เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 36 ภาพวาดแห่งความว่างเปล่า
บทที่ 36 ภาพวาดแห่งความว่างเปล่า
บันไดขนาดใหญ่นำไปสู่แท่นบูชาทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ขั้นบนสุด รายรอบสิ่งของตกแต่งประดับดาอย่างสูงส่ง ทันใดที่คนทั้งกลุ่มก้าวเท้าเหยียบลงบนขั้นบันได พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป
“ดูนั่น…!” ใบหน้าของฉิงฮั่นแดงก่ำขณะที่เขาเดินขึ้นไปถึงบันไดขั้นบนสุด เขาเนื้อตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นสิ่งที่วางอยู่ตรงกลางแท่นบูชาได้อย่างชัดเจน ม้วนกระดาษภาพวาดโบราณเปล่งแสงออร่าเป็นประกายสีฟ้าเรืองรอง จนมองเผินๆ ราวกับว่าลอยเหนือพื้นแท่นวางเล็กน้อย สิ่งนี้เป็นเป้าหมายของการเดินทางของเขา
“ภาพวาดแห่งความว่างเปล่า!” ยู่อิง เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่รู้สึกต่อสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้า ในที่สุดก็ค้นพบ หลังจากต้องใช้เวลานับพันปีตามหาวัตถุชิ้นนี้ แต่ความพยายามไม่เคยประสบผลสำเร็จ
ให้ชวนสงสัยว่าด้วยเหตุผลกลใด ภาพเขียนจึงมาปรากฏที่แท่นบูชาในสถานที่แห่งนี้ เกือบจะดูเหมือนว่ามันควบคุมสถานที่แห่งนี้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของมัน ยิ่งกว่าทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าเป็นสมบัติของเซียน อำนาจของมันเหนือกว่าขั้นเก้าเสียอีก
ซูมมมม!
เงาสีแดงวูบผ่านไป ชั่วขณะนั้นเอง ภาพวาดถูกฉวยไปอยู่ในมือเจ้าของคนใหม่ของมันเสียแล้ว
“หลี่ชิง!” ฉิงฮั่น หน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นชัดว่าผู้ใดที่ตัดหน้าฉวยเอาภาพวาดไป
“เหอเหอเหอ เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นขี้ข้าของเจ้าหรือ โอ้เศษโสโครก” สีหน้าที่เคยให้ความเคารพของหลี่ชิง มาบัดนี้เลือนหายจนสิ้นแล้วเหลือไว้แต่ใบหน้าชั่วช้าของคนทรยศ “ตำแหน่งของข้าเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์เชื้อพระวงศ์ตระกูลฉิง เทียบได้กับตำแหน่งอาวุโสของขุนนางทั่วไปด้วยซ้ำ เจ้ามันก็แค่คนที่ถูกตัดหางปล่อยวัด ทั้งตระกูลไม่มีใครเอาเจ้าอีกแล้ว ยังมีหน้ากล้ามาสั่งข้าให้ทำโน่นทำนี่อยู่นั่นละ!”
ตอนนี้เขาได้ครอบครองภาพวาดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลจะต้องดำรงสถานะเช่นเดิมต่อไปอีก
“เจ้า…” ฉิงฮั่นยืนโงนเงน จนเกือบจะล้มฟาดลง “ไอ้ขี้ข้า! เจ้าคิดกบฏต่อนายอย่างนั้นหรือ”
“กบฏ อย่างนั้นหรือ” หลี่ชิงเปล่งเสียงคำรามหัวร่อดังก้อง “ในเมื่อเจ้าจะต้องตายเป็นผีอยู่ที่นี่ คนอื่นไม่มีใครรู้ว่าข้าทำอะไร”
ลำแสงสีฟ้าหม่นทอประกายออกจากตัวเขา เขากำลังถ่ายพละกำลังของตนสู่ภาพวาด เพียงแค่พลังเพียงเล็กน้อย ภาพวาดสามารถปล่อยพลังออกมาทำลายเซียนได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตน ความลี้ลับดังกล่าวนำพาให้เขาปรารถนาที่จะได้ครอบครองภาพวาด
“ขวางมันไว้!” ฉิงฮั่นร้องบอก
“เยี่ยเสิน!” ลู่หยุนรู้แน่แก่ใจ หากหลี่ชิงทำสำเร็จ ตัวเขานี่ละ จะต้องตายก่อนใคร
“ไอ้ชั่วชา…กล้าเหยียบจมูก มาขโมยสมบัติต่อหน้าต่อตาข้า! ข้าไม่ยอมหรอกโว้ย!” ภายใต้อำนาจควบคุมของเยี่ยเสิน อีกครั้งที่หลี่ยูวไฉหยิบแผ่นป้ายมังกรผู้พิทักษ์ขุนเขาและสายน้ำ กระแทกไปที่หลี่ชิง
“ได้เลย!” ดวงตาของหลี่ชิงลุกโชนดุจเปลวไฟแดงฉาน นิ้วมือคีบเหรียญทองแดง “ดูป้ายมังกรของข้าบ้าง! จงตายเสีย!”
แกร็งงงงง!
เหรียญถูกดีดลอยขึ้นไปในอากาศ ลำแสงที่เปล่งออกมาคล้ายกับปีกบางๆ และเริ่มเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง
ปัง!
พลังถูกขัดขวางโดยแผ่นป้ายมังกรของหลี่ยูวไฉดับวูบอย่างกระทันหัน มันร่วงหล่นลงบนพื้น หยุดนิ่งไม่ปล่อยพลังออกมาอีก ไม่ว่าเจ้าของพยายามจัดการอย่างไร
“เจ้าอยากได้แผ่นป้ายมังกรของข้าด้วย ใช่ไหมเล่า มาสิ เข้ามาเอาที่ข้านี่ ไอ้คนน่าสมเพช” มองดูแผ่นป้ายมังกรของตนเองปะทะกับแผ่นป้ายพิสดาร กลับยิ่งสร้างความขุ่นเคืองแก่หลี่ยูวไฉยิ่งนัก เขาจึงย่างสามขุมเดินเข้าใส่หลี่ชิง
“เหรียญแผ่นป้าย! นี่เป็นของฉิงหงเชิง! ทำไมมาอยู่กับเจ้า!” ถามออกไปด้วยประหลาดใจยิ่งนัก เหรียญแผ่นป้ายถือเป็นของสำคัญอย่างหนึ่ง แต่หลี่ชิงหาได้ตอบคำถามในเวลานั้น ด้วยกำลังจับตาดูหลี่ยูวไฉ
“ถอยไป!” เขาตวาดเสียงเฉียว แสงสีฟ้าสว่างวาบออกจากภาพวาดกระแทกเข้าที่เจ้าคนตัวอ้วนจนร่างกระเด็นไป
โลหิตสีแดงซึมออกมาทางมุมปากของหลี่ยูวไฉ มองหลี่ชิงอย่างโกรธขึ้ง อนิจจา ถ้าเซียนแท้จริงควรพ่ายแพ้ได้โดยง่าย หากเจ้านั่นยังยืนอยู่ได้ก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นเพราะภาพวาดแห่งความว่างเปล่าผืนนั้นแน่แล้ว
“มัน…ถูกวิญญาณภาพวาดครอบงำ!! ข้าไม่อาจแตะต้องมันได้!” เยี่ยเสินปรารถนาจะเข้าช่วยเหลือ แต่รังสีแห่งภาพวาดผลักดันไม่ให้นางเข้าไปใกล้ แท้ที่จริง นางจะถูกทำให้เผยร่างออกมาให้เห็น กลุ่มควันพวยพุ่ง แสงสว่างเจิดจ้าขณะที่วิญญาณตนที่แปดกำลังเผยโฉมอันน่าหวาดกลัวของมันออกมา
ยู่อิงขยับยืนเคียงลู่หยุน เป็นสัญญานว่าจะใช้ร่างตนเป็นเกราะกำบังให้เจ้านาย
“ภาพวาดนั้นมีจิตวิญญาณมากมาย” นางตั้งข้อสังเกตแผ่วเบา “ข้าได้ชัยชนะครั้งแรกก็เป็นพลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดเช่นกัน ข้าเองเกือบถูกมันครอบงำ สติสัมปชัญญะของเจ้าหลี่ชิงในตอนนี้ไม่เหลือหลออีกแล้ว วิญญาณและสัญชาตญาณถูกจู่โจมจนหมดสิ้น ที่กำลังเคลื่อนอยู่เป็นเพราะวิญญาณของภาพวาดต่างหาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงคำรามหัวร่อของหลี่ชิงดังขึ้น มันพุ่งมาทางลู่หยุนอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว “ตายเสียเถิด!” ประกายเด็ดเดี่ยวมายหมายฉายชัดในดวงตา ดุจเงื้อมมือนรกที่มุ่งหมายชีวิตของชายหนุ่มเจ้าเมือง
ทำไมมันจึงอยากฆ่าข้าเสียนักหนา! ความรู้สึกหนาวเหน็บบาดลึกจนถึงกระดูก ลู่หยุนมิได้หวาดกลัวแม้ความตาย แต่ความเกลียดชังภายในใจของชายคนรับใช้ตระกูลฉิงมีต่อเขานั้นช่างมากมาย หาไม่เพราะหลี่ชิง การกระทำของเขามีแรงกระตุ้นจากสิ่งอื่น วิญญาณของภาพวาดดึงดูดเอาความปรารถนาเบื้องลึกภายในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของร่างมาจัดการต่อให้จนสำเร็จต่างหาก
“รีบหนีไป!” ยู่อิงยกมือขึ้น พร้อมเรียกพลังวิชาดาบทั้งเจ็ด มันพุ่งเข้าใส่หลี่ชิง จนสายโซ่ขาดกระจุย
“อย่ามาขวาง!” เสียงชายร้องโหยหวนจนแทบฟังไม่ออก เขาสบัดชายแขนเสื้อแกว่งปัดคมดาบจนร่วงลงพื้นเสียงเกรียวกราว พลังของยู่อิงทำให้เขาผงะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โลหิตกระอักออกทางปากของนาง ไม่สะดุ้งสะเทือน ใบหน้าซีดเผือดหากยังยืนหยัดอยู่เบื้องหน้า พร้อมให้การอารักขาผู้เป็นนาย
“ตาย ตาย ตายยยย!” รอยปริแยก ปรากฏตลอดร่างของหลี่ชิง เนื้อผ้าบนกายอาบชุ่มไปด้วยเลือด แต่แสงสีฟ้าสาดส่องออกมาจากกระบอกตา บ่งชี้ว่าขุมพลังได้เข้าครอบงำเขาตลอดร่างเสียแล้ว มันเข้าควบคุมการเคลื่อนไหวของเซียนเจ้าร่างด้วยพลังเซียนชั้นฟ้า
เสียงสั่นไหวดังมาจากยู่อิงเมื่อวิญญาณม้วนพุ่งสู่อากาศเบื้องบน นางปล่อยไพ่ใบสุดท้ายที่มีพลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด ลูกไฟเจิดจ้าระเบิดออกอาบแสงสีเขียวขจีไปทั่วบริเวณหอคอยแท่นบูชา
“พลังทัศนีย…ภาพ!” หลี่ชิงครวญครางราวสัตว์ร้าย “แกตา..ย…ยย!” มันรวบรวมพลังร่ายเวทย์มนต์เปลวไฟสีฟ้าออกบดบังบางส่วนของแสงสีเขียว
พลังไฟสังหารอัญมณีสีฟ้า!” ฉิงฮั่น สามารถจดจำเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วของหลี่ชิงได้ทันที เขาขบกรามจนนูนก่อนเอ่ยออกมาอย่างเดือดแค้น
มีตำนานแห่งไฟในโลกเซียนอยู่สามตำนาน ไฟปราบเพลิงมรกต ไฟสังหารอัญมณีสีฟ้า และไฟแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ทั้งหมดเป็นจิตวิญญาณแห่งไฟซึ่งสถิตย์อยู่ในภาพวาดโบราณ พลังอำนาจล้นเหลือสูงส่งกว่าเซียนชั้นเก้า[1]
พลังไฟปราบเพลิงมรกตสิงสถิตย์ในพลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด และไฟสังหารอัญมณีสีฟ้า ได้สถิตย์อยู่ในภาพวาดแห่งความว่างเปล่า ซึ่งปรากฏเบื้องหน้านั่นเอง
พลังไฟทั้งสามมีอำนาจทัดเทียมกัน แต่หลี่ชิง ที่ใช้พลังไฟสังหารจากวิญญาณแห่งภาพวาดจนเกิดปฏิกิริยาพลังไฟไหลเวียนไปทั่งร่างเสมือนการจุติใหม่ของพลังเซียนชั้นเก้า ขณะที่ยู่อิงนางเป็นเพียงวิญญาณจึงทำให้เสียเปรียบ
ในที่สุดไฟสังหารสามารถหยุดยั้งไฟปราบเพลิงลงสิ้น กระแทกร่างของยู่อิงพร้อมกับพลังทัศนียภาพกระเด็นกระดอนไปอย่างไม่เป็นท่า
“ตายเสีย!” เสียงหัวเราะแหลมอย่างน่าเกลียดน่ากลัวของหลี่ชิง ฆ่าลู่หยุนทดแทนให้เจ้าคนรับใช้ตระกูลชิง อีกอย่างวิญญาณแห่งภาพวาด จะได้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่หยุนขบกรามแน่น จดจำเทพแห่งลมทั้งเก้า ปรากฏเงามังกรม้วนรายรอบตัวเขา โอ ภาพวาด เป็นแค่กระดาษเก่าอาจขาด ผุพังได้ง่ายดาย กำลังถูกครอบงำโดยเซียนชั้นเก้า และเจ้าของร่างจะต้องถูกทำลายทันทีเมื่อจิตวิญญาณสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา
เงาแห่งความตายบดบังเขาจนหมดสิ้น
“กริ๋ง!” เสียงสั่นรัวราวกระดิ่งดังขึ้น แสงสีม่วงเรืองปกคลุมไปทั่วแท่นบูชา
หึ่มม!
แสงแปลบปลาบจากร่างของฉิงฮั่น พุ่งทะยานใส่หลี่ชิง
“ตาบพิฆาตโลกันต์!” เปลวไฟสีม่วงปรากฏในแววตาของหลี่ชิง ก่อนจะแทนที่ด้วยความสะพรึงกลัวสุดขีด ดาบพิฆาตโลกันต์ ดาบแห่งเซียนชั้นเก้า
แรงทะลวงของดาบ ปลดปล่อยให้ดวงวิญญาณของภาพวาดที่กำลังครอบงำอยู่หลุดออก ร่างขาวร่อนอยู่เหนือแสงสีม่วงเรือง ฝ่ามือกดบริเวณที่มีพลังงานไหลพร่างพรู
ตู้มม
แรงระเบิดสีม่วงส่งให้แท่นบูชาสั่นไหว ร่างหลี่ชิงขาดครึ่งท่อน ก่อนระเบิดกระจัดกระจายด้วยคมดาบนั้น
พลั่ก!
ฉิงฮั่นล้มลงไปกองกับพื้น สิ้นไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดขาวจากการทุ่มเทพลังเฮือกสุดท้าย ดาบสั้นสีม่วงประกายเจิดจ้าตกอยู่ข้างกาย สิ่งใหม่สินะ
ลู่หยุนได้แต่นิ่งขึงอยู่กับที่ เหงื่อกาฬเย็นๆแตกชุ่มทั้งไปตัว ถ้าฉิงฮั่นไม่เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งนี้ เห็นที่เขาคงจะต้องตายซ้ำเป็นรอบที่สองเป็นแน่ ชายหนุ่มมีความดีซุกซ่อนเบื้องล่างร่างที่เปราะบางพอๆกับความเข้มแข็งที่มีอยู่ในตัว เขาค่อยๆหย่อนกายทรุดตัวลงนั่งบนพื้น หายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“ดูเหมือนดาบนั่น จะปล่อยพลังแสงได้กระนั้น” ลู่หยุนยกมือขึ้นขยี้ตา มองไปทยังดาบเล่มนั้นอีกครั้ง หากกลับไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ ประสาทหลอนอีกแล้วซี เขาละสายตา หันไปหาคนอื่นที่ยังอยู่ที่แท่นบูชา
หลี่ยูวไฉที่ได้รับบาดเจ็บนอนสลบไม่ได้สติ เยี่ยเสินร่างที่แปดเห็นทีจะได้รับความเสียหายหาน้อยไม่ นางหาเรื่องเจ็บตัวจริงๆ ส่วนยู่อิงถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับแท่น ไม่ปรากฏว่านางไปอยู่ที่ใด
“ทำไมเจ้าจึงเกลียดข้านัก” ลู่หยุนกลับไปมองซากแหลกละเอียดของหลี่ชิงที่กระจายเกลื่อน “ไอ้ลู่หยุนคนนี้ คงทำไม่ดีกับเจ้าไว้หนักหนาก่อนที่ข้าจะมาอยู่ในร่างของมัน” เขาบ่นพึมพำเบา รู้สึกเสียวสันหลังไม่หาย
โลกของลู่หยุน ได้สร้างศัตรูไว้มากมาย จนติดตามมาในโลกแห่งเซียนนี่ คงจะเป็นการคาดเดาได้เพียงอย่างเดียว เจ้าของร่างนี้คงมีหนี้ชีวิตที่ยังไม่ได้ชดใช้รอเขาอยู่
หลังจากนั่งพักชั่วครู่ ลู่หยุนค่อยหายใจหายคอโล่งอกเมื่อเห็นยู่อิงค่อยๆคลานออกมาจากหลังขั้นบันไดของแท่นบูชา เขาไม่ได้ห่วงว่านางจะตายจริงหรือไม่ ตลอดมานี่ นางสามารถฟื้นขึ้นมาจากหลุมแห่งความเป็นและความตายมาได้โดยตลอด
“แท่นบูชากำลังจะคืนชีพในไม่ช้า นายท่าน พวกเรารีบออกไปเสียจากที่โดยเร็วเถิด ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็นเครื่องสังเวยในพิธีบูชายัญแน่” พลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดคุ้มกันนางจากอันตรายได้ “ข้าเก็บภาพวาดแห่งความว่างเปล่าอยู่นี่แล้ว”
ลู่หยุนพยักหน้า “แล้วเจ้าเล่า เป็นอย่างไรบ้าง เยี่ยเสิน”
“ข้าไม่เป็ฯอะไร นายท่าน เพียงแต่จิตวิญญาณสูญสลายไปบ้างเท่านั้น” พลังของเยี่ยเสินกลับฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง การฟันฝ่าค่ายกล ไม่อาจทำอันตรายต่อนาง
“เจ้าเข้าไปสิงไอ้อ้วนนั่นได้หรือไม่” ลู่หยุนชี้ไปทางหลี่ยูวไฉ
“หากมันฟื้นขึ้นมา ระดับพลังของมันเซียนชั้นฟ้า เชียวนา ข้าว่า คงทำได้แค่สร้างภาพล่อหลอกตบตามันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถสะกดเขาทำให้เซื่องซึมลงได้” เยี่ยเสินตอบ
“ก็ดี!” ชายหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอก ถ้าไม่มีนางคอยช่วยเหลือ เขาเองยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อเยี่ยเสินยอมช่วยเหลือสิงร่างหลี่ยูวไฉ ทำให้การเดินทางข้างหน้าสะดวกขึ้น หนทางภายในสุสานร้างแห่งนี้ มีภยันตรายรออยู่ ยิ่งจะต้องคอยปกป้องก้อนเจ้าอ้วนแต่ไร้ประโยชน์เช่นนี้
ชายหนุ่มเจ้าเมือง ก้มลงหยิบแผ่นป้ายมังกรพิทักษ์ขุนเขาและสายน้ำ หย่อนใส่ถุงเหรียญทองของคนตัวอ้วน “เอาล่ะ ส่วนเจ้าหนุ่มดื้อด้านนี่ ข้าจะจัดการเอง” หัวเราะขันตัวเองเบาๆ
“นายท่านจะทำย่างไรกับมัน” ยู่อิงมองจ้องฉิงฮั่น หนุ่มน้อยกองอยู่กับพื้น แน่นิ่งไม่ไหวติงอย่างข้องใจ
“เขาช่วยชีวิตข้า ไม่ใช่หรือ” ลู่หยุนตอบ “ข้าไม่คิดว่าคนที่คิดจะฆ่าข้า จะเปลี่ยนใจมาช่วยชีวิตข้าเยี่ยงเขานี้ดอก”
ฉิงฮั่นมิใช่เพียงขัดขวางหลี่ชิงที่จะเข้ามาทำร้ายเขาเท่านั้น หากยังจัดการสังหารมันในที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดเขาได้ใช้ดาบสีม่วงเรือง ปกป้องอันตรายให้แก่ลู่หยุน
“เขาต้องการมาตามหาภาพวาดแห่งความว่างเปล่า ใช่หรือไม่…” ลู่หยุนคว้าวัตถุขึ้นมาจากพื้น สิ่งนี้ปราศจากจิตวิญญาณที่ครอบงำ และไร้ซึ่งพลังงานภายใน ภาพวาดสงบนิ่งบนฝ่ามือ ทำประกายสีฟ้าหม่นเรืองรองอย่างแปลกประหลาด
ชายหนุ่มบังเกิดความลังเล ทันใดหันไปยกร่างไร้สติของฉิงฮั่น ก่อนยัดภาพวาดใส่อ้อมแขนหนุ่มน้อยเชื้อสายราชวงศ์ เขาฉวยดาบประกายม่วงมาถือ สุดท้ายยกแบกร่างหนุ่มน้อยใส่ด้านหลัง
“ไปกันเถิด” ลู่หยุนไม่ได้อยากเก็บภาพวาดไว้ ฉิงฮั่นต่างหากเขาที่นี่เพื่อตามหามัน
มีกฎข้อหนึ่งในหมู่โจรปล้นสุสาน ห้ามบอกใครเมื่อค้บพบเจอสิ่งใด สิ่งนั้นควรเป็นของคนที่ได้เจอมันเป็นคนแรก นี่เป็นกฎเกณฑ์แห่งสากล ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นโจรด้วยกัน หรือเป็นศัตรูก็ตาม
เจ้าเด็กนี่ผิวพรรณละเอียดแต่สีค่อนข้างเข้ม แต่สัมผัสนุ่มนวลอย่างประหลาด ความรู้สึกสว่างวาบขึ้นในใจของลู่หยุน
หอคอยบูชายัญว่างเปล่า ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าถูกเคลื่อนย้าย แท่นบูชาจึงค่อยๆตื่นตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ อักขระจารึกตรงส่วนฐานส่องแสงสว่าง เตรียมพร้อมทำพิธีกรรม หากทั้งหมดยังขืนโอ้เอ้ มิวายจะกลายเป็นเครื่องสังเวยแน่แท้
พวกแม่มดผีดิบไม่เข้ามารบกวนในพิธีกรรม แต่ยังวนเวียนอยู่ทั่วไป ลู่หยุนและคนอื่นหาโอกาสที่จะแอบออกไปจากนครโบราณแห่งนี้ เมื่อสบโอกาส ต่างพากันปีนขึ้นสู่หน้าผาฝั่งตรงกันข้าม
ทว่าทันทีที่ทั้งหมดขึ้นไปถึงหน้าผาชั้นบนสุด ปรากฏครึ่งวงกลมสีดำคลุมโอบเมืองทั้งเมืองไว้มิดชิด
ลู่หยุนและยู่อิง จับตามองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ถ้ายังอยู่ในนครข้างล่างนั่น คงจะถูกกลืนกินไปด้วย
“โอย…” เสียงครางแผ่วเบามาจากด้านหลัง “พวกเจ้าหยุดพักก่อนได้ไหม ถ้าเจ้าตาย ข้าคงพลอยแย่ไปกับเจ้าด้วย”
1 เดวิก ผันจากคำว่าเทวา ที่สถิตย์ยังสรวงสวรรค์เป็นความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา บันทึกตำนานแห่งไฟสามประการ แปลไว้ว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่สี่