เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 483 เจอกันที่สนามบิน
คนตระกูลถังย่อมเข้าข้างกันเองเป็นธรรมดา ลู่จือสิงกับถังชิงเป็นสองคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในตระกูลถังตอนนี้
ไม่ต้องพูดถึงลู่จือสิงเพราะเขาอยู่สูงเกินไป แม้แต่คนตระกูลถังยังไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ ทว่าคนตระกูลถังรู้จักถังชิงดี เธอเข้าสมาคมแฮกเกอร์ตั้งแต่อายุ 20 ปี แม้จะเป็นเพราะลู่จือสิงเป็นคนแนะนำ แต่การที่ลู่จือสิงสามารถแนะนำให้เธอเข้าไปได้นั้น นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอมีศักยภาพมากพอที่จะเข้าสมาคมแฮกเกอร์ได้
เนื่องด้วยสถานการณ์นี้ คนตระกูลถังจึงไม่พอใจกับท่าทีที่ฉินหลิงและพวกฉินฮั่นชิวมีต่อตระกูลถัง
พอพูดจบ หัวหน้าผู้ดูแลตระกูลถังก็เชิดหน้าขึ้น
เขาดูท่าทีกลุ่มของฉินหลิง
ผู้จัดการของฉินซิวเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไป “สมาคมแฮกเกอร์?”
คราวที่แล้วเขาเคยได้ยินอาจารย์คุคพูดถึงสมาคมแฮกเกอร์ พวกแฮกเกอร์ชั้นนำอะไรพวกนี้อยู่ไกลเกินเอื้อมเขามาก ปกติผู้จัดการมักจะฟังเป็นตำนานเรื่องเล่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับนี้
คุคพูดถึงสมาคมแฮกเกอร์แค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น และยืนยันว่าสมาคมแฮกเกอร์มีอยู่จริง
ทว่า…
คุคก็แค่ได้ยินมา แต่หัวหน้าผู้ดูแลท่านนี้บอกว่าคุณหนูถังท่านนั้นเข้าร่วมองค์กรนี้ด้วย?
แน่นอนว่าผู้จัดการตกตะลึงอยู่ลึกๆ ภายในใจ
ถึงขนาดตัวเกร็งไปชั่วขณะ หัวหน้าผู้ดูแลตระกูลถังเห็นอย่างชัดเจน
หัวหน้าผู้ดูแลเดาเอาไว้แล้วว่าต้องมีท่าทีแบบนี้ เขาหัวเราะเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อมองมาที่ฉินหลิงกับฉินหร่าน เขาก็ถึงกับอึ้ง
ฉินหลิงยังคงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น มองไม่ออก
ส่วนฉินหร่านกำลังถือโทรศัพท์อ่านข้อความ เธอถนัดทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าเธอได้ยินที่หัวหน้าผู้ดูแลพูด เธอแค่เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มองไปทางหัวหน้าผู้ดูแลคนนั้นแล้วหรี่ตา “รบกวน หลีกทางหน่อย”
หัวหน้าผู้ดูแลผงะไปครู่หนึ่ง เขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ฉินหร่านละสายตากลับและก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ เธอเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน
หัวหน้าผู้ดูแลที่อยู่ข้างหลังบีบมือที่ห้อยข้างลำตัวแน่น
เด็กสาววัย 20 จะมีสายตาเฉียบแหลมแบบนี้ได้ยังไง…
หัวหน้าผู้ดูแลมองแผ่นหลังฉินหร่าน น่าจะมองผิดไป…
ถังจวินยังต้องกลับไปหาลู่จือสิง เขาจึงไม่ได้คุยอะไรกับฉินฮั่นชิวและคนอื่นๆ มากนัก จากนั้นก็ออกไป
หลังจากที่พวกถังจวินไปแล้ว
ผู้จัดการก็มองมาทางฉินซิวเฉิน เล่าเรื่องคุณหนูถังท่านนั้นให้เขาฟังอีกรอบ สุดท้ายก็นิ่งเล็กน้อย “ถ้าเสี่ยวหลิงไปมาหาสู่กับคุณหนูถังท่านนั้นจะต้องดีมากแน่ๆ แต่ตระกูลถังนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ …”
ถูกแล้วที่ฉินซิวเฉินไม่ให้พวกเขาคบหาสมาคมกับตระกูลถัง
“สมาคมแฮกเกอร์?” พ่อบ้านฉินไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เขามองผู้จัดการด้วยความสงสัย “องค์กรนักแฮกเกอร์กลุ่มนี้เหมือนแบล็คแฮทไหมครับ?”
ผู้จัดการที่โดนถามก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ระบบน่าจะไม่เหมือนกันมั้ง…”
เขารู้แค่ว่าสมาคมแฮกเกอร์นั้นร้ายกาจมาก ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาก็ไม่แน่ชัด เพราะหนึ่งคือเขาไม่ใช่นักแฮกเกอร์ สองคือเขาไม่รู้จักคนในแวดวงนี้
“สมาคมแฮกเกอร์ก็คือกลุ่มนักแฮกเกอร์ชั้นนำ” ฉินหร่านยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋า มองไปที่ท้ายรถแล้วพูดเบาๆ “มีลิงก์เว็บมืดที่เชี่ยวชาญในการก่อกวนองค์กรระหว่างประเทศ มีทั้งคนดีคนเลว ขอแค่ฝีมือถึงมาตรฐาน สมาคมแฮกเกอร์ก็รับหมดแหละ การที่จะเข้าร่วมสมาคมแฮกเกอร์ได้ อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับ200อันดับแรกของโลก”
พอเธอพูดจบ รถเฉิงมู่ก็มาจอดใกล้ๆ
ฉินหร่านโบกมือไปข้างหลังและพูดอย่างสบายอารมณ์ “ออกเดินทางตอนตีสาม”
ที่นี่ห่างจากลานจอดเครื่องบินอยู่ช่วงระยะทางหนึ่ง เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวสิบโมงครึ่งและยังต้องไปพบลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของฉินฮั่นชิวก่อน แน่นอนว่าต้องออกเดินทางก่อนเวลา
ฉินซิวเฉินส่งสายตามองรถฉินหร่านจากไป จากนั้นก็หันกลับมา
ผู้จัดการกว่าจะพลิกลิ้นมาได้ “นักแฮกเกอร์200อันดับแรกของโลก น่ากลัวชะมัด”
ผู้คนหลายพันล้านคนบนโลกใบนี้ คน200อันดับแรกที่พูดถึงนั้นแกร่งกันจริงๆ
แม้กระทั่งฉินซิวเฉินยังผงกหัว
มีเพียงฉินฮั่นชิวเท่านั้นที่ยังดูทึ่มๆ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจไม่ใช่คุณหนูตระกูลถังผู้เก่งกาจคนนั้น เขาแค่พูดด้วยความสงสัยว่า “แล้วหร่านหร่านรู้ได้ยังไง?”
เขาถามฉินซิวเฉิน
ฉินซิวเฉิน “…”
เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการก็คิดถึงเรื่องนี้ เขาเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ “จริงด้วย คราวก่อนหลานสาวตัวน้อยยังมีหนังสือภายในของสมาคมแฮกเกอร์ด้วย เป็นไปได้ไหมว่าเธอมีเพื่อนที่เป็นสมาชิกสมาคมแฮกเกอร์?”
พวกเขาสบตากันโดยไม่กล้าพูดอะไร
**
เวลาตีสาม
เฉิงสุ่ยขับรถมารับฉินฮั่นชิวไป
เฉิงมู่ขับรถอีกคันตามหลังเฉิงสุ่ย
การเดินทางยามดึกจำเป็นต้องผ่านชายแดน รถแต่ละคันยังคงต้องจอดเพื่อรับการตรวจสอบก่อนจะถูกปล่อยไป
เมื่อคนที่ประจำอยู่จุดเฝ้าระวังบริเวณชายแดนเห็นรถเฉิงสุ่ยกับเฉิงมู่ พวกเขาก็เปิดประตูฝั่งขวาสุดเพื่อปล่อยกลุ่มพวกเขาออกไป ไม่ต้องพูดถึงการตรวจ เพราะพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะดูว่าใครนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ
ไร้อุปสรรคไปตลอดทาง
เวลาแปดโมงเช้าก็มาถึงลานจอดเครื่องบินของรัฐ M
ตอนที่พวกเขามาถึง ถังจวินกับลูกพี่ลูกน้องฉินฮั่นชิวยังมาไม่ถึง
“เสี่ยวเฉิง” ฉินฮั่นชิวมองตรงไปที่เฉิงเจวี้ยน “นายมีธุระก็ไปทำก่อนก็ได้ อาอยู่รอเอง”
ฉินฮั่นชิวเห็นเฉิงเจวี้ยนรับสายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ลงจากรถมาแล้ว
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองฉินหร่าน
ฉินหร่านดึงผ้าพันคอลายสก็อตขาวดำขึ้นโดยไม่พูดอะไร
“ครับ” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้ายิ้มอย่างเงียบๆ เขาพูดขึ้นมาว่า “งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวเจอกันที่ประตูขึ้นเครื่อง”
เขามีธุระที่ยังจัดการไม่เสร็จจริงๆ
เรื่องแมทธิวนั่น…
และยังต้องคุยกับฮอลล์ที่ประจำการอยู่ลานจอดเครื่องบินเสียหน่อย
“ไปเถอะ” ฉินฮั่นชิวโบกมือให้ “ไม่เป็นไรหรอก”
เฉิงสุ่ยบอกลาฉินหร่านกับฉินฮั่นชิวเสร็จก็ตามเฉิงเจวี้ยนไป ทิ้งเฉิงมู่คอยติดตามฉินหร่าน
“นายน้อยสอง ทำไมพวกเขายังไม่มา?” วันนี้ฉินซิวเฉินต้องเข้าฉาก ไม่สะดวกมาส่งฉินฮั่นชิว เขาจึงให้ผู้จัดการมาส่งพวกเขา ผู้จัดการเอ่ยถามพลางมองไปยังประตูทางเข้า
“ไม่รู้สิ” ฉินฮั่นชิวส่ายหน้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณลุงบอกว่าพวกเขาออกกันตั้งแต่เช้าแล้ว…”
พวกเขารอต่อกันอีก 20 นาทีก็เห็นหัวหน้าผู้ดูแลคนนั้นและท่านหลี่กำลังถือกระเป๋าเดินทางมา
“จุดตรวจขาเข้าที่ชายแดนคนเยอะมากเลยครับ ต่อคิวกันยาวเหยียด” ท่านหลี่วางกระเป๋าเสร็จก็โน้มตัวเล็กน้อย “พวกคุณคงรอกันนานแล้ว นายท่านกับนายน้อยสองกำลังรีบมา พวกเขาเจอเพื่อนคนหนึ่งกำลังคุยอยู่ข้างนอกสักเดี๋ยว”
ฉินฮั่นชิวโบกมือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร แค่ถามด้วยความประหลาดใจ “จุดตรวจขาเข้าอะไร?”
“พวกคุณเพิ่งมารัฐ M ครั้งแรกน่าจะยังไม่รู้ มันก็คือสถานที่ที่คุณต่อแถวเพื่อตรวจสอบรถระหว่างทางที่คุณมา ก็คือจุดตรวจขาเข้าชายแดนนั่นเอง มีการตรวจสอบกันอย่างเข้มงวด ทุกคนจะรู้กัน” หัวหน้าผู้ดูแลมองฉินฮั่นชิวพร้อมกับอธิบายเบาๆ
ฉินฮั่นชิวนึกอยู่พักหนึ่ง เขาเอาแต่ชมวิวมาตลอดทางและมั่นใจว่าไม่มีสถานที่ตรวจสอบรถ จึงมองไปทางพ่อบ้านฉิน “มีด้วยหรอ?”
พ่อบ้านฉินกลับจำได้ “เหมือนจะมีนะครับ แต่พวกเราไม่ได้ตรวจ”
“จะไม่ได้ตรวจได้ยังไง?” หัวหน้าผู้ดูแลเหลือบมองพวกเขา นึกจะพูดอยู่สองสามคำ ท่านหลี่ก็ปรายตามองมานิ่งๆ
ท่านหลี่เป็นคนที่ถังจวินไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด หัวหน้าผู้ดูแลจึงหุบปากทันที ไม่คิดจะคุยอะไรกับพวกฉินฮั่นชิวอีก
ท่านหลี่มองกลุ่มฉินฮั่นชิวพลางยิ้มเบาๆ โน้มตัวลงเล็กน้อย “ที่ผมมาก่อนก็เพราะอยากบอกพวกนายน้อยสองสักหน่อยว่านายน้อยสองของเราเป็นคนเย็นชาไปบ้าง เหมือน...คุณหนูฉินนิดหน่อย เดี๋ยวถ้าเขาทำตัวเฉยชาตรงไหน ก็ขออภัยด้วยนะครับ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินฮั่นชิวก็คิดว่าคงไม่มีใครรั้นเท่าฉินหร่านแล้ว เขาโบกมือยิ้ม “ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าหร่านหร่านนิสัยเหมือนใคร ที่แท้ก็น้องรองนั่นเอง”
ท่านหลี่หัวเราะ “คุณหนูฉินนิสัยเหมือนนายน้อยสองจริงๆ ด้วยครับ”
ขณะที่พูดเขาก็รู้สึกเสียใจอยู่หน่อยๆ จุดที่ไม่เหมือนคือ…คนหนึ่งศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ ส่วนอีกคนศึกษาด้านฟิสิกส์
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที
ชายสวมแว่นตากับถังจวินก็ปรากฏตัวอยู่ที่บริเวณทางเดิน
อายุราวๆ 30 ปี ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนเย็นชาและพิถีพิถัน
นั่นก็คือลู่จือสิง
เขาเดินตามหลังถังจวินและไม่ได้มองคนอื่นเลย กำลังดูโทรศัพท์เหมือนคุยกับใครสักคนอยู่
“นายท่าน นายน้อยสอง” เมื่อหัวหน้าผู้ดูแลเห็นลู่จือสิง หน้าตาเฉยเมยก็เปลี่ยนเป็นเคารพและกระตือรือร้นในทันที
ถังจวินแนะนำฉินฮั่นชิวให้เขารู้จักอย่างกระตือรือร้น “ฮั่นชิว นี่คือน้องรองนาย ลู่จือสิง”
จากนั้นก็เหลือบไปมองลู่จือสิง “ลูกพี่ลูกน้องแก ฉินฮั่นชิว”
ถังจวินพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป
แม้ฉินหร่านกำลังคุยอยู่ แต่เธอก็ได้ยินชื่อที่คุ้นเคย
เธอเงยหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วดึงผ้าพันคอลง ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นหน้าลู่จือสิงเข้าพอดี
ลู่จือสิงยังคงเย็นชาดังเดิม ตอนที่ฉินหร่านมองมา เขาก็กำลังมองไปพอดี
ฉินหร่าน “…”
ลู่จือสิง “…”
ฉินฮั่นชิวกับถังจวินอยู่ระหว่างกลางทั้งสอง เมื่อถังจวินเห็นท่าทีลู่จือสิงกับฉินหร่าน เขาก็บอกกับลู่จือสิงว่า “จือสิง นี่คือหลานสาวแก ชื่อ…”
ลู่จือสิงพูดอย่างแผ่วเบา “ผมรู้จัก ฉินหร่าน”