เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 500 กองกำลังกลุ่มหนึ่งล้อมบ้านตระกูลเย่
เย่หย่วนซานเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโส จะดีจะร้ายก็เคยอยู่ในตำแหน่ง แม้ในหมู่ลูกหลานรุ่นหลังจะไม่มีคนโดดเด่นปรากฎตัวออกมา แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ฟังรายงานของยาม แม้เย่หย่วนซานจะขมวดคิ้วแต่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก เดินมุ่งหน้าไปทางประตูด้วยท่าทีนิ่งเรียบอย่างชัดเจน
ตลอดทางที่เดินผ่านไม่มีใครสงสัยอะไร คนที่เดินตามเย่หย่วนซานไปยังประตูบ้านเดิมตระกูลเย่ยังมีฟ่านชิงอวี่แห่งตระกูลฟ่านอยู่ด้วย พวกเขาสองคนนับว่าค่อนข้างสนิทสนมกันทีเดียว ความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ก็ไม่เลว ตอนนี้ตระกูลเย่มีแนวโน้มว่าจะรุ่งเรืองขึ้นมาย่อมไปมาหาสู่กันมากขึ้น เทียบดูแล้วนับว่าเย่หย่วนซานเป็นคนที่ตาสว่างแล้ว
ตลอดทาง เย่หย่วนซานและฟ่านชิงอวี่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย พวกเขาเป็นชายชราที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่พัฒนาตระกูลของตนจนยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งสองล้วนคาดเดาได้ว่าการที่ตระกูลเย่ถูกกองกำลังถือปืนล้อมเอาไว้จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลหลีแน่นอน
หลีเจี่ยนผู้อาวุโสของตระกูลหลีเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงคนหนึ่ง เมื่อปีนั้นตอนที่เย่หย่วนซานยังอยู่ในตำแหน่งก็ได้สัมผัสกับนิสัยของหลีเจี่ยนมาแล้ว เป็นคนที่กล้าตบโต๊ะถลึงตาใส่ผู้นำสูงสุด ทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวอยู่สามส่วนจริงๆ เรื่องนี้เกรงว่าจะรับมือได้ยากแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ดีต่อตระกูลเย่ เย่หย่วนซานก็คิดดีแล้วว่าจะไม่ให้พัวพันไปถึงหลายชายของตน และจะปกป้องเย่เทียนเฉิน เขาเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเย่ของตน
“จะต้องเป็นคนของตระกูลหลีแน่นอน หลีเจี่ยนแม้จะมีนิสัยเลือดร้อน แต่นับว่าเป็นคนรู้จักแยกแยะ มีปัญหาอย่างเดียวก็คือหลีซิ่นที่เป็นหลานชายของเขาที่เขาปกป้องถือหางเป็นอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี จะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง” ฟ่านชิงอวี่กล่าวเตือนเย่หย่วนซาน
บางทีใครหลายคนคงคิดว่าการที่เย่เทียนเฉินปฏิเสธฟ่านรั่วเซวียนซึ่งเป็นการหักหน้าฟ่านชิงอวี่ ต่อให้ฟ่านชิงอวี่และเย่หย่วนซานจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันขนาดไหนก็ต้องแตกหักกันบ้าง แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ยังไม่ส่งผลกระทบถึงมิตรภาพระหว่างพวกเขา เมื่อปีนั้นฟ่านชิงอวี่และเย่หย่วนซานเคยผ่านการสู้รบมาด้วยกัน กลับมาจากความเป็นความตายด้วยกัน ความสัมพันธ์จะฝังลึกไปถึงไหนก็พูดได้ไม่ชัดเจน แต่ที่สำคัญก็คือทั้งสองเป็นคนฉลาดและเป็นคนเข้าใจเหตุผล เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล หลายเรื่องก็ไม่อาจให้พวกเขาตัดสินใจได้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโทษใคร
“ผมจะจัดการอย่างระมัดระวังแน่นอน แต่ดูจากความเร็วในการตอบโต้ของหลีเจี่ยนแล้วเขาคงต้องการจับตัวเทียนเฉินไป ต่อให้ต้องบีบบังคับก็จะจับตัวไปให้ได้แน่นอน เขาเป็นคนแบบนั้นแหละ มีท่าทีแข็งกร้าวมาก กลัวก็แต่ว่าจะไม่ฟังเหตุผลอะไร” เย่หย่วนซานพูดอย่างรู้สึกกังวล
ในความเป็นจริง หากจะเปรียบเทียบกันเรื่องอำนาจของตระกูล ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบเคียงตระกูลหลีได้เป็นอันขาด รวมกับนิสัยเลือดร้อนของหลีเจี่ยนซึ่งเป็นที่โด่งดังในหมู่บุคคลระดับสูงของทางการทั้งหมด เย่หย่วนซานไม่ใช่คู่มือของเขาจริงๆ แม้แต่ท่านผู้นำสูงสุดก็ยังกล้าตบโต๊ะใส่ เกรงว่ามองไปทั่วทั้งประเทศจีนคงมีเพียงหลีเจี่ยนคนเดียวที่มีความกล้าขนาดนี้ ทำให้คนอื่นได้แต่มองอย่าโง่งม ตอนนี้หลีเจี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้แต่จะเตือนล่วงหน้าก็ไม่มีสักคำ อยู่ดีๆ ก็ถึงกับส่งกองกำลังของตัวเองพร้อมอาวุธปืนมาล้อมตระกูลเย่เอาไว้ นี่ยังรุนแรงยิ่งกว่าคนของตระกูลลั่วเมื่อตอนนั้นอีก ไม่รู้ว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายอะไรขึ้นหรือไม่ จะอย่างไรเย่หย่วนซานก็คิดดีแล้ว ถ้าหากมีเรื่องจริงๆ เขาจะรับผิดชอบสุดความสามารถ จะไปอธิบายกับหลีเจี่ยนเพียงลำพัง ไม่ให้เกี่ยวพันไปถึงรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ของตนโดยเฉพาะเย่เทียนเฉิน
“ตอนนั้นที่เทียนเฉินสั่งสอนหลีซิ่นไม่ควรรุนแรงเกินไปเลย ควรรู้จักหยุดซะบ้าง” ฟ่านชิงอวี่เอ่ยปากพูด
เย่หย่วนซานได้ฟังคำพูดของฟ่านชิงอวี่ก็ส่ายหน้า รู้ว่าสหายวัยชราคนนี้ดีต่อเขา ตอนนั้นเขาต้องการหยุดเย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานชายจริงๆ จะอย่างไรเขาก็รู้ว่าหากฆ่าหลีซิ่นไปจริงๆ ปัญหาจะต้องใหญ่โตแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์เลือดร้อนของหลีเจี่ยนเลย แค่เรื่องที่หลีซิ่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลี หากคนคนนี้ตายไป เป็นไปได้มากว่าหลีเจี่ยนจะก่อเรื่องสะเทือนลั่นฟ้า ตามปกติตระกูลเย่รับผลเช่นนี้ไม่ไหวแน่นอน แต่คำพูดนั้นของเย่เทียนเฉินกลับทำให้เย่หย่วนซานเปลี่ยนใจ
“ถ้าหากแม้แต่หลีซิ่นคนเดียวก็ยังไม่กล้าฆ่า แล้วตระกูลเย่ของพวกเราจะสั่นสะเทือนแผ่นดินจีนได้อย่างไร?”
คำพูดประโยคนี้น่าเกรงขามขนาดไหนกัน เผด็จการขนาดไหนกัน คนในงานที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างต่างรู้ถึงพื้นเพของหลีซิ่นและหวาดกลัวนิสัยเลือดร้อนของหลีเจี่ยนทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่อยากล่วงเกินหลีซิ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหารหลีซิ่นเลย มีแค่เย่เทียนเฉินที่ไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ความไม่สนใจของเขาไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติ เย่หย่วนซานรู้สึกได้ หลานคนนี้จะไปได้ไกลกว่าที่เขาคิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมตนจะไม่สนับสนุนเขาล่ะ?
อายุล่วงเลยมาถึงวัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว เลือกที่จะมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานชายไปแล้ว เช่นนั้นก็ต้องเชื่อใจและสนับสนุนเขาให้สุดความสามารถถึงจะถูก ดังนั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินพูดประโยคนี้ เย่หย่วนซานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเชื่อว่าหลานชายของตนรู้จักแยกแยะ
“ในเมื่อมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้เย่เทียนเฉินแล้ว ผมก็ต้องสนับสนุนเขาและเชื่อมั่นในตัวเขา!” เย่หย่วนซานพูดด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินยังไม่รู้ว่าบ้านเดิมตระกูลเย่ถูกกองกำลังชั้นยอดสามสิบกว่าคนพร้อมด้วยอาวุธปืนล้อมเอาไว้แล้ว คนเหล่านี้มาเพื่อจับเขาโดยเฉพาะ แขกคนอื่นๆ ของบ้านเดิมตระกูลเย่ก็ไม่รู้เช่นกัน ต่างยุ่งอยู่กับการสานสัมพันธ์ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่ว่าใครก็ไม่อยากพลาด
ตอนนี้เย่เทียนเฉินกำลังเสาะหาของกินอร่อยๆ พลางหลบเลี่ยงการตามหาของซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียน อาหารเลิศรสพวกนี้นับเป็นของชั้นยอดในดาวสิ้นโลก ที่ดาวสิ้นโลกก็เหมือนกับโลกทุรกันดารแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะหาอาหารแบบนี้ได้ แน่นอนว่าในโลกนั้นมียาครอบจักรวาลที่ไม่สามารถหาได้ในโลกนี้อย่างเช่นหญ้ากระดูกมังกรซึ่งเป็นสมุนไพรเซียน
“สวัสดีครับ ผมคือเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันหรือ?” เย่หย่วนซานเดินมาถึงประตูบ้านเดิมตระกูลเย่ก็เห็นหัวหน้ากองกำลังอายุน้อยคนหนึ่งที่เป็นคนสนิทของหลีเจี่ยน เอ่ยปากถามอย่างสงบนิ่ง
หัวหน้ากองกำลังคนนั้นเป็นชายร่างผอมอายุประมาณ 30 ปี สูงประมาณ 180 เซนติเมตร สวมชุดทหารเรียบร้อย มีมาดของทหารอยู่เต็มเปี่ยม ไม่มีการพูดจาล้อเล่น มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขามองมาทางเย่หย่วนซานและฟ่านชิงอวี่ที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง เขาย่อมเป็นผู้มีสายตาเฉียบแหลม ชายชราสองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่เพราะต้องการจับตัวเย่เทียนเฉิน ไม่ได้ต้องการล่วงเกินทุกคน!
จะอย่างไรนี่ก็เป็นงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ ในหมู่ผู้มาเยือนมีคนใหญ่คนโตอยู่ไม่น้อย ต่อให้หลีเจี่ยนจะร้ายกาจขนาดไหน จะอารมณ์รุนแรงดุเดือดขนาดไหนก็ไม่กล้าล่วงเกินคนในงานทั้งหมดหรอก? แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะยืนอยู่ข้างตระกูลเย่ นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีใครวิ่งตามอย่าโง่งมแน่นอน หลายครั้งที่การวางตัวเป็นคนนอกดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
พรึ่บ!
หัวหน้ากองกำลังอายุน้อยทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพเย่หย่วนซานและฟ่านชิงอวี่ จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ผมชื่อหวังเฟิง เป็นหัวหน้ากองกำลังคนสนิทของท่านหลีเจี่ยน ที่ผมมาในครั้งนี้เพราะมาพาตัวเย่เทียนเฉินไป เขาทำร้ายหลีซิ่นที่เป็นหลานชายของท่านหลีของพวกเรา โปรดอำนวยความสะดวกด้วยครับ”
เย่หย่วนซานชะงักไป แม้หัวหน้ากองกำลังที่ชื่อหวังเฟิงคนนี้จะมากมารยาท แต่เขารู้ว่าคนเหล่านี้ใช้ไม้อ่อนก่อนไม้แข็ง เมื่อดูจากท่าทีแล้ว กองกำลังทั้งกอง แต่ละคนถืออาวุธครบมือมาล้อมตระกูลเย่ วันนี้ถ้าไม่ได้ตัวเย่เทียนเฉินกลับไปหวังเฟิงคงไม่ยอมจบ
“เรื่องเป็นมาเป็นไปยังไงพวกคุณรู้ชัดเจนหรือเปล่า? มาจับคนที่บ้านตระกูลเย่ของผมแบบนี้ จะไม่เห็นผมเย่หย่วนซานอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว จะไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเกินไปหรือเปล่า?” เย่หย่วนซานพูดเสียงขรึม
“เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ เจตนาของท่านหลีคือจับเย่เทียนเฉินไปอยู่ต่อหน้าท่านก่อนแล้วท่านจะสอบสวนด้วยตัวเอง” หวังเฟิงพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
“สอบสวน? งั้นก็บอกให้เขาสอบสวนหลีซิ่นหลานชายของตัวเองซะก่อนเถอะ มาก่อเรื่องถึงตระกูลเย่ในงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของผม หลีเจี่ยนจะไม่รับผิดชอบสักหน่อยเหรอ?” เย่หย่วนซานถามกลับด้วยความโกรธเคือง
“ผู้อาวุโสเย่ ผมยังคงยืนยันประโยคเดิม ผมมาเพื่อจับตัวเย่เทียนเฉิน ส่วนเรื่องเหล่านี้ที่คุณพูดผมไม่ทราบ ถ้าคุณอยากทราบก็สามารถไปพบท่านหลีด้วยกันกับผมได้” หวังเฟิงยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมจะเกษียณแล้ว แต่หลีเจี่ยนก่อเรื่องใหญ่ในงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของผมแบบนี้ ผมจะต้องตอบแทนคืนเป็นสิบเท่าแน่นอน” เย่หย่วนซานพูดอย่างดุดัน
เย่หย่วนซานโกรธจริงๆ แล้ว งานวันเกิดอายุ 75 ปีของตน เดิมทียังรู้สึกดีใจ ไหนเลยจะรู้ว่าหลีซิ่นจะวิ่งมาก่อเรื่อง เย่เทียนเฉินลงมือจนเกือบจะสังหารหลีซิ่นไปแล้ว ตอนนี้หลีเจี่ยนผู้เป็นปู่ของหลีซิ่นกลับส่งคนมาล้อมบ้านเดิมตระกูลเย่ของตนไว้ คนในกองกำลังที่เขาส่งมาแต่ละคนต่างมีอาวุธครบมือ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? นี่ยังทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าตอนที่คนตระกูลลั่วบุกมาที่ตระกูลเย่ซะอีก วันนี้เป็นงานฉลองวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซาน เขาไม่อาจเสียหน้าได้ ตระกูลเย่ไม่อาจเสียหน้าได้
หวังเฟิงชะงักไป แม้นิสัยของหลีเจี่ยนจะดุเดือดเลือดร้อน ถ้าหลีเจี่ยนอยู่ที่นี่เกรงว่าคงบุกเข้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะมาพูดจามากมายขนาดนี้ ต่อให้เย่หย่วนซานขวางอยู่เบื้องหน้าก็หยุดการเยื้องย่างของหลีเจี่ยนไม่ได้ นี่คือนิสัยบ้าเลือดของหลีเจี่ยน
แต่หวังเฟิงกลับเป็นคนที่ทำอะไรรู้จักแยกแยะ เขาติดตามข้างกายหลีเจี่ยนเป็นหัวหน้ากองกำลังมา 10 ปีแล้ว ถ้าไม่มีหลีเจี่ยนก็ไม่มีหวังเฟิงในวันนี้ ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างเขาต้องใคร่ครวญแทนหลีเจี่ยน ทุกคนที่อยู่ในบ้านตระกูลเย่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตมีตำแหน่ง ถ้าบุกเข้าไปจับคนจริงๆ แล้วเย่เทียนเฉินไม่ยอมถูกจับโดยไม่สู้จนทำให้คนอื่นบาดเจ็บ เกรงว่าจะทำให้ทุกคนโกรธ ถึงตอนนั้นคงวุ่นวายไม่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเฟิงก็มองไปที่เย่หย่วนซานแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสเย่ คราวนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 75 ปีของคุณ ผมไม่อยากมีปัญหา แต่คำสั่งของท่านหลีก็จำเป็นต้องทำ ดังนั้นขอให้คุณมอบตัวเย่เทียนเฉินออกมา ไม่งั้นผมคงต้องบุกเข้าไปจับคนแล้ว”
“จะบุกเข้ามาจับคนในตระกูลเย่ของฉัน เกรงว่ากองกำลัง 30 กว่าคนนี้คงไม่พอ!”
ตอนนี้เอง หวังเฟิง เย่หย่วนซานและฟ่านชิงอวี่ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน หวังเฟิงขมวดคิ้ว มองไปยังกำแพงรั้วบริเวณประตูบ้านเดิมตระกูลเย่ พบว่าเย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนกำแพง มือขวาถือปีกไก่ย่างชิ้นหนึ่งค่อยๆ ลิ้มรสไปอย่างเชื่องช้า มองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม