั้งๆที่ขาสั่นจะแย่อยู่แล้ว
แม้ตอนแรกมาริซ่าคิดแค่ว่าจะซ้อมให้ตายกันไปข้างจะได้ไม่มีแรงไปแย่งเธอล่ามอนสเตอร์ แต่พอเห็นสภาพที่แตกสลายของรุ่นพี่คนนี้ มันก็ทำให้เสี้ยวหนึ่งของมาริซ่ารู้สึกผิดและทนดูไม่ได้
พอลากเอวาเข้ามาในร้านได้สำร็จ ทั้งคู่ก็กวาดตาดูภายในร้าน
“น่ารักดีนะ เหมือนคาเฟ่แมวเลย”
ร้านทั้งร้านตกแต่งด้วยสีชมพู ตรงเคาน์เตอร์มีตู้วางไอติมอยู่ด้านหน้าและมีเครื่องชงกาแฟตั้งอยู่ด้านข้าง ผู้ที่ยืนอยู่ตรงเครื่องจ่ายเงินและเครื่องชงกาแฟคือทานูกิพูดได้ 3 ตัว
ในขณะที่ฝั่งที่นั่งลูกค้าก็จะเป็นโต๊ะทรงกลมหน้าตาน่ารักที่มีลวดลายคล้ายดอกไม้ซึ่งจุคนได้เต็มที่ 4 ที่นั่ง โดยมีโต๊ะอยู่ราวๆ 10 โต๊ะ และท่ามกลางโต๊ะเหล่านั้นก็มีเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวกลมๆหน้าตาคล้ายพุดดิ้งอย่างสไลม์หลายสิบตัวกำลังกระโดดดึ๋งๆอย่างร่าเริง
“โอ้ววว นี่หรอสไลม์”
สถานที่แห่งนี้ก็มีกฎไม่ต่างจากคาเฟ่แมวในโลกแห่งความเป็นจริง
ทุกๆคนสามารถเล่นกับสไลม์ได้อย่างอิสระระหว่างลิ้มรสน้ำชา
เธอจูงมือเอวาที่มองพื้นอย่างหม่นหมองไปยังโต๊ะริมหน้าต่างที่วางอยู่
ทันทีที่เธอวางก้นลง เหล่าสไลม์ที่ร่าเริงก็กรูกันเข้ามาหาพวกเธออย่างรวดเร็ว จนมาริซ่าสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
“อุ๊ ! ตกใจหมดเลย—”
แม้ตอนแรกจะระแวง แต่พอมีเจ้าก้อนกลมๆสีฟ้าเย็นๆกระโดดมาเกาะไหล่ของเธอ มันก็ทำให้มาริซ่ารู้สึกจักกะจี้แปลกๆ
แกร๊ง !
เพื่อไม่ให้เกะกะ มาริซ่าเลยวางไม้คฑาพิงกับกำแพง
“—– !!!”
ตึ้ง !
แต่ทันทีที่ไม้คฑาสัมผัสกำแพงจนเกิดเสียง เธอก็ได้ยินเสียงกระแทกของโต๊ะอีกฟากที่เอวากำลังนั่งอยู่
เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่า เอวา อยู่ๆก็ยืนขึ้นมาเอามือบังคอของตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด
“เอ่อ….”
“มะ..มะ ไม่มีอะไร”
เอวาที่ใบหูแดงเล็กน้อยรีบกลับไปนั่งและหลบตา พลางเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน
“จะว่าไป ทำไมเลือกร้านนี้ล่ะ”
ดึ๋งๆๆๆ
ระหว่างที่กำลังพูดคัยกัน มาริซ่าก็หยิบสไลม์สีฟ้าบนไหล่ตัวเองมากอด
อ่า…นุ้มนุ่มมมมมมม
มาริซ่าคิดในใจ
สัมผัสราวกับกอดเยลลี่เย็นๆอะไรอย่างงั้นเลย
ผิวหนุมลื่น แถมยังมีกลิ่นห้อมหอม
พอวางหน้าลงไปก็จมลงไปในผิวของมันทั้งๆอย่างงั้น
ภาพที่เห็นเหมือนกับตัวเองกำลังจมลงไปในน้ำ พอมองไปข้างนอกจากดวงตาที่จมลงไปในสไลม์ มาริซ่าก็เห็นร่างของเอวาบิดเบี้ยวราวกับเป็นภาพที่เกิดการหักเหของแสง
“ก็มันน่าหนุกดีน่ะ”
“หรอ….ก็น่าสนใจจริงๆล่ะมั้ง”
คราวนี้เอวาลองเลือกสไลม์ตัวหนึ่งมาเล่นดูบ้าง
ดึ๋งๆ
สัมผัสนิ่มๆนุ่มๆราวกับได้กอดตุ๊กตาที่นิ่มที่สุดในโลก
ตัวที่เอวาเลือกกอดคือสไลม์สีน้ำตาลช็อคโกแลตซึ่งมีอยู่เพียงตัวเดียวในร้าน
เพราะที่เหลือก็มีแต่สไลม์ สีฟ้าบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบ้างสลับกันไป
พอเธอลองดมก็พบว่ากลิ่นมันหอมเหมือนช็อคโกแลต
แถมพอวางหน้าลงแล้วจมลงไป ความฟินอันหาที่สุดไม่ได้ก็ทำให้เธออมยิ้มเล็กน้อย
“ฟุฮ่าว์ ! รู้สึกสดชื่นจัง”
“ใช่ไหมละ ? ร้านนี้เห็นรีวิวได้คะแนนเยอะเลย และมีคนบอกต่อกันว่าใช้ทำสไลม์บำบัดได้ด้วย”
“อะไรละนั่น ?”
“ก็คือ ใช้สไลม์ช่วยเยียวยาจิตใจที่กำลังเหนื่อยล้า เหมือนกับที่เราเล่นกับสัตว์เลี้ยงไง”
“หรอ…งี้นี่เอง”
เอวาลูบผิวสัมผัสนุ่มๆของสไลม์บนหน้าตักอย่างมันส์มือ
“ก็สนุกดี…นิดหน่อย”
“ใช่ไหมละๆๆ เหนื่อยๆแบบนี้ต้องพักเยอะๆเข้าไว้ เพราะงั้นสั่งตามสบายเลยเน้อ~ ♪”
เอวาที่สีหน้าผ่อนคลายลงเหลือบมองมาริซ่าที่สนุกกับการผุดๆโผล่ๆระหว่างจมไปในหน้าของสไลม์กับวางแก้มลงบนผิวของมันและเอาแก้มไปถูๆไถๆเพื่อสัมผัสความนุ่มอันสุดแสนจะเกินต้านทาน ดวงตาของเธอดูเคลิบเคลิ้มและแก้มก็ดูย้วยเล็กน้อยอย่างมีความสุข รอยยิ้มอันเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติของมาริซ่าในตอนนี้เอวาคิดว่ามันดูดีกว่ารอยยิ้มที่เธอแสดงให้เห็นเป็นประจำเสียอีก
“มีอะไรรึเปล่า ?”
ดึ๋งๆ
พอรู้ว่ากำลังโดนจ้องอยู่ มาริซ่าก็ยกหน้าขึ้นมาจากร่างของสไลม์จนพื้นผิวเด้งดึ๋งๆ
“อ๊ะ ! จักกะจี้จัง”
ระหว่างนั้นก็มีสไลม์สีเขียวมาคลอเคลียกับแก้มของมาริซ่า ในขณะที่สไลม์สีม่วงตัวหนึ่งก็มานั่งตักของเธอจนต้องใช้มืออีกข้างมาลูบผิวของมัน แถมพอมันโดนลูบมากๆเข้า มันก็ขยับตัวซ้ายขวาไปมาราวกับกำลังเคลิบเคิล้มไปกับฝ่ามือของมาริซ่าเสียด้วย
พอเอวาเห็นภาพของหญิงสาวผู้งดงามที่รายล้อมด้วยเหล่าสไลม์ตัวน้อยๆ เธอก็คิดว่ามันช่างเป็นภาพที่อบอุ่นงดงามชวนให้อุ่นหัวใจ ต่างจากนางมารร้ายที่ไล่ฆ่าเธอก่อนหน้านี้เสียเหลือเกิน
ดึ๋งๆๆ
แต่ก็มีสไลม์ตัวหนึ่งดันกระโดดไปชนไม้คฑาของมาริซ่าจนล้ม
แกร๊ง ๆ
“—– !!!”
“ระวังหน่อยสิ เจ้าหนูนี่”
มาริซ่าต่อว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางลูบสไลม์จอมซนแล้วเอาคฑาของเธอมาวางตั้งใหม่
แต่เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าเอวาอยู่ในท่ายืนขึ้นกุมคอของตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือดอีกแล้ว
ไม่เอาน่า…คงไม่โดนจนหลอนไปแล้วหรอกมั้ง
มาริซ่ายิ้มแห้งๆภายในใจ ขณะเฝ้ามองเอวากลับไปนั่งที่เดิมด้วยท่าทางเขินอาย
เอวาที่ตอนนี้อายจนก้มหน้าลงและจิ้มๆกับผิวสไลม์เพื่อระบายอารมณ์ มันก็เป็นภาพที่น่ารักไปอีกแบบ ต่างจากยัยเด็กจอมป่วนที่ตื้อจะประลองกับเธออย่างสิ้นเชิง
“มีอะไรรึเปล่า ?”
คราวนี้เอวาเป็นฝ่ายถามบ้างเพราะรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา
พอมาริซ่าได้ยินดังนั้น เธอก็ยักไหล่เล็กน้อย โดยไม่ละสายตาจากสไลม์ที่กระโดดมานัวเนียกับขาของเธออยู่
“ก็แค่ไม่คิดว่าคุณเอวาจะแสดงสีหน้าแบบนั้นเป็นกับเขาเหมือนกัน”
“สีหน้า ? หมายถึงแบบไหน”
“ทำหน้าตาเขินอาย..ก็น่ารักดีนะ ค่อยดูเหมือนเด็กสาวธรรมดาๆหน่อย”
“—–!!!”
ได้ยินดังนั้นใบหน้าของเอวาก็แดงขึ้นกว่าเดิม
“ฉะ ฉันเป็นเด็กสาวธรรมดาๆอยู่แล้วน่า นี่คิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย”
“คนที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ แล้วก็มุทะลุ ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่น่าเบื่อๆที่เอาแต่ให้ความสำคัญกับหน้าที่ล่ะมั้งคะ”
“อึก !”
จริงๆแล้วเพื่อนๆของเธอก็เคยว่าเอวาแบบนี้เหมือนกัน
“งะ งะ งั้นเธอก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“คะ ?”
“ปกติก็เห็นชอบทำท่าทางเย็นชาใส่ตลอด”
“เย็นชา ?”
ก็ไม่นี่นา…
มาริซ่าคิดในใจด้วยความสงสัย
“ก็แบบ..เหมือนเธอสร้างกำแพงระหว่างพวกเราเอาไว้…ถึงตามปกติจะยิ้มให้กันแต่มันก็..”
“………………”
“ว่ายังไงดี……”
พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าลังเลที่จะตอบ มาริซ่าจึงพูดออกมาเอง
“ดูเสแสร้งสินะคะ”
“ก็…เออ…นั่นแหล่ะ..ขอโทษนะ”
“ไม่หรอกค่ะ…”
พอเห็นอีกฝ่ายยอมรับอย่างซื่อตรง เธอก็ส่ายหัว
ที่เอวาพูดน่ะถูกต้องแล้ว เพราะมาริซ่าเองก็ตัดสินใจวางตัวแบบนี้เองตั้งแต่แรก
เธอหลุบตาลงต่ำพลางลูบผิวของสไลม์
“พอดีมันติดเป็นนิสัย”
“นิสัย ?”
“ก็ทำนองว่าเวลาทำธุระเรื่องงานต่างๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ยิ้มไว้ก่อน ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว การยิ้มเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการแสดงความเป็นมิตร การยิ้มในจังหวะที่เหมาะสมก็เป็นหน้าที่ของคนเราอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี แม้ในใจจะไม่ได้ยิ้มก็ตาม ”
“ฟังดูหนักอึ้งจังนะ”
“เดี๋ยวเมื่อคุณเอวาโตขึ้นก็จะเข้าใจเองค่ะ”
“อึก ! พูดเหมือนกับจะสั่งสอนฉันเลย ทั้งๆที่เป็นรุ่นน้องแท้ๆ”
“ฮุๆ ก็ฉันอายุเยอะที่สุดในกลุ่มนี่ค่ะ”
“มันก็จริง…..”
เอวาหลบตาและก้มลงไปลูบสไลม์ต่อ
ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งที่เรียกว่าสไลม์บำบัดรึเปล่า เธอเลยรู้สึกว่าบทสนทนาของพวกเธอทั้งคู่ดูผ่อนคลายมากขึ้น
พอจิตใจสงบลง เธอก็มีเวลาไตร่ตรองอะไรมากมาย
ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี…ทุกสิ่งที่เธอได้ทำลงไป
พอได้ลูบสไลม์แล้ว ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับได้รับความกล้าขึ้นมา
“เอ็มเพรส…มารีน”
“คะ ?”
มาริซ่าเอียงหัวเล็กน้อยขณะกำลังก้มหน้าน้วยกำลังสไลม์อย่างสนุกสนาน
“ขอโทษนะ….”
“???”
“ที่ลากมาซ้อมด้วยแกมบังคับแบบนี้”
มาริซ่าหรี่ตามองเอวาที่ก้มหน้าลงด้วยท่าทางสำนึกผิก เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมีสติปัญญามากพอจะรู้ว่าการกระทำของเธอเป็นการรบกวนอีกฝ่าย
“ไม่คิดว่าจะขอโทษเป็นด้วย”
“นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนนิสัยเสียขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย…เฮ้อ…แต่จะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกสินะ”
ท่าทางอันเหงาหงอยของเธอ มาริซ่าที่กำลังลูบสไลม์อยู่มีหรือจะไม่สังเกตุ
มือเล็กๆกำแน่น ดวงตาที่ชุ่มฉ่ำจ้องไปที่พื้น เสียงเล็กๆฟังดูสั่นๆ
“ขอโทษนะ…พอดีฉันค่อนข้างรน…ก็เลยต้องรบกวน ขอโทษจริงๆ”
“……………………”
พอเห็นเด็กสาวตรงหน้าทำหน้าเศร้า มาริซ่าก็รู้สึกหนักใจ เธอไม่มีทางลิ้มรสชาได้อย่างสบายใจถ้าเอวาทำหน้าแบบนี้
“กำลังรน…เรื่องอะไรอยู่หรอคะ ?”
“หลายเรื่องแหล่ะ….”
“เช่น ?”
“เรื่องมิโกะอัคคี..ไม่คิดว่าจะเอาชนะได้เลย”
“งั้นก็อย่าไปตกลงรับคำท้าประลองตั้งแต่แรกสิ”
“นั่นก็จริง..ฉันนี่มันโง่จริงๆนะ”
คิดว่าจะปฏิเสธ แต่เอวากลับยอมรับหน้าตาเฉยด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“แล้วเรื่องไหนอีกละ ?”
“การต่อสู้ที่ผ่านมาก็เหมือนกัน…ระดับความยากมันมากขึ้น ถ้าไม่มีคนมาช่วย พวกเราคงได้ตายไปหลายรอบแล้ว”
มาริซ่าได้ยินว่าเมื่อก่อนพวกเอวาเคยมีรุ่นพี่คอยช่วยกำกับพวกเธออีกที จนกระทั่งไม่นานนี้เธอย้ายไปเมืองอื่นจนเหลือพวกเธอแค่สามคน อะไรๆมันก็ยากและลำบากขึ้น
“ฉันเป็นหัวหน้าที่ดีรึเปล่า…ฉันจะพาทุกคนไปตายรึเปล่า..มันอดคิดไม่ได้ทุกครั้งเลยล่ะ”
แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่ลึกๆแล้วก็กดดันไม่ใช่น้อยๆ ในเมื่อเป็นหัวหน้าทีม ความรับผิดชอบย่อมหนักอึ้งเป็นธรรมดา ซ้ำยังแพ้ติดๆกันมาตั้งหลายรอบ ไม่มีทางเลยที่จะสงบสติอารมณ์ได้
ความเปราะบางที่เผยออกมาให้เห็นทำให้ปราการเหล็กในใจของมาริซ่าสั่นไหวเล็กน้อย
“แล้วก็ครั้งสุดท้าย…ถ้าฉันไม่ทำพลาด…เด็กพวกนั้นคงไม่ตาย”
ฮึก !
หยดน้ำปริ่มขอบตา เอวาเอาผ้าเช็ดหน้าอย่างรวดเร็วและเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้มาริซ่าเห็น
“ขอโทษนะ…ถึงจะเข้าใจว่าพวกเราทำเต็มที่แล้ว….แต่ถึงอย่างงั้น..ฉันก็ยัง…ฉันก็ยัง…..”
เฮ้อ….
เพราะทนเห็นอีกฝ่ายร้องไห้มากกว่านี้ไม่ไหว มาริซ่าจึงยกมือเรียกพนักงานทานูกิมารับออเดอร์
“ระหว่างชาเขียวกับชามะนาวชอบแบบไหน”
“ขอชานม….”
“อื้อ งั้นขอชานม กับชาเขียวอย่างละแก้ว เดี๋ยวกลับมาเอานะคะ”
“รับทราบครับ ท่านจอมเวทย์”
พอสั่งเสร็จ ฉันก็ยืนขึ้นและหยิบคฑาขึ้นมา
แกร๊ง !
“อึก !”
เป็นอีกครั้งที่เอวาสะดุ้งเฮือกใหญ่ มาริซ่ายิ้มแหยเมื่อตระหนักว่าตัวเองเล่นแรงเกินไป
แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาสำนึกผิด เธอตัดสินใจยื่นมือไปหาเอวา
“???”
“ตามมานี่สิ”
จากนั้นก็ลากมือไปแกมบังคับ เอวาก็เดินตามอีกฝ่ายไปแบบงง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สถานที่แรกที่เธอพาไปคือร้านดอกไม้ที่มาริซ่าเคยซื้อดอกไม้มาเยี่ยมเอวาเมื่อตอนนอนโรงพยาบาล
เจ้าของร้านหน้าดอกทานตะวันก็ออกมายิ้มต้อนรับเหมือนกับทุกครั้ง
ระหว่างที่เอวากวาดสายตาดูดอกไม่โดยรอบ มาริซ่าก็เอ่ยถามเจ้าของร้าน
“ดอกไม้สำหรับไว้อาลัยมีอันไหนแนะนำบ้างไหมคะ”
“ถ้าเป็นคนใกล้ชิดจะแนะนำดอกสแตติสที่สื่อถึง ความทรงจำดีๆที่มีร่วมกัน ครับ”
“เป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนค่ะ”
“งั้นขอแนะนำดอกคาเน่ชั่น— ตัวแทนของความโศกเศร้าและแทนการให้กำลังใจที่มีต่อผู้สูญเสียครับ”
“ขอดอกไม้ชนิดนี้ค่ะ … ฝากด้วยนะคะ”
“รับทราบครับ สองช่อนะครับ”
“ค่ะ ! แล้วก็ขอเพิ่มดอกเดซี่เหมือนครั้งที่แล้วอีก 9 ช่อนะคะ”
พอเห็นมาริซ่าสั่งดอกไม้อย่างคล่องแคล่ว เอวาก็เดินมากระตุกชายกระโปรงของหญิงสาวเบาๆ
“เอ็มเพรส มารีน”
“เรียก มารีน เหมือนคนอื่นก็ได้ค่ะ ชื่อยาวๆแบบนั้นเรียกยาก”
“เข้าใจแล้ว….มารีน…จะไปไหนหรอ ?”
“แค่เห็นแบบนี้น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ?”
“อึก !”
เอวาที่เดาได้ก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าซีดเผือด ทว่า มาริซ่าก็วางมือลงบนไหล่ของเธอเบาๆ
“ไม่เอาน่า…เดี๋ยวใบหน้าน่ารักก็หมดสวยกันพอดี”
“???”
“ถ้าไม่ยิ้มในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนตายก็ยิ้มไม่ได้แล้วน๊า”
“พูดอะไรเข้าใจยากซะจริง…ใครมันจะไปมีอารมณ์ยิ้มได้กันเล่า”
ฮุๆ นั่นสินะ
มาริซ่ายิ้มบางๆ ระหว่างพูดคุยกันเรื่องเปื่อย เจ้าของร้านก็นำช่อดอกไม้มาส่ง
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ ท่านจอมเวทย์”
หลังจากโค้งหัวอย่างมีมารยาทเสร็จ ทั้งสองก็เคลื่อนย้ายไปยังโลกแห่งความเป็นจริง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ในวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส
สายลมเย็นๆเงียบสงบ หากแต่ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้จางๆก็มีกลิ่นเทียนที่กำลังเผาไหม้ปะปนมาด้วย
เบื้องหน้าของพวกเธอคือประตูรั้วขนาดใหญ่ที่ผู้คนมายืนล้อมกันคุกเข่าเพื่อสวดภาวนา
เบื้องหน้าของพวกเขามีดอกไม้และเทียนไข
แสงสว่างเล็กๆที่ส่องแสงเจิดจ้าไม่แพ้แสงแดด ต่อให้มีสายลมมาพัดมันจนดับอีกซักกี่รอบ ผู้คนก็พร้อมจะลุกขึ้นมาจุดเปลวเพลิงเล็กๆนั่นให้ลุกโชติช่วงอีกครั้งเพื่อชี้ทางสว่างให้กับผู้ร่วงลับไปแล้ว
ดอกไม้ที่วางเรียงอย่างมีระเบียบหลากสีสันต์เป็นดั่งสะพานอันงดงามที่จะทอดยาวไปสู่โลกหลังความตาย
พวกเขาหวังว่าเด็กๆพวกนั้นจะเดินทางไปโลกหน้าได้อย่างปลอดภัย ไม่หลงทาง
พวกเขาปราถนาว่าคำภาวนาเล็กๆนี้จะเป็นจริง และ อยากให้เหล่านางฟ้าเทพบุตรตัวน้อยทั้งหลายได้รู้ว่า หนึ่งในความทรงจำที่สวยงามในชีวิตนี้ คือ การที่พวกเราได้เกิดมาพบกัน
ท่ามกลางความสงบ มันก็มีเสียงสะอื้นดังคลอเป็นระยะๆ
ภาพของเด็ก 7 คนที่เรียงรายกันด้วยรอยยิ้ม…ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขาซึ่งแสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่
ญาติๆและครอบครัวของเด็กๆมารวมตัวกันด้วยสีหน้าเศร้าโศก แล้วก็มีบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องหากแต่รู้สึกเสียใจก็มาไว้อาลัยเช่นเดียวกัน
การได้เห็นพวกเขาคุกเข่าเฝ้าภาวนาหน้ารูปของพวกเด็กๆที่ห้อมล้อมด้วยแสงเทนและดอกไม้ มันทำให้เอวารู้สึกจุกแน่นที่กลางอกเพราะอารมณ์อันอ่อนไหวที่เอ่อล้นออกมา
กระนั้น มาริซ่าก็จูงมือของเอวาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างช้าๆและมั่นคง
พวกเธอวางดอกไม้คนละดอก จากนั้นก็คุกเข่าและประกบมือราวกับสวดภาวนา
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของเหล่าญาติสนิทมิตรสหายที่พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“ทั้งๆที่…เป็นวันเกิดของลูกแท้ๆ ทำไมกันๆ ทำไมกันเล่า…ฮือออออ”
“เมื่อคืนเพราะกลับมาทำงานดึก…ก็เลยไม่ได้กอดเด็กคนนั้น…ไม่ได้นอนด้วยกันเหมือนทุกที ทำไมๆๆๆ ทำไมคืนนั้นฉันถึงไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้กันเล่า !?”
“ปะป๊าๆ พี่ชายบอกว่าวันนี้จะไปเล่นที่สวนสาธารณะกับหนูไม่ใช่หยอ พี่ชายปายไหนแล้วอะ”
“ฮึก ! พี่ของหนู…ไปไหนที่ๆไกลแสนไกลแล้วนะลูก ”
“ไม่เอานะ ทำไมอะ พี่โกหกหนูหรอ ไม่เอานะ หนูอยากเจอพี่ ฮึก ! แงๆๆๆๆๆๆ”
“บ้าเอ๊ยๆๆๆ ทำไมฉันถึงไม่ห้ามเด็กคนนั้นไว้กัน…ถ้ารู้แบบนี้ไม่ให้มาก็ดี”
“ลูกแม่….แม่ขอโทษ…ทั้งๆที่ลูกอยากไปเที่ยวสวนสนุกแท้ๆ แต่เพราะแม่เอาแต่ให้ลูกเรียนพิเศษ พวกเราก็เลย..ฮึก ! พวกเราก็เลย—-”
“ยอมรับไม่ได้ ! ต้องหาคนรับผิดชอบ !!! ทำไมลูกของฉันต้องตายด้วยเล่า ! ทำไม ทำไมกัน !!!”
“ฮึก ! คุณค่ะ ใจเย็นก่อน !”
“จะใจเย็นได้ไง !!!”ก็ผมน่ะ…ก็ผม ฮึก ! ยังไม่เคยบอกให้ลูกรู้เลยว่าผมภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน…แค่ครั้งเดียวก็ได้…ขออีกซักครั้ง…ผมอยาก…กรอด ! ผมอยากขอโทษเขา ได้โปรดให้ผมได้พบกับเขาอีกครั้งทีเถอะ !!! ขอร้องล่ะ !!! พระเจ้า !!!”
ฮือออออออออ
กึกๆๆๆ
แค่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของพวกเขา เอวาก็กลั้นความรู้สึกที่พวยพุ่งออกมาไม่ไหว
แผล่ะ !
น้ำตาเม็ดโตไหลรินออกมา
ภาพตรงหน้าพร่ามัว ความรู้สึกที่อดกลั้นมานานเริ่มจะกลายเป็นเสียงสะอื้นในลำคอ
“เอวา…”
แต่แล้ว หญิงสาวข้างๆเธอที่มีสีหน้านิ่งสงบก็ค่อยๆลุกขึ้นมาและพยุงร่างกายที่อ่อนระทวยของเธอให้ก้าวยืนอย่างมั่นคง
“พวกเรามักรู้ว่ามันสำคัญในตอนที่เสียมันไปแล้ว ไม่ว่าจะมีปีศาจหรือไม่มี ชีวิตของเราก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายที่มองไม่เห็นตลอดเวลา แต่เพราะเรามีมันอยู่ในมือ พวกเราเลยไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่แสนล้ำค่านี้มันหลุดมือได้ง่ายมากแค่ไหน…กว่าที่จะรู้สึกตัวถึงเวลาอันแสนจะล้ำค่าที่เราสูญเสียมันไป สิ่งที่ล้ำค่านั่นก็ไม่อยู่ในมือเราอีกแล้ว”
“มารีน….”
“ความตาย…ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ พวกเราทำได้เพียงยืดเวลามันออกไป….ยืดเท่าที่ยืดได้ พวกเราได้พยายามยืดเวลาให้พวกเขามากที่สุดแล้ว….แต่สุดท้าย พวกเราก็ล้มเหลว”
— และ นี่คือ ชีวิตของเด็กๆทั้ง 7 คนที่พวกเราปกป้องเอาไว้ไม่ได้
.
.
.
.
.
ถัดมา คือโรงพยาบาล
กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้ง
เอวายืนอยู่บนกิ่งไม้และเฝ้ามองภาพผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงที่ตึกชั้นสามของโรงพยาบาล
ภายในห้องสี่เหลี่ยมสี่เตียงนอนของผู้ป่วย มีญาติๆรวมถึงครอบครัวมาให้กำลังใจเด็กๆที่กำลังขวัญผวาด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาโอบกอดกันและกัน
พวกเขาอวยพรให้อีกฝ่าย
ของขวัญชิ้นโตกองเป็นตั้งๆถูกวางไว้ข้างเด็กๆพวกนั้น
แต่ของขวัญที่ดีที่สุดไม่ใช่สิ่งของ
ของขวัญที่ดีที่สุด คือ ‘เวลา’
พวกเขาได้รู้คุณค่าของเวลา…พวกเขาได้รู้แล้วถึงความไม่แน่นอนของชีวิต และ รู้ว่าควรเอาใจใส่กันให้มากกว่านี้
พวกเขายังมีโอกาส…โอกาสที่จะทำให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน
“— และนี่คือสิ่งที่พวกเราปกป้องเอาไว้ได้”
มาริซ่าที่กลับมายืนข้างเอวาอีกครั้งกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบ เธอได้เอาดอกเดซี่ทั้ง 9 ช่อไปฝากให้เด็กๆและอาจารย์ผู้รอดชีวิตเป็นที่เรียบร้อย
ขณะหันหลังให้ภาพอันน่าอบอุ่นตรงหน้า บางสิ่งที่อุ่นร้อนค่อยๆก่อตัวขึ้นข้างในใจของเอวา
.
.
.
.
.
ตึก…ฟู่วววววววว
ปลายเท้าที่เบาหวิวย่ำไปบนหลังคาและกระโดดไปมาตามบ้านเรือน
ในระหว่างที่เอวารู้สึกกังวลว่าจะมีคนเห็น มาริซ่าที่จูงมือของเธอแล้วกระโดดไปด้วยกันอย่างสบายๆและหันหลังให้ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“บางครั้ง..ฉันก็ฝันเห็น”
“ ??? ”
“ดวงตาของเด็กพวกนั้นที่จ้องฉันกลับมาจากในปากของออร์ค ”
“มารีน……”
“ภาพของเด็กๆพวกนั้นจะติดตาฉันไปจนวันตาย….ไม่มีทางที่ฉันจะลืมภาพเหล่านั้นได้ ต่อให้จะใช้ยาลบความทรงจำชนิดแรงแค่ไหนก็ตาม”
“…………….”
เอวาทำได้เพียงฟังสิ่งที่หญิงสาวพูดเงียบๆในขณะที่มือของอีกฝ่ายกำมือของเธอแน่นยิ่งขึ้น
“ถึงจะรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะฉันเอง…..แต่ฉันก็เคยคิดว่าฉันพยายามเต็มที่ได้ดีกว่านี้รึเปล่า…ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะแก้ไขมันได้ไหม….จิบิม่อนก็เคยถามแบบนั้น….แต่ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป….ไม่ใช่เพราะฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะฉันไม่รู้สึกอะไร….แต่ฉันแค่เหนื่อย….ฉัน…ไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว….ฉันอยาก…ก้าวไปข้างหน้า..มันก็เท่านั้นเอง”
“มารีน….”
“ฟังดูเห็นแก่ตัวใช่ไหมละ ?”
พอเห็นมาริซ่ากลับมายิ้มบางๆราวกับประชดตัวเอง เอวาก็ส่ายหัว
“ฉันเข้าใจ….เพราะครั้งหนึ่ง ฉันก็เหมือนกัน..คุณแม่ของฉัน…ฉัน…เป็นเพราะฉัน”
ความรู้สึกแย่ๆทำให้เด็กสาวเม้มปากแน่น เธอทำได้เพียงเช็ดน้ำตาและปล่อยให้สายลมพัดพาน้ำตาให้ปลิวไปข้างหลัง
มาริซ่าที่หันหลังให้ก็เอ่ยกับเด็กสาวที่เศร้าโศกด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ฉันก็พอจะเข้าใจเธอนะ…เอวา”
“???”
“เพราะพ่อแม่ของฉันก็ตายเพราะมอนสเตอร์เหมือนกัน ”
“——!!!”
“รู้อะไรไหมเอวา…บางครั้งน่ะ…อือ…บางครั้งฉันก็เหงาๆหน่อยๆ พอดีว่าโทรศัพท์ฉัน มันบันทึกเสียงการโทรเข้าโทรออกเอาไว้ได้…ฉันก็เลยเปิดย้อนฟังบทสนทนาที่พวกท่านเคยโทรมาคุยกับฉันเป็นบางครั้ง…มันก็พอจะแก้เหงาได้บ้าง แต่ฉันก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไป ก็มีแต่จะคว้านรูในใจของฉันให้กว้างกว่าเก่า”
“มารีน….”
“ฉันไม่เคยได้โอกาสบอกลาพวกท่านเลยเอวา….ไม่มีโอกาสพูดเลยว่ามันเลวร้ายแค่ไหนที่พวกเขาไม่ได้เห็นฉันเดินทางไปจนสุดทาง ทุกสิ่งที่ฉันอดทนเพื่อทำให้พวกเขาภาคภูมิใจ…พวกเขาไม่ได้เห็นมัน…และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก..ฉันกลายเป็นคนที่ว่างเปล่า…กลายเป็นคนที่พยายามต่อไปในสิ่งที่ไม่ได้อยากเป็นอย่างไร้จุดหมาย….แต่อย่างน้อย ต่อให้มันจะไม่ใช่ตอนจบที่สวยงาม…แต่ฉันก็อยากให้พวกเขารู้ว่าฉันรักและภูมิใจในตัวพวกเขามากแค่ไหน”
“……………..”
ตึก…ฟ้าว…ตึก
ความเงียบคั่นกลางระหว่างทั้งสอง
เสียงลมเย็นๆเป็นดั่งเสียงบรรเลงที่มอบความผ่อนคลายให้หัวใจที่ปวดร้าวของเด็กสาวทั้งสองคน
พวกเธอกระโดดๆ แล้วก็กระโดด พวกเธอเฝ้ามองบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน
ตึกรามบ้านช่องตั้งตระหง่าน ผู้คนวิ่งวุ่นส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
ต้นไม้แม่น้ำแต่งแต้มอาคารสิ่งปลูกสร้างกลายเป็นเมือง
ผู้คนเกี่ยวพันพึ่งพาอาศัยกันกลายเป็นสังคม
หลังจากที่เฝ้ามองเมืองจนทั่วแล้ว มาริซ่าก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนยอดหอระฆังที่เห็นเมืองทั้งเมืองชัดเจน
เธอผายมือออกกว้างและต้อนรับเอวาที่กระโดดตามมาทีหลังด้วยรอยยิ้ม
“พ่อแม่ของฉันท่านเสียไปเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เมืองข้างๆ หลังจากนั้นฉันก็ทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย….ชีวิตของฉันมันไร้สีสันต์ ฉันมองไม่เห็นอนาคตเลย แต่ฉันก็ได้โอกาสมาเป็นจอมเวทย์และพบวิธีเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงกลายมาเป็นจอมเวทย์ได้ ?”
กึก !
เอวาที่ยืนอยู่ต่ำกว่าเงยหน้ามองหญิงสาวที่ยิ้มอย่างเจิดจ้าและลองตอบออกไป
“เป็นเพราะ เธอมีจิตใจที่ดีงามกล้าหาญ หรือ มีพลังเวทย์อันกล้าแกร่ง ?”
“ผิดแล้ว—”
ท่ามกลางแสงตะวันที่เจิดจ้า รอยยิ้มของหญิงสาวเรือนผมสีเขียวที่ปลิวสยายไปตามสายลมกลับงดงามยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เคยเห็นมา
“มันเป็นเพราะเธอต่างหาก แม่มดอัสนี เอวา บัฟฟอร์ด—-”
คำตอบที่เหนือความคาดหมายทำให้ดวงตาเล็กๆเบิกกว้าง
“เพราะเธอและ ซู กับ นานาเสะ คอยปกป้องผู้คนในเมืองมาโดยตลอด ฉันเลยมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงวันที่จิบิม่อนทำให้ฉันกลายเป็นจอมเวทย์….การที่ฉันกลายเป็นจอมเวทย์ได้ มันเป็นเพราะพวกเธอต่างหาก”
“มารีน ?”
กึก !
มือสองข้างของเธอทั้งคู่ประสานเข้าหากัน มาริซ่าดึงตัวเอวาขึ้นมายืนใกล้ๆเธอ
ดวงตาสีมรกตที่เบิกกว้างส่องประกายอย่างมีชีวิตชีวาและแฝงด้วยความรู้สึกซึ่งเอ่อล้นออกมา
คำพูดที่ควรจะพรั่งพรูออกมา บัดนี้เธอกลับไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ นอกเสียจากส่งเสียงสะอื้นเบาๆ
“อึก…ฉัน…ฉัน…..”
“มองดูดีๆสิ เอวา…..นี่คือ สิ่งที่เธอปกป้องเอาไว้ได้…สิ่งที่เธอปกป้องมาโดยตลอด และ สิ่งที่เธอจะปกป้องต่อจากนี้ ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะก้มหน้าลงแล้วร้องไห้ เธอควรจะเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ …สิ่งที่เธอเสียไปไม่ใช่ชีวิต 7 ชีวิต แล้วชีวิตที่เธอช่วยเอาไว้ได้ก็ไม่ได้มีแค่ 9 ชีวิต….แต่เป็นล้านเลยต่างหาก….ชีวิตนับล้านที่พวกเราปกป้องเอาไว้ได้ในครั้งล่าสุด เธอควรยืดอกภูมิใจกับมันนะ ”
“ฮืออออ ฉัน…ฉัน”
มาถึงบัดนี้ เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
เอวา…ร้องไห้ออกมาราวกับเด็กๆ
ความรู้สึกอุ่นร้อนที่ไหลทะลักออกมา ความรู้สึกอิ่มเอมที่ผลิบานออกมาข้างในใจ
พวกเธอคือจอมเวทย์…เหล่าผู้เสียสละที่ปกป้องความสงบสุขของโลกใบนี้จากในเงามืด
เธอสร้างตำนานที่ไม่มีคนจดจำ และ จากไปเยี่ยงวีรบุรุษโดยไม่มีใครรู้
ถ้วยรางวัลเพียงหนึ่งเดียวที่มอบให้พวกเธอ คือ โลกอันสวยงามที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ทุกๆวัน
แม้จะไม่น้อยใจ แต่การได้รับคำชมเป็นครั้งแรก คงไม่มีใครรู้หรอกว่า มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากแค่ไหน
ร้องไห้ๆๆ แล้วก็ร้องไห้ เอวาร้องไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก
ทว่า มาริซ่าก็รู้ดีว่าผลงานที่วิเศษที่สุดของเด็กๆพวกนี้ไม่ใช่ผู้คนนับล้าน
เช่นนั้นเธอจึงต้องบอกให้เอวาได้รับรู้ถึงความรู้สึกจริงๆที่ไม่มีการบิดเบือนในตอนที่ทั้งคู่ยังเปิดใจให้กันและกันอยู่
“เอวา…รู้รึเปล่าว่า ผลงานที่น่าชื่นชมที่สุดของพวกเธอคืออะไร”
“ฉัน….ไม่แน่ใจ”
“งั้นฉันจะบอกให้ก็ได้….เธอน่ะได้ปกป้องสิ่งหนึ่งที่ล้ำค่าเอาไว้ได้ และสิ่งนั้นก็มีคุณค่าเทียบเท่ากับผู้คนนับล้านที่อยู่ข้างล่างนี้เลยนะรู้ไหม ?”
“สิ่งที่ล้ำค่า ? ฮึก ! มันคืออะไรอย่างงั้นหรอ”
“นี่ไง—”
นิ้วมืออันบอบบางจิ้มมาที่หน้าอกของเด็กสาวเบาๆ เอวามองไปที่หน้าอกของเธอสลับกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหญิงสาว
“หัวใจอันดีงามของเธอ”
“—- !?”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเธอเสียสล่ะเพื่อผู้คนอย่างกล้าหาญและปกป้องจิตใจอันดีงามนี้เอาไว้…ฉันขอพูดตรงๆเลยละกันว่า หนึ่งในสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกใบนี้ คือ หัวใจอันอ่อนโยนที่คิดถึงผู้อื่นซึ่งเด็กๆอย่างพวกเธอยังมีอยู่ยังไงล่ะ”
“มารีน…….”
ดวงเนตรสีไพรินที่เปล่งประกายดุจดั่งอัญมณีแฝงด้วยความรู้สึกมากมายที่อยากมอบให้กับเด็กสาวเจ้าของนัยน์ตาสีมรกต
คำพูดที่แฝงด้วยความห่วงใยค่อยๆกลั่นกรองออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนวลน้ำ
“ซักวันหนึ่งเธอจะเจอเข้ากับอุปสรรคหลายอย่างที่ค่อยๆกัดเซาะหัวใจอันดีงามนี้อย่างช้าๆ ”
“…………………….”
“เธอจะต้องเลือกว่าจะทำให้หัวใจนั้นแปดเปื้อนเพื่อก้าวเดินต่อไป หรือจะหยุดเดินต่อไปทั้งๆแบบนั้นเพื่อรักษาหัวใจอันงดงามนั้นเอาไว้ จะมีหลายครั้งที่เธอรู้สึกเจ็บปวดกับตัวเลือกที่ถูกยัดเยียดมา แล้วก็มีหลายๆครั้งที่เธอต้องทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เธออาจจะปกป้องได้หลายสิ่งหลายอย่าง….แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหัวใจที่ดีงาม เธอกลับเผลอทำมันหล่นระหว่างทาง เธอจะไม่สามารถปกป้องมันเอาไว้ และ…เธอจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัว…เธอจะกลายเป็นคนที่ให้ผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนผู้อื่นเหมือนอย่างผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้”
“มารีน…………..”
“แต่ฉันรู้ว่าฮีโร่ตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าฉันจะปกป้องความงดงามนี้เอาไว้ได้…ฉันอยากจะให้เธอรู้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องปกป้องหรือเสียสละทุกอย่างเพื่อคนบนโลกนี้ก็ได้ ฉันขอแค่เธอปกป้องหัวใจอันดีงามนี้เอาไว้ให้ได้ก็พอ…นั่นน่ะคือ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอในฐานะจอมเวทย์…ไม่สิ…ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแลยต่างหาก”
ดวงตาที่เบิกกว้างสะท้อนภาพของหญิงสาวเรือนผมสีมรกตที่จ้องมาที่เธอย่างอ่อนโยน
ความรู้สึกที่อบอุ่นที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากมาริซ่าทำให้หัวใจของเอวารู้สึกพองโต
“มีชีวิตต่อไปซ่ะ….รอดไปด้วยกัน…อย่าตายไปก่อนฉัน…ถ้าเธออยากให้ฉันบอกชื่อจริง ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันต้องยิ้มอย่างเสแส้รง…ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันสร้างกำแพงระหว่างพวกเราเพราะกลัวความสูญเสีย..เธอก็จงมีชีวิตรอดไปด้วยกันกับฉัน…นั่นคือ สิ่งเดียวที่ฉันขอ—”
แปะๆ
มาริซ่าตบบ่าของเอวาเบาๆ ก่อนจะหันหลังให้
เอวาที่สัมผัสได้ถึงความใจดีของอีกฝ่ายก็ยิ้มบางๆพลางเช็ดน้ำตา
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเธอค่อยๆห่างออกไป เอวาก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนตะโกนออกมา
“เอ็มเพรส มารีน !!!”
“???”
“เธอเป็นคนดีนะ….ถึงจะมีนิสัยเห็นแก่ตัวไปบ้าง…แต่เธอก็เป็นคนดี…..เรื่องนั้นฉันมั่นใจ”
ได้ยินดังนั้น มาริซ่าก็ส่ายหัว และ หยักไหล่ ก่อนเผยยิ้มมุมปากเล็กๆไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
“กลับกันเถอะ ป่านนี้ชาเย็นชืดหมดแล้ว”
“อื้ม !”
ดวงอาทิตย์ที่ทอดยาวลงมาส่องกระทบร่างของสาวน้อยจอมเวทย์ทั้งสองคน
เงาที่ทอดยาวออกไปทำให้รู้ถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วยความมืดหม่นและขวากหนาม
แต่ถึงอย่างงั้น พวกเธอก็จะบุกเบิกเส้นทางที่เต็มไปด้วยแสงสว่างขึ้นมาด้วยมือสองข้าง เพราะ เธอทั้งคู่คือจอมเวทย์
เรื่องราวการต่อสู้ของเหล่าจอมเวทย์กับความไร้เหตุผลของโลกใบนี้….นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
การเดินทางของพวกเธอก็ยังคงดำเนินต่อไป…………………