เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 63 เหยียบหน้า
“อ๊าก…หน้าฉัน…”
สองมือของฉินเหิงกุมอยู่ที่ใบหน้าของตน เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินใช้เท้าเหยียบลงบนจมูกเขาอย่างรุนแรง ทำให้จมูกของเขาถูกเหยีบจนหัก เลือดสดๆ ไหลออกมาจากจมูกและปาก ดูแล้วน่าอนาถอยู่บ้าง แล้วก็ทำให้ผู้คนต้องตกใจอยู่บ้าง
เห็นว่าเย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงอย่างหนักโดยที่ไม่พะว้าพะวงเลยสักนิด ถึงกับจะอัดให้ตาย เหล่าคุณชายที่อยู่ที่นี่ต่างก็อึ้งจนนิ่งไปแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นที่พอมีฐานะหน้าตา เบื้องหลังก็มีอำนาจเล็กน้อย ย่อมเข้าใจว่าคนเช่นฉินเหิงนั้นเป็นเช่นไร ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ดังนั้นอำนาจอิทธิพลที่ต่ำกว่าตระกูลชั้นหนึ่งลงมา หรือกระทั่งอำนาจอิทธิพลที่ทัดเทียมกับตระกูลฉิน เกรงว่าจะไม่กล้าลงมือกับฉินเหิงอย่างโหดร้าย
พอเย่เทียนเฉินปรากฏตัว ก็อัดฉินเหิงที่หยิ่งยะโสจนหัวร้างข้างแตก เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน หลายคนกำลังคิดว่า เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงสาหัสเช่นนี้ ไม่กลัวเจอปัญหาใหญ่หรือ? ไม่กลัวตระกูลเย่ต้องเจอกับวิกฤตฆ่าล้างตระกูลจริงๆ หรือ? ต้องทราบว่าตระกูลฉินมิอาจนำไปเทียบกับตระกูลลั่วได้ หน้าตาฐานะแตกต่างกับโดยสิ้นเชิง
“เย่เทียนเฉิน แกไอ้ขยะ ไอ้ลูกเต่า กล้าอัดฉัน ฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกไม่เหลือแม้แต่ไก่สักตัวเดียว…” ฉินเหิงถูกอัดจนโกรธ ตอนแรกคิดจะโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน ขอแค่ทำให้เย่เทียนเฉินปล่อยตนเองไปได้ ภายหลังยังมีวิธีเก็บกวาดฝ่ายตรงข้าม ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ ใครกล้าหาเรื่องเขา ก็ต้องโดนอัดสักตั้ง
ปัง ปัง ปัง!
เผชิญกับคำด่าต่อเนื่องของฉินเหิง เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรสักคำ แค่ใช้เท้ากระทืบหน้าของฉินเหิงสามครั้งต่อเนื่อง ถ้าหากไม่ใช่ว่าคิดจะเก็บกวาดตระกูลฉินเป็นลำดับต่อไป เย่เทียนเฉินคงไม่ยั้งแรงกระทืบไว้ ครั้งเดียวก็คงส่งฉินเหิงไปสู่ความตายตั้งนานแล้ว
ฉินเหิงสลบคาพื้น ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดๆ สันจมูก สันกราม กระดูกบนใบหน้า และฟัน ล้วนถูกเย่เทียนเฉินกระทืบจนหัก ถูกกระทืบจนใบหน้าพิการ ดูแล้วน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เย่เทียนเฉินปัดฝุ่นบนมือ เดินไปยังที่นั่งของตนเองโดยไม่มองฉินเหิงสักนิด แล้วเริ่มต้นกินข้าวต่อไป ทำให้เหล่าคุณชายทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ตกตะลึงจนคางแทบล่วง
เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงอย่างรุนแรง อัดเขาจนสลบไป เดิมทีก็เป็นปัญหาใหญ่ ว่ากันตามปกติแล้วจะต้องรีบหนีไปจากสถานที่เกิดเหตุและซ่อนตัว กระทั่งไม่กล้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ จะอย่างไรอำนาจของตระกูลฉินก็ยิ่งใหญ่มาก ส่วนสำคัญที่สุดก็คือผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่ในมือ นี่เป็นความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ ตำแหน่งของผู้กุมอำนาจคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ไม่มีอำนาจที่มีตำแหน่งเดียวกัน ผู้กุมอำนาจก็ยังอยู่เหนือกว่าผู้ไม่มีอำนาจมาก
“สะ…สหายเย่ คุณ คุณรีบไปเถอะ ตระกูลฉินจะส่งคนมาเร็วๆ นี้แน่…” หลูวั่งเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เปิดปากพูดเสียงเบา
พลั่ก!
หลูวั่งถูกเย่เทียนเฉินตบจบตัวลอย เพิ่งจะถูกฉินเหิงตบไปอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนนี้ก็มาถูกเย่เทียนเฉินตบโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีอีก คนอื่นๆ ที่เหลือเห็นดังนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม? หรือว่าเย่เทียนเฉินจะหยิ่งยะโสเช่นเดียวกับฉินเหิง บางทีอาจกล่าวได้ว่าไม่รู้จักดีชั่ว? ผู้อื่นเตือนคุณด้วยความหวังดี ทำดีกับคุณ คุณกลับลงมือตบคนโดยไม่สนใจกาลเทศะ คนเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนโมโหและอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้น กินพริกหยวกเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหลูวั่งที่ล้มลงกับพื้นและมีใบหน้างงงวยอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “เป็นคนไม่ควรจะฉลาดจนเกินไป โดยเฉพาะการอวดว่าตนเองฉลาด คนที่ตีสองหน้า มักจะตายอย่างอนาถ แกคิดว่าที่แกแอบบอกกับตระกูลฉินเมื่อกี้นี้ฉันจะไม่รู้รึไง?”
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน คนที่เหลือก็ใช้สายตามองไปยังหลูวั่ง ส่วนหลูวั่งทั้งโกรธทั้งอายจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อสักครู่นี้เขาแอบโทรแจ้งกับตระกูลฉินจริงๆ แจ้งให้ตระกูลฉินรับรู้ บอกว่าฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินทำร้าย ให้ตระกูลฉินส่งคนมา
ที่หลูวั่งทำเช่นนี้นั้นทั้งเรียบง่ายและเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะถูกฉินเหิงตบ และเคียดแค้นชิงชังฉินเหิงมาก แต่เขาก็ไม่กล้าฟันธงว่าจะสามารถเก็บกวาดฉินเหิงได้หรือไม่ กล่าวอีกอย่างก็คือ เย่เทียนเฉินเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้หรือไม่ ยังไม่ทราบแน่ชัด
ครั้งนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนยับเยินเช่นนี้ หากว่าตระกูลฉินสืบหาขึ้นมา เขาหลูวั่งก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดชอบได้ หากว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเหิง หลูวั่งก็อาจจะตายได้ ตระกูลฉินก็มีอำนาจแข็งแกร่งและใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ร้ายกาจเสียยิ่งกว่าจระกูลลั่ว เพื่อที่จะป้องกันตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ต่อให้หลูวั่งถูกฉินเหิงตบ ก็ยังทำตัวเป็นสุนัขคอยส่งข่าวให้ตระกูลฉิน
“ยะ…เย่เทียนเฉิน คุณอย่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อีกสักครู่คนของตระกูลฉินก็จะมาแล้ว หากคุณไม่ไปตอนนี้ก็ไปไม่ได้แล้ว!” หลูวั่งมองเย่เทียนเฉินพลางเปิดปากกล่าวอย่างดุดัน
“นั่นมันเรื่องของฉัน แกเป็นคนปลิ้นปล้อนอย่างนี้ เชื่อว่าตอนที่คนของตระกูลฉินมาถึง แกคงจะรู้ว่าควรพูดยังไง” เย่เทียนเฉินมองหลูวั่งอย่างเย็นชาพลางกล่าว
เดิมทีเย่เทียนเฉินเกลียดชังคนประเภทหลูวั่งมาก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาหน่อยก็คือ คนอย่างหลูวั่งเลวทรามต่ำช้าจนเกินไป ถูกฉินเหิงตบไปหลายครั้ง โกรธแค้นชิงชังอยู่ในใจ ตอนที่ตนเองสั่งสอนฉินเหิง หลูวั่งก็แอบยินดีกับตัวเอง หลังจากที่สั่งสอนเรียบร้อยแล้ว ก็ยังกลัวจะเกี่ยวพันมาถึงตัวเขาเอง จึงรีบขายเย่เทียนเฉินทันทีโดยส่งข่าวให้ตระกูลฉิน หากคนอย่างหลูวั่งได้รับอำนาจล่ะก็ คงผิดต่อสวรรค์แล้ว
“แกทำได้แสบนักนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ…” หลูวั่งถือโอกาสฉีกกระดาษทิชชู่หลายแผ่น เช็ดคราบเลือดที่มุมปากพลางกล่าว
เย่เทียนเฉินยักไหล่ท่าทางไม่สนใจ แล้วนั่งลงกินข้าวต่อไป แต่ทั่วทั้งเป้ยเฟิงเซวียนนั้นเกิดความโกลาหลเรียบร้อยแล้ว เหล่าคุณชายที่มาพูดคุยซุบซิบกันที่นี่ ทุกคนต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนเหล่าพนักงานของเป้ยเฟิงเซวียนหลายคนก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกไป กระทั่งเถ้าแก่ร้านของเป้ยเฟิงเซวียนก็รีบขับรถออกไปจากเมืองหลวง
ฉินเหิงแห่งตระกูลฉิน ถูกทำร้ายจนอาการครึ่งเป็นครึ่งตายที่เป้ยเฟิงเซวียน เรื่องนี้จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน ทำให้ผู้คนช็อกยิ่งกว่าเรื่องลั่วเหลยและลั่วเทาแห่งตระกูลลั่วถูกฆ่าตายเสียอีก จะอย่างไรตำหน่งฐานะของตระกูลฉินก็ไม่เหมือนกัน เป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวงอย่างแท้จริง หากเกิดโทสะขึ้นมา เมืองหลวงก็จะต้องสั่นสะท้าน
คุณชายหลายคนต่างก็เลือกที่จะอยู่ต่อ คิดอยากจะดูความคึกคักสักหน่อย ตกลงแล้วฉินเหิงที่หยิ่งยะโสและใช้อำนาจบาตรใหญ่มาตลอดจะชนะ หรือเย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของเมืองหลวงและขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะไม่เอาไหนจะตอบโต้กลับไปได้ ช่างเป็นฉากอันยอดเยี่ยมฉากหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรอคอยจริงๆ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีคนตัดใจจากไป
ฉินเหิงกับบอดี้การ์ดผู้ติดตามทั้งสองของเขาต่างสลบเป็นตายอยู่ที่พื้น ไม่มีใครกล้าไปขยับพวกเขา ที่นี่นอกจากเย่เทียนเฉินก็ไม่มีใครกล้าสัมผัสฉินเหิงอีก หากใครไปแตะต้องฉินเหิงที่มีสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายแล้วตระกูลฉินสืบสวนลงมา ทุกคนคงมิอาจรับจุดจบจากการแส่หาเรื่องนี้ได้
“พนักงาน…ขอซุปมะเขือเทศไข่ไก่ที่หนึ่ง…” หลังจากที่เย่เทียนเฉินสำลักข้าวแห้งๆ ไปคำหนึ่งก็ตะโกนไปยังชั้นล่างเสียงดัง
“ไอ้…ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังมีกะจิตกะใจดื่มซุปไข่อีก…”
“ไม่นึกว่าจะยังไม่หนีไปอีก รอจนคนของตระกูลฉินมา เกรงว่าต้องดื่มซุปที่ทำจากสมองเขาแทนแล้ว”
“นี่ช่างเป็นการรอความตายที่สมกับชื่อเสียงจริงๆ”
“เย่เทียนเฉินกล้าทำร้ายฉินเหิง ก็มิอาจดูถูกได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาต้องตายแน่นอน เฮ้อ น่าเสียดาย!”
คุณชายหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะอัดฉินเหิงอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขารู้สึกยินดีอยู่ในใจ แอบร้องว่าดีกับตัวเอง แต่ว่าต่อจากนั้นก็ไม่มีใครมองเย่เทียนเฉินดีๆ สักคนเดียว พวกเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องตายแน่นอน รอจนคนของตระกูลฉินไล่ตามมาถึง คนที่จะถูกอัดจนครึ่งเป็นครึ่งตายหรือกระทั่งตายโดยศพไม่สมบูรณ์ต้องเป็นเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน
“พนักงาน… เอาซุปมะเขือเทศไข่ไก่เพิ่มอีกที่ ยกขึ้นมา…” เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าคุณชายรอบๆ ตะโกนลงไปยังชั้นล่างต่อไป
พนักงานทั้งหมดในเป้ยเฟิงเซวียนหนีไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมีคนกล้าเสิร์ฟซุปมะเขือเทศไข่ไก่ขึ้นไปให้เย่เทียนเฉินอีก และตอนนี้ก็มีเพียงเย่เทียนเฉินที่มีกะจิตกะใจตะโกนและดื่มซุปมะเขือเทศไข่ไก่
เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้านนอกของเป้ยเฟิงเซวียนก็มีเสียงไซเรนตำรวจดังขึ้น รถตำรวจหลายคันจอดอยู่หน้าประตูของร้านเป้ยเฟิงเซวียน ตำรวจพร้อมด้วยอาวุธและกระสุนปืนหลายสิบนายลงมาจากรถ ผู้นำก็คือหลูเซิ่งต๋าบิดาของหลูวั่ง คนที่แจ้งตำรวจก็คือหลูวั่งนั่นเอง เขาคิดว่าหากบิดาของตนสามารถพาตัวเย่เทียนเฉินไปได้ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ตระกูลฉินจะไม่สืบสาหาความกับตนเรื่องที่ฉินเหิงถูกทำร้าย ทั้งยังอาจจะมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลูของตนอีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นครั้งหนึ่ง
เสียงไซเรนรถตำรวจทำให้เหล่าคุณชายที่อยู่ในที่เกิดเหตุตกใจจจนสะดุ้ง หลายคนลงไปดูที่ชั้นล่าง พบว่ามีตำรวจติดอาวุธอยู่เต็มไปหมด ทุกคนเกิดความรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง หลายคนควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาที่บ้าน ต้องการจะทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ฉินเหิงถูกทำร้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผลกระทบไปด้วย
เย่เทียนเฉินไม่สนใจตำรวจติดอาวุธที่บุกทะลวงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงนั่งไขว่ข้างและบริการจุดบุหรี่ขึ้นสูบด้วยตัวเอง หลูวั่งมองเย่เทียนเฉินแล้วจึงเดินเข้าไป มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มลำพองใจพลางกล่าวว่า “อีกสักพักพวกเราไปกันเถอะ คนอื่นจะได้ไม่มองเราไม่ดี”
“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเข้ม
“เฮอะ เย่เทียนเฉิน แกอัดฉินเหิงจนมีสภาพแบบนี้ ตระกูลฉินไม่ปล่อยแกไปแน่ พ่อของฉันพาคนมาจับตัวแก ทางที่ดีแกรู้จักวางตัวดีๆ สักหน่อย ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ!” หลูวั่งเห็นว่าจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจึงกล่าวออกมา
ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดของหลูวั่งเพิ่งจะออกจากปาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดบริเวณคอหอย มือขวาของเย่เทียนเฉินบีบอยู่ที่ลำคอของเขาในพริบตา กับคนถ่อยหน้าเนื้อใจเสือเช่นหลูวั่งที่รู้จักแต่แทงข้างหลัง ยังชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าฉินเหิง ดังนั้นเย่เทียนเฉินย่อมไม่อาจปล่อยไปแน่
“ปล่อยวั่งเอ๋อร์ซะ ไม่งั้นผมยิงแน่!” ตอนนี้เอง หลูเซิ่งต๋าวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เห็นเย่เทียนเฉินลงมือกับหลูวั่งลูกชายของตน ก็รีบยกปืนเล็งไปที่หัวของเย่เทียนเฉินทันที
เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าครู่หนึ่ง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ผมไม่ฆ่าลูกชายของคุณหรอก เขายังมีประโยชน์อยู่”
“คุณ…เย่เทียนเฉิน ตอนนี้ผมขอจับคุณในข้อหาจงใจทำร้ายร่างกาย คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ทุกสิ่งที่คุณพูดจะใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล!” หลูเซิ่งต๋าใบหน้ามืดครึ้ม มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว
“วางปืนของคุณลงซะ ผู้อำนวยการหลู ผมรู้ว่าคุณรอคนของตระกูลฉินมา แสดงท่าทางให้มันดีดีสักหน่อย ลงมือกับผมตอนนี้ คนของตระกูลฉินคงจะไม่เห็น…”
เย่เทียเนฉินโยนหลูวั่งไปทางด้านหนึ่งแล้วนั่งลง ไม่สนใจหลูเซิ่งต๋าที่ใช่ปืนจ่อหัวตนเองอยู่ บริการสูบบุหรี่ดื่มชาด้วยตัวเอง
……………………………………………….