เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 332 เรื่องราวของจางหลาน
ตุ้บๆๆ!
เย่เทียนเฉินและจางหลานทะเลาะกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอ และหานเจี๋ย ที่อยู่ห้องข้างๆ ทั้งสามตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหานเจี๋ยที่ตกใจอย่างหนัก หลับไปแล้วแต่ยังถูกปลุกให้สะดุ้งตื่น
ในตอนที่ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอ และหานเจี๋ย เดินมาถึงประตูห้องที่เย่เทียนเฉินพักอยู่แล้ว ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วออกมาจากด้านใน ต่างรู้สึกแปลกใจ
เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูถูกชางหลางผลักออก พวกหานเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านนอกทั้งสามคนเห็นภาพที่ทำให้พวกเขาต้องอับจนคำพูด ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพที่น่ากระอักกระอ่วน พบว่าบนเตียงของเย่เทียนเฉิน จางหลานสวมชุดนอนเซ็กซี่ เผยช่วงไหล่และขาอันสวยงามอันเซ็กซี่ ลงมือต่อสู้กับเย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจสภาพเปิดเผยเลยแม้แต่น้อย
เย่เทียนเฉินเองก็ลงมือตอบโต้จางหลานเป็นระยะ แต่ก็ยังนับว่าเป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่ได้ลงมือรุนแรง ทำเพียงขัดขวางเท่านั้น
“นี่ ฉันทนเธอมานานแล้ว อย่ามาบังคับให้ฉันลงมือ!” เย่เทียนเฉินป้องกันหมัดของจางหลาน แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“เจ้าบ้า นายคิดว่าฉันจะปล่อยนายไปเหรอไง? ลงมือก็พอแล้ว!” จางหลานไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่าย ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินทำแบบนี้โดยสิ้นเชิง ใช้หมัดขาวนวลต่อยเข้าไปอีกครั้ง
เย่เทียนเฉินรู้สึกรับไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้คงไม่ไปหยอกล้อจางหลาน และไม่แย่งชิงจูบแรกของเธอ ผู้หญิงแปลกคนนี้ไม่เหมือนกับฉีหรูเสวี่ยและซูเฟยเฟย แม้จะแปลกมาก แต่จางหลานกลับเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ฝีมือไม่เพียงแต่ไม่ธรรมดา นิสัยยังแข็งกร้าวอีกด้วย หาเรื่องไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่เย่เทียนเฉินจูบจางหลานเมื่อสักครู่นี้แล้ว ใบหน้าเล็กๆ ของจางหลานก็แดงระเรื่อ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่กระทั่งความรักสักครั้งก็ไม่เคยมี จูบแรกมีความหมายและความสำคัญกับเธอมาก ไม่สามารถลืมได้ชั่วชีวิต แต่เมื่อคิดถึงเย่เทียนเฉินเจ้าบ้าคนนี้แล้ว จางหลานก็โกรธจนลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินตลอด
เมื่อพบกับการโจมตีไม่หยุดหย่อนของจางหลาน ถึงแม้ความสามารถของเย่เทียนเฉินจะเหนือกว่าเธอ แต่กลับไม่มีเวลาให้พักผ่อน ทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น กระทั่งเย่เทียนเฉินถูกจางหลานกัดปากจนแตก ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยฟันอีกด้วย เพียงแค่ดูก็รู้ว่าถูกคนกัด รอยสดใหม่แบบนั้นนอกจากจางหลานแล้วจะมีใครได้?
ตุ้บ!
ในตอนที่ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอและหานเจี๋ยผลักประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินเข้ามา ยังไม่ทันได้พูดอะไร จางหลานก็ยกขาขึ้นสูง ใช้ขาซัดลงไปยังเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็หลบ ทำให้จางหลานเตะถูกเตียงอย่างรุนแรงจนเตียงพังลง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกชางหลางทั้งสามรู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่แน่ว่าจะถูกผู้อื่นพูดไปแบบไหน อย่างน้อยก็ต้องมีการพูดว่า เย่เทียนเฉินและจางหลาน ชายโสดหญิงโสด สู้รบกันบนเตียงจนเตียงถล่ม!
เมื่อลองฟังประโยคนี้ดู ต่อให้เป็นคนที่ไร้เดียงสาขนาดไหนก็เกรงว่าจะคิดผิดไปมาก ยิ่งจางหลานและเย่เทียนเฉินล้วนเป็นคนโสด ยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่อาจไม่ทำให้คนอื่นคิดมาก!
ในตอนที่เตียงถูกจางหลานซัดจนพัง เย่เทียนเฉินและจางหลานรีบพลิกตัวขึ้นยืนในระดับความเร็วที่เร็วที่สุด จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน
“หยุดแค่นี้เถอะ ถ้ากล้าเข้ามาอีกฉันจะลงมือจริงๆ แล้ว!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยั่วยุ
“นายแปลก คิดว่าฉันจะกลัวนายเหรอ?” จางหลานเม้มริมฝีปากอันเซ็กซี่ของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงความรู้สึกของตนเมื่อสักครู่นี้ที่ถูกเย่เทียนเฉินจูบ
“ยัยแปลก ฉันไม่กลัวเธอเหมือนกันแหละ!”
เย่เทียนเฉินและจางหลานไม่ยอมลงให้กันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจจะถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว พวกชางหลางที่ได้เห็นต่างก็ส่ายนหน้าเนื่องจากสองคนนี้ทำตัวเหมือนเด็กๆ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ
ในขณะที่พูดจางหลานก็จะพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินอีกครั้ง แต่กลับถูกหานเจี๋ยดึงเอาไว้ กรอกตาใส่เย่เทียนเฉินด้วยความโกรธเคืองแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกประตูห้อง ครั้งนี้ไม่ได้สั่งสอนเย่เทียนเฉิน แถมยังถูกเขาแย่งชิงจูบแรกของตนไปด้วย ในใจของจางหลานทั้งโกรธทั้งอาย อดไม่ได้อยากจะกัดเนื้อเจ้าหมอนี่ให้แรงๆ สักหน่อย
“ไอ้หนู…”
“นอนเถอะ พักผ่อนสักหน่อย เตรียมตัวกลับได้แล้ว!”
ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจึงหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง เหลือเพียงหานเจี๋ยกับเย่เทียนเฉินสองคนในห้อง เย่เทียนเฉินมองหานเจี๋ย เดินไปข้างเตียงโดยไม่ได้พูดอะไร เตียงถูกจางหลานซัดจนหักไปแล้ว เขาจึงประคองมันขึ้นมาเตรียมจะทำการซ่อมแซม มิฉะนั้นยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงจะนอนอย่างไร?
ทำอยู่ครึ่งค่อนวัน เย่เทียนเฉินทำได้เพียงนำเตียงไปพิงไว้ด้านข้าง ใช้ตู้ข้างเตียงประคองเอาไว้ถึงจะทำให้ขาเตียงด้านที่หักไปมั่นคงได้ เมื่อลองดูแล้วพบว่าไม่มีปัญหา เย่เทียนเฉินจึงนอนลงไป หานเจี๋ยมองเย่เทียนเฉิน เดินไปด้านข้างแล้วกล่าวขึ้นว่า “อาการบาดเจ็บของนายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไรแล้ว เธอรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะกลับเมืองหลวงแต่เช้า!” เย่เทียนเฉินส่ายหัวยิ้มๆ แล้วพูดขึ้น
หานเจี๋ยได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้จากไป แต่เดินไปข้างเตียงเย่เทียนเฉินแล้วนั่งลง มองเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ ในตอนนี้เธอพบว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงแม้บางครั้งจะไร้สาระไปบ้าง บางครั้งจะดูอันธพาลไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ชายที่ควรค่าที่จะฝากชีวิตไว้คนหนึ่ง ทำให้ผู้หญิงหลงรักเขาโดยไม่รู้ตัว
“เทียนเฉิน…” หานเจี๋ยเรียกเสียงเบา
“หัวหน้ามีอะไรจะสั่งครับ?” เย่เทียนเฉินแสร้งเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนนั้นตนจะไปขโมยข้อมูลที่ประเทศ M เพื่อที่จะเข้าไปในเขตทหารอันสำคัญของประเทศ M ด้วยฐานะเช่นนั้น จึงถูกทางประเทศจีนมอบหมายตำแหน่งทางการทหารซึ่งก็คือผู้บัญชาการให้ ความจริงหานเจี๋ยเป็นแค่สมาชิกฝ่ายวิจัยของกองทัพเท่านั้น ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลับพูดขึ้นมา ใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นการหยอกล้อหานเจี๋ย
“หึๆ ดึกดื่นขนาดนี้ไม่ไปนอน หรืออยากจะถวายตัวให้?” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อต่อไป
เมื่อต้องเจอกับเย่เทียนเฉินที่มีท่าทางอันธพาลไร้อย่างอายขนาดนี้ หานเจี๋ยกลับรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก คนคนนี้พอไม่มีเรื่องราวอะไร ก็แสดงว่าช่วงเวลาไม่จริงจังของเขามาถึงแล้ว หานเจี๋ยคิดจะพูดกับเขาอย่างจริงจังซักหลายประโยค แต่ยากที่จะพูดต่อไปได้
“เทียนเฉิน ฉันพูดจริงๆ นะ เรื่องที่สำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะมาลอบโจมตีประเทศของเราที่ชายแดนป่าหมอกดำในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หลังจากกลับไปนายจะต้องไปพูดกับเบื้องบนด้วยกันกับฉัน ไปจัดการให้เข้มงวด!” หานเจี๋ยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
“วางใจเถอะ ท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยางฉลาดกว่าพวกเรามาก ตอนนี้พวกเขาคงกำลังดำเนินการจัดการแล้วแหละ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
หานเจี๋ยพยักหน้า เธอพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เย่เทียนเฉินคนนี้ ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญมักจะไม่จริงจัง ทำให้ผู้อื่นทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับเขายังไง
“ใช่แล้วเทียนเฉิน เรื่องของหลานหลานนายอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย เธอก็มีนิสัยแบบนี้แหละ แต่ความจริงเป็นคนดีมาก เป็นคนมีน้ำใจ!” หานเจี๋ยคิดถึงจางหลานซึ่งเป็นญาติผู้น้องของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“อ้อ? เป็นคนดีมาก? เป็นคนใจดี? ทำไมฉันดูไม่ออกล่ะ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้หานเจี๋ยนั่งอยู่ข้างเตียงของเย่เทียนเฉิน มองไปยังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง แล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องของญาติผู้น้อง ความจริงแล้วเมื่อพูดถึงครอบครัว จางหลานเกิดในครอบครัวทหารธรรมดาๆ ครอบครัวหนึ่ง พ่อเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ แม่เป็นทหารเหล่าดุริยางค์ ตั้งแต่เด็กจางหลานก็ได้ยินได้เห็นวิถีชีวิตแบบทหารจึงค่อยๆ ชอบชีวิตแบบนี้ ตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งจำเป็นต้องอยู่หลังผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถทำเรื่องที่ผู้ชายทำได้มากมาย
เมื่ออายุ 18 ปี จางหลานที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาละทิ้งโอกาสที่จะได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งเมืองหลวง ไปเข้าร่วมหน่วยสวาทหญิง หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนจากในหน่วยมาสามปี จางหลานก็แสดงความโดดเด่นและฉลาดเฉลียวออกมาท่ามกลางทหารหญิงที่มีความยอดเยี่ยมทุกคนและกลายเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิง กลายเป็นตำรวจหญิงที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าสวยที่สุดและห้าวหาญที่สุด ในสถานการณ์แบบนี้จางหลานมีคนที่มาตามจีบมากมาย แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ชอบหัวใจของเธอจริงๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สัมผัสถึงแก่นแท้ในส่วนลึกของจิตใจของจางหลาน
จางหลานรับผิดชอบทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยสวาทหญิงไปสองปี มีอยู่วันหนึ่งอยู่ดีๆ เธอก็กลับมาบ้าน บอกว่าตนเองลาออกจากงานหัวหน้าหน่วยสวาทแล้ว และเตรียมจะกลับไปที่เมือง เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีการต่อสู้ดุเดือดและชีวิตที่ตื่นเต้นอีกต่อไป เพียงแค่คิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วทั้งตระกูลจาง ทั้งยังทำให้เกิดความสั่นสะท้านไปถึงตระกูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างเช่นตระกูลหานของหานเจี๋ยด้วย ต้องทราบว่า การมีหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยหน้าตาสวยงามและมีฝีมือแข็งแกร่งแบบนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล อยู่ดีๆ ก็บอกว่าไม่เป็นแล้ว นี่จะทำให้เกิดผลกระทบมากขนาดไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของจางหลานที่เกือบจะแตกหักกับจางหลานจนถึงขั้นตัดพ่อตัดลูก แค่คิดก็รู้ว่าร้ายแรงขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดจางหลานก็เป็นผู้ชนะ เธอใช้ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของตัวเองและใช้การกระทำของตัวเองมาบอกทุกคนว่าเธอก็สามารถทำอาชีพอื่นได้ดีเช่นเดียวกัน และสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เธออาศัยความพยายามของตนเข้าไปเป็นทำงานในบริษัทรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มีหน้าที่การงานมั่นคง เป็นผู้หญิงที่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
แน่นอนว่าจางหลานไม่เพียงแต่มีด้านที่ห้าวหาญแข็งกร้าว จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนกับที่หานเจี๋ยพูด จางหลานเป็นเด็กผู้หญิงที่ใจดี เธอมักจะสงเคราห์สุนัขจรจัดหรือแมวจรจัดอะไรเหล่านั้น พาพวกมันไปส่งที่ศูนย์รับเลี้ยงสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้นยังออกเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้าหลายสิบคนด้วย เป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวคนหนึ่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้
“ญาติผู้น้องของฉันคนนี้ต้องการแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่คิดอยากยอมแพ้!” หานเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ต้องการแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ฉันไม่ตำหนิเธอหรอก ผู้ชายที่หล่อเหลามีสไตล์อย่างฉันใจกว้างมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนอันธพาล