เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 21 หมูตัวผู้
บทที่ 21 หมูตัวผู้
ตำหนักของนายอำเภอเมืองวารีทมิฬเองก็อยู่ในนี้เช่นกัน มันดูดีกว่าตำหนักเจ้าเมืองเสียอีก และทั้งสองตำหนักที่ว่ามานี่ก็ดูดีกว่าตำหนักของลู่หยุนเสียอีก
ในสายตาของลู่หยุน สิ่งเดียวที่พิเศษเกี่ยวกับที่นี่ก็คือฮวงจุ้ยของมันซึ่งทำให้บรรยากาศของขุนนางดูจางลง ในขณะที่ตำหนักของนายอำเภอเองก็มีเค้าโครงฮวงจุ้ยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตามมันเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่พอสมควร ดังนั้นมันจึงดูเหมือนวังมากกว่าที่อยู่อาศัยของพวกข้าราชการ
“อ่า ข้ารอมานานแล้ว โม่วยี่ที่รักของข้ามาถึงแล้ว! มาเลยมาคุยกันเลยดีไหม หืม? เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน?” ภูเขาก้อนเนื้อเข้ามาต้อนรับพวกเขา
ลู่หยุนอ้าปากค้างที่ชายร่างใหญ่ที่น่าขัน มันไม่เป็นการพูดเกินจริงเลยที่จะอธิบายว่าเขาเป็นภูเขาก้อนเนื้อเดินได้… ไม่ก็อะไรบางอย่าง
ความสูงและขนาดตัวอยู่ที่ 8 ฟุต แถมยังมีสายตาที่น่าขบขันอีก เขาน่าจะหนักประมาณอย่างน้อยก็ 400 กิโลกรัมเห็นจะได้ ใบหน้าใหญ่ราวกับลูกรักบี้ที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่างได้ ดวงตาของชายผู้นี้เหมือนกับจุดเล็ก ๆ บนผิวหน้า
“นี่ นี่คือนายอำเภอหลี่ยูวไฉแห่งเมืองวารีทมิฬงั้นเหรอ?” ลู่หยุนถามด้วยท่าทางไม่เชื่อสายตา
โม่วยี่พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อนางเห็นการแสดงออกของลู่หยุน
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกันล่ะ?” ภูเขาของมนุษย์เห่าอย่างดุเดือด “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้พูดแบบนั้นกับข้า?”
“เจ้าควรจะหุบปากนะ ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่” โม่วยี่โกรธเคือง หญิงสาวจงใจไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของลู่หยุน
“เฮ้! ข้าได้หมั้นเจ้ากับเจ้าเมืองวารีนภาไปแล้วนะโม่วยี่น้อย” ไขมันบนใบหน้าของหลี่ยูวไฉสั่นสะเทือนขณะที่เขาพูด
ท่าทางของโม่วยี่ดูสั่นเทาเล็กน้อย
“เจ้าหมั้นโม่วยี่กับเจ้าเมืองวารีนภางั้นเหรอ?” ลู่หยุนเบิกตา “ใครให้สิทธิ์เจ้าทำแบบนั้นกัน?”
“ใครน่ะหรือ? แน่นอนว่าคือองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ยังไงล่ะ!” หลี่ยูวไฉไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ในฐานะนายอำเภอของเขตนี้ ข้าสามารถจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับลูกน้องของข้าได้”
“โอ้?” ลู่หยุนกลืนเสียงหัวเราะ “ถ้าเป็นแบบนี้ข้าเองก็ควรจะจัดงานแต่งงานของเจ้าให้เร็วที่สุดนะ” เขาชี้ไปที่ฝูงหมูที่อยู่หัวมุมถนน
ดวงตาของโม่วยี่เบิกกว้าง สีหน้าของนางถูกเติมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้สารเลว!” หลี่ยูวไฉตัวสั่นด้วยความโกรธ “เจ้ากล้าล้อเล่นข้าเรอะ! คิดว่าข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าเพราะว่ามีเจ้าเมืองคนนี้อยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าสินะ ทหารมาลากไอ้หมอนี่ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ขอรับนายท่าน!” นายทหารได้กำลังจะทำอะไรบางอย่าง
“ช้าก่อน!” โม่วยี่รู้ว่าลู่หยุนกำลังวางแผนบางอย่าง และได้หยุดคำสั่งของหลี่ยูวไฉเอาไว้
“อะไร? เจ้ากำลังคิดจะช่วยคู่รักของเจ้าคนนี้งั้นเหรอ? นี่เป็นการท้าทายผู้มีอำนาจอย่างยิ่ง! แม้จะเป็นเจ้าเมืองแต่ข้าก็ไม่ให้อภัยหรอกนะ” หลี่ยูวไฉพยายามเอื้อมมือไปด้านหลัง หากแต่แขนของเขาสั้นเกินไปที่จะทำได้ “จับตัวเขาไป!” เขาสั่งด้วยหน้าบึ้ง
โม่วยี่ตะโกนอย่างไม่มีคำพูด ท้าทายคนที่เหนือกว่างั้นหรือ? หมอนี่ก็แค่อยากจะจับตัวลู่หยุนเท่านั้นแหละ หญิงสาวถอยออกมาเพราะคิดว่าเขามีพลังที่แกร่งกว่าที่นางคิด
“เจ้านี่มันบ้าดีเดือดเสียจริง หลี่ยูวไฉนายอำเภอแห่งเมืองวารีทมิฬ” ลู่หยุนถือตราคำสั่งออกมา ตราที่เจ้าเมืองหนุ่มถืออยู่คือตราที่ใช้เรียกทหารทมิฬ และมันเองก็เป็นตราที่เอาไว้ใช้บ่งบอกถึงตัวตนในตำแหน่งเจ้าเมืองเขตสนธยาด้วยเช่นกัน “ นายอำเภอกล้าสั่งจับเจ้าผู้ครองเขตสนธยาได้อย่างไรกัน นี่คือการก่อกบฏ!”
ภูเขาแห่งเนื้อตัวแข็งทื่อ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลืมตา แต่พวกเขาก็เห็นแค่เส้นสองเส้นเท่านั้น “เจ้าเป็นใครกัน?!” หลี่ยูวไฉตัวสั่น เขามีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เจ้าคิดว่าข้าถือตราประจำกองทัพทมิฬไว้แล้วจะเป็นใครอื่นได้อีกล่ะ? พิธีสาบานตนที่ริมน้ำสนธยาเองก็ใกล้เข้ามาแล้ว เพราะงั้นข้าเลยจะมาที่นี่สักหน่อย” ลู่หยุนยกตราด้วยมือเดียวแล้ววางมืออีกข้างไว้ด้านหลัง
หลี่ยูวไฉชี้นิ้วสั่นเทาที่โม่วยี่ “ เจ้า เจ้าหลอกข้า!”
“ข้าไม่ได้ทำสักหน่อย” เจ้าเมืองสาวยิ้มเยาะ “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าหยุดหรอกเหรอ? เจ้าไม่ได้ฟังเองนี่นะ”
“การท้าทายผู้มีอำนาจสูงกว่าถือว่าเป็นการกบฏ” ลู่หยุนกำตราในมือของเขาไว้แน่น “ชัดเจนเลยว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี เพราะงั้นข้าขอสั่งให้ทหารทุกนายช่วยกันจับตัวหลี่ยูวไฉและริบตำแหน่งของเขาออกซะ เจ้าเมืองวารีทมิฬจะควบตำแหน่งนี้ไปด้วยระหว่างที่หาคนใหม่”
ลู่หยุนส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าได้ไปเห็นสิ่งที่งดงามบางอย่างเข้า ข้าคิดว่ามันถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกับหลี่ยูวไฉราวกับกิ่งทองใบหยก ดังนั้นข้าจึงขอประกาศให้วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขา!”
ขณะนั้นเอง มันก็ได้มีเจ้าของเล้าหมูที่กำลังต้อนฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาผ่านหน้าตำหนักนายอำเภอพอดี คนผู้นั้นกำลังเดินผ่านไปด้วยความหวาดกลัวและพยายามเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ลู่หยุนชี้ไปที่หมูตัวหนึ่งของเขา
“นั่นมันหมูตัวผู้นะท่านชาย” โม่วยี่พูดขึ้นมาและยิ้มตอบกลับ หญิงสาวไม่ได้คาดหวังว่าลู่หยุนจะสร้างความอับอายให้กับหลี่ยูวไฉด้วยการใช้ฐานะของเจ้าผู้ครองเขต เขามีอำนาจในการขับไล่ข้าราชการของเขต การจัดงานแต่งให้ลี่ยูวไฉกับหมูจึงเป็นการล้างแค้นให้กับนางไปในตัวด้วยเช่นกัน
“หมูตัวผู้งั้นเหรอ?” ลู่หยุนชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะตีสีหน้าจริงจัง “งั้นก็เยี่ยมเลย หมูตัวผู้ถือว่าเหมาะกับหลี่ยูวไฉ เจ้าตรงนั้นน่ะไปเอาศิลาวิญญาณมาเป็นสินสอดของเจ้าบ่าวหน่อยซิ แล้วเดี๋ยวข้าจะเล่นเพลงที่เหมาะสมให้”
คนเลี้ยงหมูเป็นเพียงคนธรรมดาและไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เขาตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดของลู่หยุนเพราะสัมผัสได้ถึงความอาฆาตจากดวงตาของหลี่ยูวไฉ แม้ว่ามันจะเล็กแค่ไหนก็ตาม
“ได้โปรดเมตตาเถิดท่าน! ข้ายังไม่อยากตาย!” คนเลี้ยงหมูกำลังจะหลั่งน้ำตาออกมา
“ปล่อยหมูไว้แล้วไปจากที่นี่ซะ” โม่วยี่สบประมาทใบหน้าที่กลัวของเขา ชายผู้นั้นโล่งใจแล้วรีบวิ่งหนีไปโดยไม่คิดชีวิต
เมื่อเหล่าเทพเจ้าต่อสู้กันมนุษย์ย่อมต้องทนทุกข์ทรมาน หากชายคนนั้นยอมรับหินวิญญาณของลู่หยุน นายอำเภอก็จะตามมาจัดการเขาในภายหลัง ดังนั้นสิ่งที่เจ้าเมืองสาวคนนี้ได้ทำลงไปจึงเป็นการช่วยเขาเอาไว้พอดิบพอดี
“ถ้างั้น เจ้าคือลู่หยุน!” หลี่ยูวไฉตัวสั่นเทา “เจ้าคิดจะริบตำแหน่งของข้าจริง ๆ หรือ?”
“เขาไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นหรอก” เสียงเบา ๆ เดินทางออกมาจากประตูหน้าตามด้วยชายหนุ่มในชุดดำพร้อมกับคนรับใช้บางคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา หน้าตาของคนผู้นี้ดีพอควร หากแต่ผิวของเขากลับมีแผลเป็นที่หนาและน่าเกลียด มันดูเหมือนว่าตะขาบกำลังคลานไปทั่วใบหน้าของเขา
“เหลือเวลาอีกครึ่งปีในตำแหน่งของท่าน คุณชายลู่ ท่านไม่มีอำนาจลิดรอนถอนตำแหน่งข้าราชการจากราชสำนักใด ๆ ทั้งนั้น” ชายหนุ่มพูด การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเป็นการเยาะเย้ย
ลู่หยุนขมวดคิ้ว “ อย่างนั้นเองเหรอ?” เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ แล้วเจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงได้แทรกแซงกิจการภายในเขตสนธยาได้?”
“ข้าคือตัวแทนจากองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และได้สิทธิ์เต็มที่ในการแทรกแซงงานของท่าน” ชายหนุ่มเยาะเย้ย “และข้าก็เป็นคนจัดการพิธีสาบานตนในครั้งนี้ ไม่ใช่ท่าน”
ใบหน้าของโม่วยี่เริ่มมีอาการหวั่นไหว หญิงสาวไม่ได้คาดหวังว่าจะมีทูตผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองของนาง!
“รู้สึกว่าจะมีคนอย่างเจ้าในเมืองสนธยาด้วยนี่นะ” ลู่หยุนตอบโต้หลังจากหยุดชะงักงัน
“เฟิงลี่?” ชายหนุ่มเย้ยหยัน “ เจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ถูกส่งมาที่นี่โดยรัชทายาท เขาไม่ใช่ทูตจากองค์จักรพรรดิ แต่ข้าคือตัวแทนท่าน ข้ามีตำแหน่งและการยืนยันทำให้ข้าเป็นทูตที่แท้จริง”
“เอาล่ะ” ลู่หยุนพยักหน้า “ถ้างั้น ข้าก็คงไม่สามารถริดตำแหน่งหลี่ยูวไฉได้สินะ แต่อย่างน้อยก็จัดการหมั้นให้เขาได้ หรือว่าไม่กันนะ?”
“ท่านกำลังจะจัดงานแต่งกับหมูตัวผู้ให้เขางั้นหรือ?” ดวงตาที่เบิกกว้างของทูตทำการจับลู่หยุนด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ
“หลี่ยูวไฉปรารถนาที่จะหมั้นเจ้าเมืองวารีทมิฬกับเจ้าเมืองวารีนภา ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็เลยจัดงานหมั้นของเขากับหมูให้ หรือว่าข้าจะไม่มีอำนาจทำแบบนั้นกันนะ?” ลู่หยุนพูดอย่างง่ายดาย “ ถ้าข้าทำอย่างนั้นไม่ได้ … ”
เจ้าเมืองหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ถ้างั้นข้าก็จะเรียกทหารจากแดนเหนือกว่าล้านนายเข้ามาที่นี่แล้วจัดการคนที่ขัดขวางสักหน่อย พวกเรามาตายกันเถอะ”
เหรียญคำสั่งในมือของเขาส่องแสงสีทองจาง ๆ
“เจ้ามันบ้าเหมือนกับคนอื่นในตระกูลจริง ๆ เลยนะ” ชายหนุ่มดูทึ่ง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วยเหลือที่นั่งไว้ให้ข้าในงานด้วยล่ะ” เขาไม่ได้คิดคำขู่ของลู่หยุนจริงจังสักเท่าไหร่
“ไม่เอาหมูตัวผู้ได้ไหม?” หลี่ยูวไฉอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “อย่างน้อยก็เป็นหมูตัวเมียก็ยังดี อย่างน้อยข้าก็จะได้ใช้วิชาแปลงร่างให้นางกลายเป็นสาว ๆ น่ารัก”
“ไม่!” ลู่หยุน โม่วยี่ และคนอื่น ๆ ปฏิเสธขึ้นพร้อมกัน ความสิ้นหวังปรากฏในดวงตาของหลี่ยูวไฉ
“คนที่เข้ามาในงานได้มีแค่เจ้าเมืองวารีทมิฬเท่านั้น คนอื่น ๆ ห้ามเข้า” ชายหนุ่มล้างคอของเขาและเปลี่ยนหัวข้อ “ข้าเป็นคนส่งคำเชิญให้เองเจ้าเอง”
“ท่านเหรอ?” โม่วยี่ขมวดคิ้ว มีคนต้องการยืมมือนางในการสังหารลู่หยุน และนางต้องรับผิดชอบมัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไปแล้ว หลี่ยูวไฉดันทำพลาดเองที่ไปเหยียบกับดักของลู่หยุนเข้าให้
เจ้าทูตนี่คิดจะทำอะไรกันน่ะ?
“เจ้าเมืองทั้ง 7 ภายใต้อาณาเขตของที่นี่ได้มารวมตัวกันแล้ว” ความตื่นเต้นแต่งแต้มใบหน้าของชายหนุ่ม “เอาล่ะ ไปตรวจสอบสุดยอดค่ายกลอนันต์กันดีกว่า”
“สุดยอดค่ายกลอนันต์?” ลู่หยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มกำลังคุยเรื่องภูเขาลูกนี้กับโม่วยี่ ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ “เอาล่ะ” เขาตกลงก่อนที่โม่วยี่จะทันได้เตรียมใจ “ข้าคนนี้คงไม่อาจขัดคำสั่งทูตพิเศษได้”
ชายหนุ่มหยุดชั่วคราว “ เจ้าจะไปด้วยงั้นเหรอ?”
“หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าก็จะเรียกกองทหารทมิฬออกมาเพื่อจัดการทุกอย่าง” ลู่หยุนหยุด ก่อนจะพูดต่อ “ข้าเองก็สนใจสมบัติในนั้นเหมือนกัน”
“อย่างนี้เองสินะ” ชายหนุ่มพูดกับตัวเอง