เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 34 นครแห่งสมบัติบาดาล
บทที่ 34 นครแห่งสมบัติบาดาล
“อะไรนะ” ลู่หยุนหลุดปากโพล่งออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
“ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า! อย่ายุ่ง!” หลี่ชิงตวาด
เจ้าเมืองเขตสนธยายักไหล่อย่างไม่แยแส
ฉิงฮั่นถอนหายใจ ตอบเสียงเรียบ “มันสำคัญต่อข้ายิ่งนัก ข้าจะต้องหาให้เจอ”
“เคล็ดวิชาค่ายกลงั้นหรือ?” ลู่หยุนนิ่วหน้า เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาด้วยเช่นกัน
“ไม่ใช่” ฉิงฮั่นสั่นหัวปฏิเสธ “เคล็ดวิชาค่ายกลเป็นแค่สิ่งล่อใจ วิชาล้ำค่าเช่นนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนแบบข้า มีแต่เทพเซียนเต๋า ผู้เก็บเกี่ยวผลผลิตแห่งเต๋า จึงสามารถสถติย์ในสรวงสวรรค์เช่นนั้น”
“ก็ถูกของเจ้า” ลู่หยุนพยักหน้าเห็นด้วย “อันตรายมีอยู่รอบตัว ยิ่งเราถลำลึกเข้าไปก็จะยิ่งอันตราย เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเชื่อฟังข้า หาไม่แล้ว…”
พลางหันเขม้นมองไปยังที่ตั้งของโลงศพเบื้องหลัง อันเป็นหลักฐานที่เซียนสองคนได้สังเวยชีวิตเพียงเพราะไม่สนใจคำเตือนของเขา
หลี่ชิงเสียวสันหลังวาบ บัดนี้เขากระจ่างแล้วว่าลู่หยุนมีความสำคัญต่อกลุ่มคนเหล่านี้เพียงใด ค่ายกลที่พานพบมานั้นอาจกลืนกินชีวิตทุกคนแม้กระทั่งเซียนทองคำก็ไม่เว้น นับตั้งแต่เหตุการณ์ซากศพชโลมโลหิตผ่านพ้น ความคิดที่จะลอบสังหารลู่หยุนดูท่าว่าคงต้องระงับไปเสียก่อน ยังคงไม่อาจดำเนินการได้ในเร็ววัน
การเดินทางยิ่งห่างออกจากค่ายกล เส้นทางเหมือนกับจะยิ่งแคบลงเรื่อย ๆ จนต้องพากันเดินเรียงหน้ากระดานทีละคน
“หยุดก่อน!” ลู่หยุนหยุดเดิน เหงื่อเม็ดเป้งซึมทั่วหน้าผาก “หันกลับไปทางเก่า!”
“อะไร?” ฉิงฮั่นร้องถาม
“กลับไปก่อนเถิดน่า! ข้าเหม่อคิดเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่กลับเกือบหลงเดินเข้าสู่กับดักเสียแล้ว” น้ำเสียงเยาะ “หันกลับให้หมดเลยไป!”
“หวืออออ” เสียงแผ่วเบาลอยผ่าน พื้นเบื้องล่างเริ่มสั่นไหว หลุมที่ปราศจากก้นหลุมปรากฏขึ้นด้านหลัง ดูไปคล้ายกระเพาะของสัตว์ร้ายตัวใหญ่
หลุมพราง!
“ภาพลวงตาหรือ” ฉิงฮั่นมองจ้องลงไปยังหลุมพรางปราศจากก้นหลุมนั้นด้วยหน้าอันซีดเผือด
“จำสถานที่ที่ผ่านมาได้หรือไม่ ภาพหลอนทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริง” ลู่หยุนหรี่ตา “อย่าไปมอง ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“มันหายไปแล้ว นายท่าน” ยู่เฉิงเอ่ย
ลู่หยุนมีสีหน้าเคร่งเครียด หันไปพิจารณาเส้นทางที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมา ตอนนี้มันได้มีทางเดินแยกออกเป็นสามแพร่ง มีเพียงทางเดียวที่พวกเขาเดินผ่านมาเท่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งในสองทางที่เหลือเป็นทางเดินที่ถูกต้อง ส่วนทางเดินอีกเส้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากภาพลวงตา
“ทางนี้!” ในที่สุดเจ้าเมืองหนุ่มก็เลือกช่องทางด้านขวามือ
“รู้ได้อย่างไรว่าทางนั้นไม่ใช่ภาพลวงตาอีก” หลี่ชิงถามลังเล
“เจ้าจะไปอีกทางก็ได้นะ แล้วแต่เจ้า” ลู่หยุนเริ่มโมโห
เซียนผู้นั้นได้แต่สงบปากสงบคำ เขาอยากจะขยี้ไอ้เจ้ามดปลวกนี่เป็นที่สุด แต่ยังก่อนยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างไรก็ตามทั้งคณะจำเป็นต้องให้ลู่หยุนเป็นผู้นำทางต่อไป
ทางเดินในอุโมงค์แห่งนี้ไม่เล็กและแคบเช่นที่ผ่านมา ผนังอุโมงค์มีแมลงศพเกาะเต็มพรึ่ดไปทั้งผนัง พวกมันต่างแข่งขันกันส่องประกายสีแดงเรืองรองจนสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ หากยิ่งลึกเข้าไป จำนวนแมลงกลับลดลงจนทำให้แสงโดยรอบริบหรี่ลงไปอีก อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามีแสงจากเพดานเหนือศีรษะส่องลงมา
ทุกคนพากันหยุดเดิน “ที่นี่มัน…!” ตาเบิ่งมอง อ้าปากค้าง ลมหายใจติด ๆ ขัดๆ หอบถี่
“เมืองเจิ้นชุย!” หลี่ชิงครางตกใจแทบสิ้นสติ “เมืองโบราณที่พินาศสาบสูญไปเมื่อห้าพันปีก่อน!”
นัยน์ตาของยู่อิงส่องประกายวาววับ ครั้งหนึ่งนางเคยมาที่ภูเขาแห่งนี้เพื่อเสาะหาร่องรอยของแม่น้ำเจิ้นชุย หากแต่หลงทางขณะปีนเขาเพราะโดนค่ายกลลวงตา การเดินทางครั้งนั้นจึงประสบความล้มเหลว ใครเล่าจะคิดว่าเมืองโบราณแห่งนี้ แท้จริงแล้วถูกฝังจมอยู่ใต้พื้นดินนั้นเอง
เส้นทางในอุโมงค์สะดุดลงตรงเวิ้งหน้าผา เมื่อมองลงไปจึงได้เห็นเมืองโบราณ ซากปรักหักพังทิ้งไว้เพียงร่องรอยผนังผุพังและหลังคาบ้านเรือนพังทลาย เศษอิฐเศษหินเกลื่อนกระจายจากผลของการถูกทำลาย นับว่าเป็นสภาพชวนหดหู่ใจยิ่งนัก
“โอ้ว! สมบัติ! สมบัติทั้งนั้น! สมบัติของข้า มันเป็นของข้า!!” เสียงตะโกนของหลี่ยูวไฉดังก้องจนแม้แต่แผ่นดินยังสะเทือน รูปร่างอย่างกับลูกชิ้นยักษ์ไม่ปาน เขาดีดตัวจากหน้าผาลงไปที่เมืองร้างเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเพราะยู่เฉิงต่างหากเป็นผู้กระทำ นางรู้ดีถึงความต้องการของลู่หยุนโดยเขามิต้องเอ่ยปาก เจ้าอ้วนนี่เหมือนเป็นผู้คุ้มกัน คอยตรวจสอบระแวดระวังว่ามีอันตรายแอบซ่อนอยู่ ณ เมืองร้างแห่งนี้หรือไม่
“เมื่อราวห้าพันปีก่อน เมืองเจิ้นชุยแห่งนี้เป็นนครแห่งเทพเซียน! เจ้านครเป็นผู้หญิง นางมีตำแหน่งเป็นถึงเซียนทองคำ” หลี่ชิงจับตามองหลี่ยูวไฉที่กระโดดลอยตัวลงไปพร้อมพูดพึมพำกับตนเอง “ไม่มีใครหนีรอดออกมาได้ทันขณะที่ภูเขาถล่มลงมาแม้แต่นางผู้เป็นเจ้านคร บางทีเมืองนี้อาจมีสมบัติจมบาดาลซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้”
เซียนทองคำและตำแหน่งที่สูงกว่า จะมอบให้กับเซียนชนชั้นสูงเท่านั้น
ฉิงฮั่นได้ตำแหน่งเพราะชาติกำเนิดที่ติดตัว และตระกูลฉิงเองก็ขาดผู้สืบทอดตำแหน่งเซียนทองคำ อย่างไรก็ตามตัวเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตน ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับเซียนผู้มาเป็นผู้พิทักษ์คุ้มครอง
แม้แต่หลี่ชิง เซียนทองคำก็ยังคงเป็นตำแหน่งสูงสุดเอื้อมที่เขาใฝ่ฝันมาโดยตลอด
“ข้างล่างนี่ปลอดภัย ลงมาได้เลย” ลู่หยุนค่อยใจชื้น เขามองเห็นหลี่ยูวไฉหยิบหินก้อนใหญ่มาถือไว้พลางหัวเราะร่วนอย่างสบอารมณ์
ยู่เฉิงเก่งในทางใช้เล่ห์กล เจ้าเมืองหนุ่มพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่พอใจนักเมื่อเห็นว่าหลี่ยูวไฉเทสิ่งของมีค่าที่เก็บมาด้วยออก แล้วหยิบเอาหัวกะโหลกและหินเก็บกลับไปแทน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของยู่เฉิง ถึงทีของนางแล้วนี่
แต่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตัวเขากับหลี่ยูวไฉหาเป็นศัตรูกันไม่
“ตอนที่ภูเขาถล่ม ทำให้ผู้คนทั้งเมืองถูกฝังจมบาดาล”
ลู่หยุนพร้อมด้วยคนอื่นที่เหลือพากันหาทางเดินลงไปยังพื้นที่เบื้องล่าง ที่นั้นเองจึงพบว่ามีภาพร่างของคนประทับอยู่บนพื้นผิว ฉิงฮั่นทรุดเข่านั่งลงพิจารณารูปรอยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าหมองคล้ำ
“มีใครเห็นเหมือนข้าบ้างว่านี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว แสงเหล่านี้มาจากไหนกัน” ลู่หยุนแหงนมองเข้าไปในส่วนที่มืดทึบ ไม่มีแม้แต่แมลงศพสักตัว กระนั้นพวกเขายังสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในเมืองได้อย่างชัดเจน “ ไม่ใช่ภาพลวงตา” เขาพูด “แต่มันเป็นของจริง”
“นายท่านเจ้าค่ะ” ยู่อิงหันขวับกลับมาทางลู่หยุน มีบางอย่างในท่าทีของนาง “ท่านสังเกตหรือไม่ ว่าพื้นที่แห่งนี้ เมืองแห่งนี้ เหมือนกับ…”
แปลกนัก ลู่หยุนขมวดคิ้ว ตอนนี้ทั้งฉิงฮั่นและหลี่ชิง พากันมองมาทางยู่อิงเป็นตาเดียว
“หลุมสุสาน!” ลู่หยุนค่อยเอ่ยคำพูดออกมา “ใครก็ตามที่ร่างถูกฝัง ต้องเป็นคนสำคัญมากขนาดว่าจะต้องฝังทั้งเมือง ทั้งผู้คน กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ ถูกฝังไปพร้อมกัน”
การฝังข้าวของผู้คนรับใช้ มักพบได้ในสุสานของกษัตริย์ ในโบราณกาลเมื่อกษัตริย์กำลังจะสิ้นพระชนม์ ผู้รับใช้ใกล้ชิดจะตระเตรียมสถานที่ฝังร่างและเครื่องบูชา ทั้งมเหสี คู่ครองและข้าทาสบริวารล้วนแล้วแต่ถูกฝังทั้งเป็นภายในสุสานนั้น เพื่อจะได้ตามไปรับใช้เจ้านายของตนในชีวิตหลังความตาย
เหล่านี้คงจะเป็นสมบัติพัสถานที่ถูกฝังไว้ในสุสานแห่งนี้ ตำแหน่งและการกำหนดรูปแบบ บ่งบอกบทบาทหน้าที่ได้เป็นอย่างดี นครเจิ้นชุยถูกฝังทั้งเมืองจากการถล่มของภูเขา เพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่ผู้วายชนม์
ผู้คนพลเมืองล้วนเป็นบรรณาการที่ต้องฝังไปพร้อมกัน
“มันไม่ใช่แค่นั้นสิ” ฉิงฮั่นสาวเท้า พร้อมกวาดสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณ “ต้องอย่าลืมว่าเมื่อห้าพันปี ที่แล้วนครแห่งนี้พวกพลเมืองทั้งหลายล้วนเป็นเทพเซียนทั้งสิ้น!”
“เซียนจะถูกปกป้องโดยพลังชี่ แม้จะโดนภูเขาทั้งลูกพังถล่มลงมาก็ยังจะต้องหลงเหลือแม้โครงกระดูกหรืออะไรสักอย่างไว้บ้าง แต่นี่ดูสิ เหลือแต่ร่องรอย แต่กลับไม่มีแม้ซากศพเลย แม้แต่น้อยศาสตราวุธที่หักพังก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย” เขาจับตามองรอบด้านอย่างละเอียด นี่อาจเป็นการบ่มเพาะที่สืบทอดมาจากวงศ์ตระกูลที่ทำให้คนนั้นผู้นี้มีสายตากว้างไกล ฉิงฮั่นคอยสังเกตนับแต่เดินลงมายังสถานที่นี้แล้ว
“พิธีบูชายัญ!” ฉิงฮั่นเอ่ยขึ้นก่อนผู้ใด “มีใครสักคนทำการบูชายัญด้วยเมืองแห่งเซียนและสมบัติพัสถานพวกนี้!”
“นี่…” ลู่หยุนรู้สึกจนปัญญาที่จะกล่าวสิ่งใด เซียนผู้หนึ่งประสงค์จะทำการฝังร่างชาวเมืองเพื่อให้ไปช่วยปรนนิบัติรับใช้ในชีวิตหลังความตาย ราวกับว่าข้าทาส พลเมืองของนครเจิ้นชุย มีค่าเพียงสัตว์ที่ใช้ในการบูชายัญ เท่านั้นหรือไงกัน?
ฉับพลันนั้น ฉิงฮั่นท่าทีเปลี่ยนไปต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลู่หยุนรู้เพียงว่ามีปลายดาบประกายสีม่วงตวัดพาดบนบ่าใกล้คอของเขาอย่างรวดเร็ว