เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ - บทที่ 5 : ผมตกหลุมรัก
งานเลี้ยงดำเนินต่อไปกว่าสามชั่วโมงจนจบ มีการพูดคุยหลายเรื่อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการถามเรื่องส่วนตัวของผม ซึ่งตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และกว่าจะถึงเวลาได้รับมอบหมายงานของผู้กล้าก็เป็นอีกหนึ่งวัน มีเวลาเหลืออีกหนึ่งวันเท่านั้น ผมเลยตั้งใจว่าจะกลับไปเตรียมตัวหลังจบงานเลี้ยง
ทว่า
“สนใจไปเดินเล่นกับดิฉันในตัวเมืองสักหน่อยหรือเปล่าคะ?”
ก่อนจะกลับ ดราแคล์ได้ชวนผมเดินเล่น ..เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน
“เอ่อ ..ครับ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ โปรดรอสักครู่นะคะ ขอไปเปลี่ยนชุดก่อน–”
…….นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ภายในเมืองของดราแคล์ เมืองเคลื่อนที่ที่แสนจะสวยงาม เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันหรูหรา และมีสิ่งอำนายความสะดวกมากมาย ประหนึ่งเมืองของชนชั้นสูง ตัวผมผู้กล้าลำดับที่ 12 ‘ ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน’ กำลังเดินเล่นกับ หนึ่งในห้าขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ ..ไม่สิ จริงๆมีชื่อว่า ‘ลิลิธ ดราแคล์’
“เห้ๆ เล่เข้ามาๆ แอปเปิ้ลบุฟเฟ่ห์จุกๆ!”
“โทษทีนะ! แต่ขอโอกาสที่สอง!”
“ไม่ย่ะ!”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ว่าง อยู่จุกจิกเซ้”
“แม่ครับๆ”
เผ่าปีศาจมากมายตามทางต่างใช้ชีวิตในรูปแบบที่ไม่แตกต่างกับมนุษย์ ทุกชีวิตล้วนแต่เป็นประชาชนในการดูแลขของดราแคล์ ของเมืองเคลื่อนที่แห่งนี้
ไม่ได้แตกต่างกับมนุษย์เลย ..ถึงชาติพันธุ์จะดูหลากหลายกว่าก็เถอะ คล้ายกับเมืองของนักผจญภัยที่มักจะมีเผ่ามนุษย์หลากหลายเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะ เอลฟ์ ดอว์ฟ หรือว่าจะ ครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่แห่งนี้ก็มีปีศาจทั่วๆไป ปีศาจชนิดพิเศษ หรือกระทั่งมิโนทอร์ที่มีสติปัญญาก็ยังมี
จะอย่างไรก็แล้วแต่ การที่ผู้กล้าเดินเล่นกับขุนพลจอมมารเช่นนี้มันชักจะแปลกๆไปหน่อยหรือเปล่า? ถึงแม้ผมจะเปลี่ยนเผ่าตัวเองอยู่ก็ตาม
เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทำไมผมถึงตอบตกลง แล้วก็ทำไมถึงเผลอคิดไปว่ามีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งวัน คงจะไม่เป็นอะไร ผมเป็นผู้กล้านะ ถ้ามีเวลาเหลือก็ควรจะเอาไปพักผ่อนเพื่อเตรียมทำงานในฐานะผู้กล้าต่อแท้ๆ
“….”
“ไม่ค่อยชอบหรือคะ? ที่ต้องมาเดินกับดิฉันเช่นนี้”
บางทีสิ่งที่ผมคิดมันอาจจะออกทางสีหน้าหมด ทำให้ดราแคล์จับสังเกตุได้ แต่ว่ามันก็เหมือนกับทุกที ดราแคล์ขุนพลจอมมารคนนี้เสมือนว่าสามารถอ่านใจผมได้ตลอด เป็นความสามารถพิเศษที่คล้ายกับของวอลโก้หรือเปล่านะ
ดราแคล์ที่เดินอยู่ข้างๆ สวมชุดเดรสที่คุมด้วยเสื้อนอกหนึ่งชั้น เพื่อปกปิดไม่ให้มันดูโป๋หรือสะดุดตาเกินไป แล้วก็มีผ้าคลุมสีน้ำตาลทับอีกชั้น เอาไว้สำหรับปิดบังใบหน้า เธอบอกว่าเพื่อไม่ให้ชาวบ้านแตกตื่น ตอนออกมาเดินเล่นในตัวเมืองเธอจะทำเช่นนี้ประจำ
“..นิดหน่อยครับ”
“ถ้านั้นก็อดทนเอาไว้นะคะ ลีโอนาร์ในฐานะสมาชิกชั้นสูงควรจะดูสิ่งที่ตัวเองต้องปกป้องเอาไว้”
ปกป้อง? เผ่าปีศาจเนี่ยนะ?
“สำหรับชาวบ้าน ในอนาคตตัวตนของลีโอนาร์จะไม่ต่างกับทหารยอดฝีมือของดิฉันคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงที่ฉันให้ความไว้ใจ และเพื่อให้ทัศนคติการทำงานไม่แปลกแยก ฉันเลยต้องการพาคุณชมสิ่งเหล่านี้ค่ะ” ดราแคล์ยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้างล่ะคะ? ที่แห่งนี้แตกต่างกับเมืองมนุษย์บ้างรึไม่”
“…”
ผมมองดูบ้านเมือง และผู้คน ดูทุกสิ่งที่ต้องมีในฐานะ ‘เมือง’ ..คำตอบก็คือ ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว
“แต่ว่าผมคือผู้กล้า”
“หน้าที่ของผู้กล้าคือการกำราบปีศาจหรือคะ?”
“..”
“ไม่ใช่ว่าหน้าที่ของผู้กล้าคือการเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้คนหรือคะ? หากให้ตายตัวก็คือ ปกป้องผู้คนที่ผู้กล้าคิดว่าเป็นผู้คน เช่นนั้นแล้ว สำหรับลีโอนาร์ เมืองแห่งนี้ที่ไม่ได้แตกต่างกับเมืองของมนุษย์ ที่มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกับมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่ถือว่าเป็นผู้คนที่คุณต้องปกป้องหรือคะ?”
……ไม่อยากจะยอมรับ แต่ดราแคล์พูดถูก ผมมองดูครอบครัวที่เดินผ่านไป รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา ต่อให้เป็นปีศาจ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์พรากมันไป ..ถ้าหากว่าไม่ใช่ปีศาจ พวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่ผมควรปกป้อง เพียงแต่เป็นปีศาจเลยไม่ใช่นั้นหรือ?
อีกอย่าง เมืองเคลื่อนที่ของดราแคล์แทบไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์เลย ก็แค่เมืองที่นานๆทีจะปรากฏมาให้มนุษย์เห็น ไม่เคยมีสงครามด้วยกัน หรือความขัดแย้งใดๆทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว มันแตกต่างกับเมืองทั่วๆไปในเขตุของมนุษย์ยังไงกัน
ภาระหน้าที่ของผมในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่การต่อสู้กับฝั่งมนุษย์ แต่เป็นสู้กับปีศาจด้วยกันเองด้วย ตามที่ดราแคล์บอก ถ้าอย่างนั้นแล้ว ..มันมีอะไรที่ไม่ควรจะยอมรับด้วยนั้นเหรอ?
ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
“เหตุผลที่พาผมมาดูก็เพราะแบบนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ที่เขาเรียกว่าปรับทัศนคติ”
“..ยินดีด้วยนะครับ” ผมก้มหน้าพึมพำ “ที่ดราแคล์ทำมันได้ผล”
ได้ยินอย่างนั้น ดราแคล์ก็อมยิ้ม และจูงมือผมไปที่ร้านผลไม้
“แอปเปิ้ลหนึ่งลูกด้วยค่ะ”
“เชิญครับ”
ดราแคล์จ่ายเงิน และโยนแอปเปิ้ลให้ผม เธอเดินไปต่อ ส่วนผมก็กัดแอปเปิ้ลหนึ่งคำก่อนจะเดินตาม
“รู้รึเปล่าคะ? เทียบกับขุนพลจอมมารคนอื่น กองกำลังที่ดิฉันมี นับว่าน้อยสุดแล้ว เนื่องจากว่าไม่ได้มีการขยายอานาเขตุ หรือพัฒนากองทัพทหารมากขนาดนั้น เท่าที่มีอยู่ กองกำลังสำหรับต่อสู้โดยเฉพาะมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคนด้วยซ้ำ ถึงจะมั่นใจว่ารับมือกับผู้กล้าหน้าใหม่สองคนได้ แต่ถ้าเป็นผู้กล้าคนก่อนหน้านี้เพิ่มมาด้วยอีกสักคนละก็ อาจจะต้านไว้ไม่ไหวก็เป็นไปได้ ไม่ใช่แค่ผู้กล้าสามคน แต่มีทหารมากฝีมืออีกหลายคนอีก ลำพังดิฉันไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่เมืองแห่งนี้คงจะถึงจุดสิ้นสุด โดยที่มีแค่ดิฉัน และกลุ่มคนไม่กี่คนที่หนีไปได้”
“….”
“เพราะอย่างนั้นเลยต้องการความร่วมมือจากลีโอนาร์ด้วย ข้อมูลข่าวสารของลีโอนาร์จะทำให้พวกเราไม่ต้องเข้าปะทะในการต่อสู้ที่ไม่มีความหมาย กลับกัน ฉันก็จะให้ความร่วมมือกับลีโอนาร์ในการตามล่าขุนพลจอมมารด้วยเหมือนกัน หากต้องการล่ะก็”
“อย่างผมทำไม่ไหวหรอกครับ”
“ลีโอนาร์เองก็เป็นผู้กล้านะคะ ทำไมจะไม่ไหวล่ะ การที่เป็นอมตะ มันหมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่จะแพ้ก็จะไม่ใช่ลีโอนาร์ไม่ใช่หรือคะ?”
“…บางที กว่าจะชนะได้ ผมอาจจะสูญเสียทุกสิ่งไปซะก่อน”
เหมือนกับเรื่องเมื่อวันนั้น ที่ต่อให้ไม่ตาย ผมก็สูญเสียทุกอย่างไป
“เช่นนั้นก็ร่วมมือกับดิฉันสิคะ?”
“…หา”
“ร่วมมือกับคนที่แกร่งพอจะไม่ตาย ฉันคิดว่าความแข็งแกร่งของตัวเอง อย่างน้อยๆก็ไม่เป็นสองรองใครหมู่ขุนพลจอมมารด้วยกัน ดิฉันเป็นถึงแวมไพร์เชียวนะคะ หนึ่งในสิบเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา คิดว่าคนอย่างดิฉันจะตายได้ง่ายๆหรือคะ?”
เหมือนที่ดราแคล์บอกในครั้งแรกที่เจอกันกระมัง สำหรับเธอ ขุนพลจอมมารด้วยกันเป็นศัตรูที่อยากกำจัดมากเสียกว่าผู้กล้าอีก
“.. ‘อันดาย’ คือขุนพลจอมมารที่ดิฉันอยากจะลบหายไปจากตำแหน่งที่สุดค่ะ รองลงมาก็ ‘โจ๊กเกอร์’ ‘บุคิ’ กับ ‘ไซเรน’ ไม่น่าทำตัวมีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามาขวาง ดิฉันก็ไม่ลังเลที่จะต้องร่วมมือกับลีโอนาร์เพื่อกำจัด ”
“เรื่องนั้น ..เอาจริงเหรอ?”
“แน่นอนสิ ขุนพลจอมมารในยุคนี้ไม่ได้เป็นลูกน้องของจอมมารเหมือนเมื่อก่อน ก็แค่ชื่อที่ได้รับเพราะเป็นผู้ควบคุมหรือเจ้าของ ‘เขตุปกครองพิเศษ’ ที่แข็งแกร่ง หรือว่ารับสืบทอดตำแหน่งมาจากรุ่นก่อนก็เท่านั้น ต่อให้หายไปสักหนึ่งหรือสอง ก็ไม่ได้ทำให้เผ่าปีศาจสูญสิ้นแต่อย่างไร สิ่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของปีศาจจริงๆคือ ‘สมาพันธ์ปีศาจ’ ที่คอยดำเนินการณ์เรื่องเกี่ยวกับปีศาจ เป็นเสมือนผู้ควบคุมกฏในฝั่งปีศาจทั้งหมด แม้แต่ขุนพลจอมมารก็ต้องปฏิบัติตามกฏบ้างเล็กน้อยเหมือนกัน”
แบบนี้นี่เอง สมัยก่อนจอมมารจะตาย ปีศาจจะมีจอมมารเป็นจุดศูนย์กลางการปกครอง แต่หลังจากจอมมารตาย อำนาจก็ไปอยู่ที่ สมาพันธ์ปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเผ่าปีศาจด้วยกัน และสถานะของขุนพลจอมมารก็กลายเป็น เมือง อาณาจักร จักรวรรดิ อะไรก็ได้ที่เป็นเขตุปกครองของตนเอง
เปรียบเสมือน ‘มหาอำนาจ’ ในโลกปีศาจห้าขั้ว โดยมีสมาพันธ์ปีศาจอยู่ตรงกลางอีกที เพราะอย่างนั้น ต่อให้หายไปสักครึ่ง ก็แค่ถูกลบ หรือมีสักเขตุปกครองขึ้นมาแทนที่อยู่ดี
โครงสร้างดูแข็งแรงไม่ได้แตกต่างกับสังคมของมนุษย์เลย
“ถึงตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ แต่ว่าอันดาย สำหรับดิฉันแล้วเป็นตัวตนที่ไม่ถูกด้วยที่สุด เป็นความบาดหมางตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนที่ยังไม่ได้รับการชำระล้าง เนื่องจากว่าเมื่อเทียบกับกองกำลังของทางนั้นแล้ว ดิฉันไม่มีโอกาสที่จะชนะค่ะ—ตัวของอันดายเองก็คือขุนพลจอมมารที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วด้วย การที่ลีโอนาร์บังเอิญเจอเขาในศึกแรก ไม่ต่างอะไรกับความซวยสูงสุดเท่าที่ชีวิตคนๆหนึ่งจะมีได้”
“…”
“ไม่ใช่ความผิดของลีโอนาร์หรอกนะคะ”
นั้นเหรอ ผมแค่ซวยสินะ ..แค่ซวยไปเจออันดาย และเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปก็เท่านั้น
ชีวิตของผม สามารถอธิบายได้ง่ายๆว่า ซวย
ดราแคล์เห็นผมดูซึม เธอเลยดึงปลายเสื้อ และชี้ไปที่บริเวณหน้าน้ำพุ
“นั่งพักหน่อยมั้ยคะ?”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
พวกเรานั่งอยู่หน้าน้ำพุ พูดตามตรง น้ำพุที่นี่สวยพอๆกับที่ศาสนจักรริเซี่ยนเลย ..นอกจากนั้น ทิวทัศน์โดยรอบก็เต็มไปด้วยผู้คนอีก มันยิ่งเสริมความสวยงามเข้าไปใหญ่ ถ้าหากเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่แห่งนี้คงจะเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ
“เรื่องจะสู้กับขุนพลจอมมาร สำหรับตอนนี้ ผมคิดว่า ..ตัวเองยังไม่พร้อมเท่าไหร่ครับ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่ได้คาดหวังให้ต้องสู้ขนาดนั้นด้วย”
“แล้วก็ ..เมืองนี้เป็นเมืองที่สวยมากครับ ผมสัมผัสได้จากสีหน้าของผู้คน–คุณคงจะเป็นเจ้าเมืองที่ดีคนหนึ่ง คือ ..จะว่ายังไงดี …”
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความรู้สึกหลายอย่างมันปนกัน แล้วก็ ..อ่า ผมเรียบเรียงออกมาไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
“ขอบคุณครับ”
ที่แสดงสิ่งเหล่านี้ให้ผมเห็น ดราแคล์ได้ยินคำขอบคุณของผม เธอก็ยิ้มแก้มแทบจะปริ ทำเอาผมตกใจหน่อยๆที่ขุนพลจอมมารแสดงท่าทีแบบนี้
“รู้รึเปล่าคะ? เหตุผลที่ว่าทำไมดิฉันถึงไว้ใจลีโอนาร์”
“เรื่องนั้นก็สงสัยอยู่ครับ”
คิดว่าดราแคล์น่าจะเพี้ยน แต่เหมือนจะไม่ใช่ เธอเองก็มีเหตุผลของเธอ ไม่มีทางที่เจ้าเมืองที่ทำให้เมืองออกมาดีขนาดนี้ จะเป็นคนไร้ความคิดหรือประมาทขั้นสุดไปได้หรอก
“เพราะเมื่ออดีต เมืองแห่งนี้ก็ถือกำเนิดมาจาก การร่วมกันพัฒนากับ ‘ผู้กล้า’ คนหนึ่งค่ะ”
“…เอ๊ะ? ผู้กล้า!? ระ เรื่องนั้น!”
“หึๆ ดิฉันเชื่อในการคัดสรรของผู้กล้าค่ะ เชื่อว่าคนที่มีพลังแบบเดียวกับผู้กล้าคนนั้น จักต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมไม่แตกต่างกัน เพราะอย่างนั้น เมื่อรู้ว่าพลังของลีโอนาร์คือ ‘อมตะ’ ดิฉันถึงได้มั่นใจค่ะ ..ว่าลีโอนาร์นี่แหละ คือคนที่จะพาดิฉันไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้ เหมือนกับที่ผู้กล้าคนนั้นเคยทำเมื่ออดีต” ดราแคล์ยื่นมือมาให้ผม “ดิฉันไม่ได้ทำทั้งหมดเพื่อการกุศล หรือว่าเพื่อตัวของลีโอนาร์เพียงผู้เดียว แต่เพราะลีโอนาร์มีคุณค่าถึงได้ตัดสินใจทำทั้งหมดลงไป”
..ดราแคล์ไม่ได้มองว่าผมไร้ค่า กลับกัน เธอคิดว่าผมมีค่าที่สุด สายตาของเธอบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่างออกมา
บนโลกใบนี้ ที่ไม่มีใครคิดว่าผมมีค่าอะไร ที่ตัวผมถูกใช้งานเยี่ยงสิ่งที่ไม่มีชีวิต เป็นเพียงแค่สิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ..แต่สำหรับดราแคล์แล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น เธอเลือกผม เพราะคือผมที่เป็นผู้กล้าลีโอนาร์ ไม่ใช่ผู้กล้าคนไหนก็ได้ แต่เป็นผู้กล้าที่มีพลังที่ทุกคนรังเกียจอย่างผมคนนี้
ไม่ได้ทำดีด้วย เพราะสมเพช แต่มองว่าผมมีคุณค่า ..เธอมองเห็นคุณค่าในตัวของผม
“ทั้งหมดดิฉันตัดสินใจทำเพื่อตัวของตัวเอง เพราะอย่างนั้น”
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเธอสะกดผมไว้ได้อยู่หมัด ใบหน้าของผมเริ่มร้อนขึ้นมาหน่อยๆ
ดราแคล์ยื่นมือมาให้ สายลมพัดผ่านเมืองแห่งนี้อย่างเหมาะเจาะ ผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของดราแคล์ทั้งหมด ดวงตาสีแดง ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้ม ทุกองค์ประกอบมันทำให้ ..พบเจอสิ่งแปลกปลอมเข้า
“ได้โปรดให้ความไว้ใจแก่ดิฉันด้วยนะคะ”
ในเวลานั้น ตัวผมได้กลายเป็นของดราแคล์โดยสมบูรณ์ ..ความรู้สึกแปลกๆ ..ความขัดแย้งแปลกๆ ..ที่ไม่ควรจะมีในตัวของผู้กล้ามันได้ตราตรึงหัวใจของผมเอาไว้
อ่า ..ทำยังไงดี
เหมือนว่าผมจะ ..ตกหลุมรักขุนพลจอมมารเข้าเสียแล้ว
ผมตกหลุมรัก ‘ลิลิธ ดราแคล์’ เข้าเสียแล้ว ทั้งๆที่เป็นผู้กล้า
บางทีนี่อาจจะเป็นการทรยศมนุษยชาติที่เลวร้ายที่สุดแล้วก็เป็นไปได้