เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย - ตอนที่ 39 ชมรมนักผจญภัย เริ่มได้
- Home
- เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย
- ตอนที่ 39 ชมรมนักผจญภัย เริ่มได้
บทที่ 2 ตอนที่ 13
สิ่งแรกที่รู้สึกได้ตอนตื่นขึ้นมาก็คือ กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ
ใช้แค่ศรีษะหันมองไปรอบๆ พื้นและผนังสีขาว ผ้าปูที่นอนสะอาดสะอ้าน ที่สวมใส่อยู่เป็นชุดจินเบ*สีฟ้าอ่อน มีชุดให้น้ำเกลือตั้งอยู่ข้างๆ
「…..โรงพยาบาล?」
มันเกิดอะไรกัน…..ใช่แล้ว! การ์ดของผม!
สำรวจทั่วตัว แล้วจึงมองไปที่ตู้ไซด์บอร์ดข้างๆเตียง เด็คของผมอยู่ภายในลิ้นชักนั้น
-โฮ่-ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วทำการตรวจสอบการ์ดทีละใบ
ก่อนอื่น ดูเหล่าโซลการ์ดของเร็นกะ, เอลิซ่า, เมอาที่ลอสไป
ค่อยๆลูบการ์ดของพวกเธอที่เปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างนุ่มนวล
เพราะความด้อยประสบการณ์ของผมทำให้ต้องลอส แต่ตราบเท่าที่ยังมีโซลการ์ดนี้อยู่ก็สามารถนำกลับมาได้
「จะต้องชุบชีวิตมาให้ได้เลย」
ขณะที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ก็ทำการตรวจสอบดูอย่างละเอียดว่าสเตตัสมีปัญหาอะไรรึเปล่า
เร็นกะกับเอลิซ่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเป็นพิเศษ แต่ว่าอย่างที่คิด เมอาได้รับสกิลใหม่
【เผ่า】เอ็มพูซา (เมอา)
【พลังต่อสู้】280 (MAX!)
【ทักษะติดตัว】
– ดูดวิญญาณ
– คำเชิญสู่ความฝัน
– จำแลงกาย 3 ประเภท
【ทักษะเรียนรู้】
– หัวใจปีศาจตัวน้อย
– หัวใจทุ่มเท
– มิตรภาพร่วมมือ
– จอมเวทพื้นฐาน
– เวทมนตร์สถานะผิดปกติขั้นกลาง
– หากสาปแช่งใครก็ต้องเตรียมหลุมไว้ 2 (NEW!) : สร้างบาดแผลคำสาปบนเป้าหมายตามพลังต่อสู้ของตนและความเสียหายที่ได้รับ จากนั้นรับเอาผลสะท้อนกลับจากความเสียหายทั้งหมดที่ทำได้
หากสาปแช่งใครก็ต้องเตรียมหลุมไว้ 2 สำหรับผู้ที่ใช้งานสกิลที่เกี่ยวข้องกับสถานะผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นแรร์สกิลที่ยากจะได้มา
เกี่ยวกับรายละเอียดของเงื่อนไขที่ได้รับยังคงไม่เป็นที่เปิดเผย แต่「อยากจะฆ่าอีกฝ่ายต่อให้ต้องตายก็ตาม」มีความเกลียดชังอย่างรุนแรงถึงขนาดคิดเช่นนั้น ว่ากันว่านั่นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
กับเมอาที่ร่าเริงต้องมารู้สึกเกลียดชังขนาดนั้น…..รู้สึกละอายใจจริงๆ
หากสาปแช่งใครก็ต้องเตรียมหลุมไว้ 2 จากผลของมันทำให้มีโอกาศที่จะลอสสูงมากหลังจากใช้งาน
แม้จะเป็นสกิลที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปิดผนึกมันไป
ต่อไปก็ซุซูกะกับดราโกเน็ต, ไลแคนโทรปและเหล่าการ์ดที่ยังไม่ใช้งาน หลังจากที่ผมตรวจสอบแน่ใจแล้วว่ายังปลอดภัย ก็ดูการ์ดของยูคิที่เป็นเพียงใบเดียวที่อยู่รอดปลอดภัยจนถึงท้ายที่สุด
【เผ่า】ไลแคนโทรป (ยูคิ)
【พลังต่อสู้】950 (150 UP!)
【ทักษะติดตัว】
– ยามจันทราเต็มดวง
– ชุดหมาป่า
-การตื่นขึ้นของสัญชาตญาณ
【ทักษะเรียนรู้】
– ภักดี
– ผู้กล้าตัวน้อย
– ผู้แท้จริง (NEW!)
– ทำลายขีดจำกัด (NEW!)
– อัญเชิญวงศ์วานแท้จริง (NEW!)
– จ้าวอาณาเขต (NEW!)
– วิชานินจาขั้นสูง (NEW!)
「อะ, ไร, กันเนี่ย…..」
ภาพวาดที่อยู่บนการ์ดเป็นหญิงสาวสวยผมสีน้ำตาลพร้อม meche* สีเขียวเข้ม ทำการตรวจสอบซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ แต่ชื่อที่อยู่ตรงนั้นก็เขียนว่ายูคิจริงๆ
นี่มัน เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? ทำไม ยูคิถึงแรงค์อัพได้? พลังต่อสู้ 950? ทั้งๆที่ขีดจำกัดในการเติบโตของไลแคนโทรปมันน่าจะอยู่ที่ 800 แล้วยัง กลุ่มสกิลนี่มันอะไรกัน…..
กับยูคิที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี กลับกลายไปเป็นคนแปลกหน้าทำเอาผมตัวสั่นด้วยความกลัว
ระหว่างที่ผมหมดสติไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…..?
ในขณะที่สับสนอยู่คนเดียว -ก็อกก็อก-ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
「…..ครับ?」
「ขออนุญาต…..คงไม่ว่าอะไรนะถ้าจะขอเรียกว่าคิทากาว่าคุง?」
คนที่พูดเช่นนั้นขณะที่เดินเข้ามาในห้องคือชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40 ปี ใบหน้าดูมีความอ่อนโยน แต่ที่ดวงตากลับดูทรงพลัง เป็นผู้ใหญ่ที่แค่ได้มาเจอหน้าตรงๆ ก็ทำให้ต้องยืดหลังตรงขึ้นมาทันที
「ก็, ครับ แต่」
「ชื่อของผมก็คือ โอชิม่า อายูมุ เป็นนี่ครับ」
「…..คุณสารวัตร?」
โอชิม่าซังแสดงสมุดพกตำรวจให้ดู มีคำว่าสารวัตรและรูปของโอชิม่าซังอยู่บนนั้น
ก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับสมุดพกตำรวจมากนัก แต่มองผ่านๆน่าจะเป็นของจริง
「คิทากาว่าคุง เธอได้หมดสติอยู่ที่ดันเจี้ยนมาร์ทในเขาวงกตที่ 14 ของโตเกียว จำได้รึเปล่า?」
「เอ็ตโต…..」
「ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ ช่วยเล่าสิ่งที่จำได้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเข้าเขาวงกตจะได้ไหม?」
「…..ครับ เข้าใจแล้วครับ」
น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่ท่าทางของโอชิม่าซังนั้นแสดงออกชัด ผมจึงเริ่มพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเข้าสู่เขาวงกต
ใช้ขลุ่ยของฮาเมลินไปยังชั้นที่กำลังสำรวจ, ระหว่างทางได้เจอนักผจญภัยคนอื่น…..อาโอกิซังและทำการแลกเปลี่ยนการ์ด, ที่ชั้นล่างสุดเจอเข้ากับเกรมลิน ทำให้สมาร์ทโฟน กล้อง และใบอนุญาตนักผจญภัยถูกทำลาย, ถูกโจมตีโดยนักผจญภัยคนอื่น และถูกสั่งให้มอบการ์ดทั้งหมดให้
—-และ “พอได้โอกาศ ด้วยการ์ดเวทมนตร์『เคลื่อนย้าย』ที่แอบซ่อนเอาไว้ ทำการใช้แล้วหนีเอาชีวิตรอดมา”…..
『จากที่จำได้ ไร้ซึ่งคำโกหก』ทำการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง
โอชิม่าซังจดบันทึกคำให้การของผม ถามคำถานตรงนั้นทีตรงนี้ที จนเมื่อผมพูดจบเขาก็จ้องตามาเพื่อทำการยืนยัน
「…..เท่านี้ หมดแล้วใช่ไหม?」
「ครับ ที่จำได้ทั้งหมดมีเท่านี้ครับ」
โอชิม่าซังจ้องมองผมด้วยสีหน้าปั้นยากอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเขาก็สูดหายใจลึกๆแล้วแหงนหน้ามองฟ้า
「งั้นเหรอ~…..งั้นก็หมายความว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้รับผิดชอบต่อปริศนาทั้งหมดสินะ น่าเสียดาย」
「…..? มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?」
พอผมถามคำถามไป โอชิม่าซังก็ทำหน้าตาสับสนเล็กน้อย
「…..เอาเถอะ มันเป็นอะไรที่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้อยู่ดี ความจริงแล้ว—-เขาวงกตที่เธอไปสำรวจ มันหายไปยังไงล่ะ」
「……….เอ๋?」
เขาวงกตนั่น, หายไป…..? เขาวงกต ที่จนถึงตอนนี้ที่ไม่เคยมีการยืนยันว่าหายไปอะนะ? มันอะไร, ทำไม…..? หรือว่า คนร้ายที่โจมตีผมเป็นคนทำ!?
ขณะที่ผมกำลังตกตะลึง โอชิม่าซังก็เกาหัวแล้วบ่น
「มันเป็นที่ฮือฮากันทั่วประเทศไปแล้ว นั่นเพราะ ที่ปรากฏมาแล้วถึง 20 ปี…..เป็นครั้งแรกที่เขาวงกตได้หายไปล่ะนะ คำถามจากต่างประเทศก็กระหน่ำกันเข้ามาเต็ม มันยังไม่ออกเป็นข่าวเพราะงั้นจึงยังไม่ถูกบอกเป็นทางการ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว เพราะฉะนั้นเลยมีคำขอร้องให้คิทากาว่าคุงอยู่นะ…..」
「คำขอร้อง งั้นเหรอครับ?」
「อือ ทางการกับตำรวจจะปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับเธอให้ แต่ถ้าหากพวกสื่อรู้เรื่องเธอขึ้นมา ในตอนนั้นอยากจะให้เธออย่าพูดอะไร เพราะเดี๋ยวมันจะไปขัดขวางกระบวนการสืบสวนล่ะนะ」
「อา…..เข้าใจแล้วครับ」
「ขอบใจมาก ถ้างั้นก็ขอตัว」
พูดจบโอชิม่าซังก็ออกไป
เอนหลังลงไปบนเตียง เหม่อลอยจ้องไปที่เพดาน
「…………………………」
เขาวงกต หายไป งั้นเหรอ
ตามที่คาดการณ์ เป็นคนร้ายนั่นทำไปงั้นเหรอ ทำไปก็เพื่อกำจัดผมที่สามารถหนีไปได้ หรือว่า…..?
ไม่มีทางหรอกน่า…..แต่ไหนแต่ไร ถ้าหากรู้วิธีในการทำให้เขาวงกตหายไปได้แล้วล่ะก็ คงได้มีเงินมากพอจะใช้เล่นได้ไปทั้งชีวิต แถมทางการยังจะช่วยกลบเกลื่อนความผิดที่ก่อไปให้ด้วยอีก
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาวงกตหายไปกันล่ะ?
「……………ไม่ไหว ไม่เข้าใจเลย」
คิดไปซักพักแล้วก็ยอมแพ้
ต่อให้ผมคิดไปมากแค่ไหน คำตอบมันก็ไม่โผล่ออกมาหรอก
แต่ถึงอย่างนั้น…..
「ดีจริงๆที่มีการ์ด『เคลื่อนย้าย』อยู่…..」
ถอนหายใจโล่งอก
แม้ว่าจะเหมือนกับอุปกรณ์เวทเคลื่อนย้าย แต่การ์ดเวทมนตร์สามารถใช้งานได้ทันที ในขณะที่ขลุ่ยของฮาเมลินจำเป็นต้องทำการเป่า ผลที่แสดงออกทันทีทำให้เกิดความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะการ์ด『เคลื่อนย้าย』แล้วล่ะก็ คงจะถูกอนูบิสฆ่าตายระหว่างที่กำลังเป่าขลุ่ยอยู่แน่ๆ
โชคดีจริงๆที่ไม่ได้ขายการ์ด『เคลื่อนย้าย』ไป………………..ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ
「ตัวผม ทำไมถึงไม่ขายการ์ด『เคลื่อนย้าย』ไปกันล่ะ?」
สำหรับตัวผมที่มีขลุ่ยของฮาเมลิน การ์ด『เคลื่อนย้าย』ถือว่าเป็นอุปกรณ์เวทที่ไม่จำเป็น
มีข้อดีต่างจากขลุ่ยของฮาเมลินตรงสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่เสียเวลา แต่ผมก็ไม่เคยคิดจริงจังว่าจะถูกนักผจญภัยคนอื่นโจมตีใส่ การที่มีการ์ดเวทมนตร์『เคลื่อนย้าย』อยู่ ทำให้รู้สึกแปลกๆ
ถ้าหากว่านี่เป็นการ์ดเวทมนตร์『ฉุกเฉิน』ล่ะก็ มันก็คงไม่น่าแปลก เพราะว่าผลของมันแตกต่างกัน…..
ในตอนนั้น บางอย่างก็แว่บเข้ามาในหัว
โอ้! ใช่แล้ว『จำได้แล้ว』เพราะว่าเรื่องภาษี
ถ้าหากว่าทำการขายอุปกรณ์เวทหรือการ์ด มันจำเป็นจะต้องเสียภาษี แต่ถ้าเก็บเอาไว้ไม่ขายภาษีก็ไม่เกิด
ในตอนที่มีการ์ดที่อยากจะได้ก็ค่อยเปลี่ยนมันเป็นเงินเพื่อใช้ซื้อมา หากทำแบบนั้นจะทำให้เสียภาษีน้อยลง
เพราะแบบนั้นก็เลยไม่ได้ขายการ์ดเวทมนตร์『เคลื่อนย้าย』ไป มันก็แค่นั้นแหละ
ต้องขอบคุณมัน ผมเลยสามารถหนีมาได้อย่างปลอดภัย
อื้ม ไม่มีอะไรแปลกเลย
…..ถ้าเป็นงั้นแล้วทำไม ผมถึงได้สงสัยมากเกี่ยวกับการที่มีการ์ด『เคลื่อนย้าย』อยู่กันล่ะ?
พูดถึงเรื่องสงสัย ยูคิเองก็เหมือนกัน
ที่ยูคิแรงค์อัพเป็นไลแคนโทรปมันตอนไหนกัน?
ผมที่มีแค่ไลแคนโทรปผู้ชาย 2 ใบไม่มีทางที่จะแรงค์อัพให้เธอได้
ผมไปได้การ์ดไลแคนโทรปมาตอนไหน?
ตอนที่ผมหมดสติมันมีอะไรเกิดขึ้น? ได้ลืมอะไรไปรึเปล่า? หลังจากที่ผมใช้งานการ์ดเวทมนตร์『เคลื่อนย้าย』และช่วงเวลาที่ผมหมดสติอยู่ที่ดันเจี้ยนมาร์ท มันเกิดอะไรขึ้น…..
ในตอนที่สติของผมกำลังดำดิ่งลงไปในทะเลแห่งความทรงจำนั่นเอง
「ขออนุญาตค่~า」
จู่ๆประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกันเสียงอันสดใสที่คุ้นเคย
ในทันทีทันใด ภาพสีขาวที่กำลังก่อตัวอยู่ในหัวมันก็ปลิวหายไป
「อรุณสวัสดิ์คะรุ่นพี่ รู้สึกเป็นยังไงบ้างส์คะ」
「อันนารึ…..」
ตัวจริงของแขกก็คือ เด็กสาวผมแดงแสนสวยที่เพิ่งจะกลายมาเป็นรุ่นน้องได้ไม่นาน เธอมองดูร่างกายของผมไปทั่ว แล้วก็ยิ้มให้อย่างสดใส…..
「บาดแผล…..ไม่มีส์สินะคะ โล่งอกไปที」
「อา…..เธอ โรงเรียนล่ะ? ตอนนี้มันยังเที่ยงอยู่เลยนะ」
「อะไรกัน! รุ่นพี่ที่เคารพต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วจะให้ไปโรงเรียนหน้าตาเฉยเนี่ยทำไม่ได้หรอกส์ค่ะ」
กับรุ่นน้องที่พูดเรื่องซึ้งแบบนั้นออกมา ผมก็มองด้วยแววตาปลาตาย ถึงแม้ว่าจะได้รู้จักกันไม่นาน แต่ก็รู้ได้ว่ายัยนี่ไม่ได้น่ารักขนาดนั้นหรอก
พอเห็นแววตาสงสัยของผม อันนาก็แลบลิ้นออกมาราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแกล้ง
「…..ก็แห~ม จริงๆแล้วดูเหมือนกับว่ารุ่นพี่จะได้ไปพัวพันกับเรื่องอะไรบางอย่างแปลกๆอีกแล้ว ก็เลยช่วยไม่ได้ถึงต้องรีบบึ่งมา แล้วที่เป็นห่วงก็เรื่องจริงน้า อะนี่ ของเยี่ยมส์ไข้ค่ะ」
ขณะที่รับห่อขนมที่เธอยื่นมา ก็ถามกลับไป
「เธอ รู้มากแค่ไหน? แล้วไปได้ยินมาจากไหน?」
「อืม ที่ชั้นได้ยินมาก็คือเขาวงกตที่รุ่นพี่กำลังสำรวจมันหายไปส์…..ช่วยเล่ารายละเอียดจะได้รึเปล่าคะ?」
ในขณะที่พูด ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นราวกับจะสื่อว่า「ไม่ปล่อยไปจนกว่าจะพูดออกมา」
「…..บอกก่อนว่าคุณสายสืบได้บอกให้เงียบปากเอาไว้ เพราะงั้นอย่าได้เอาไปบอกใครเชียว」
「แน่นอนค่ะ ถ้าหากว่าได้เอาไปบอกใครล่ะก็ จะให้ทำอะไรก็ได้ตามที่สั่งเลย」
โฮ่…..อะไรก็ได้งั้นเหรอ? คำพูดนั้น คงไม่กลับคำหรอกนะ…..?
ในขณะที่จำคำนั้นเอาไว้ในใจ ผมก็อธิบายให้อันนาแบบเดียวกับที่บอกกับโอชิม่าซังไป
「—–แล้ว ก็มาอยู่กันที่จุดนี้นี่แหละ」
「อย่างงี้นี่เอง แล้ว จากนี้ไปรุ่นพี่มีแผนยังไงคะส์?」
เธอที่ตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่า หลังจากฟังทุกอย่างจนจบก็ได้ถามคำถามนั่นมา
ด้วยดวงตาที่ราวกับอัญมณีสีฟ้า รู้สึกเหมือนกับจิตใจกำลังถูกจ้องมอง ผมจึงตอบไปอย่างตรงไปตรงมา
「—-ออกตามหาคนร้าย แล้วทำให้คดีนี้มันจบลง」
「นั่นมัน ทำไมกันคะ? ก่อนหน้าที่ชั้นพูดแบบนั้นก็ยังบอกให้หยุดอยู่เลย?」
「เรื่องนั้น…..」
คำพูดของอันนา ทำเอาหมดคำพูดไปนิดหน่อย
…..พูดกันตามตรง
ตอนที่ได้ยินว่ามีคนหลายคนสูญหายไปในเขาวงกต ผมก็คิดว่ามันเป็นปัญหาของคนอื่นล้วนๆ
นั่นก็เพราะ ผมไม่เคยเห็นหน้าของเหยื่อเลยซักคนเดียว, TV เองก็ไม่มีรายงาน, ในญี่ปุ่นมันก็มีคนตายอยู่ที่ไหนซักแห่งเกือบล้านคนทุกๆปีอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีบางคนที่ตายอย่างน่าสงสาร แต่นั่นก็ไม่ทำให้มีความกระตือรือร้นมากพอที่จะไปเริ่มแก้ปัญหา
ถึงจะน่าสงสาร แต่นักผจญภัยต้องแบกรับความเสี่ยงเอง…..พูดกรอกหูไปอยู่แบบนั้นและไม่ไปเผชิญหน้า
ทว่า ในความจริง「ดูเหมือนผู้คนแรงค์ต่ำจะตกเป็นเป้าหมาย เพราะงั้นมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผม」มันเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวก็เท่านั้น
สุดท้ายแล้ว เดาว่านี่มันก็คือแก่นแท้ของมนุษย์อย่างผม
โลกนี้มันก็มีแค่ตัวคุณกับคนที่อยู่รอบๆตัวคุณ ไม่ว่าจะมีโศกนาฎกรรมอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือจากตรงนั้น มันก็ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง
กันอันนาที่พยายามจะไขคดีในทันทีที่ได้รับรู้ มันแตกต่าง
ด้วยความรู้สึกต่อความยุติธรรมที่มากพอจะพาตัวเองไปสู่อันตรายเพื่อใครซักคนที่ไม่แม้แต่จะรู้จัก ผมไม่มีสิ่งนั้น
—–แต่ว่า ถ้าเป็นเพื่อตัวเอง, ครอบครัว, และเหล่าเพื่อนๆแล้วล่ะก็เป็นอีกเรื่อง
อันนา, โอริเบะ, …..แล้วก็มีโอโน่เป็นของแถม ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะยังไม่ได้มากมาย แต่การจะให้อยู่เฉยโดยที่พวกเธอต้องตกเป็นเหยื่อของไอ้เจ้าอนูบิสนั่น ไม่ได้จิตใจตายด้านถึงขนาดนั้น
แน่นอนว่ามันมีเรื่องของความแค้นส่วนตัวด้วย
อันที่จริง มันเป็นส่วนใหญ่แหละ
แม้แต่ตอนนี้ขณะที่หลับตา มันก็ย้อนกลับมาชัด
ทั้งเมอา ทั้งเอลิซ่า ทั้งเร็นกะ…..ค่อยๆล้มลงไปทีละคนทีละคน ความรู้สึกที่ราวกับว่าอะไรบางอย่างที่สำคัญได้หายไปจากหัวใจ ผมไม่มีทางลืมมันไปได้หรอก
ความกลัวที่ใครบางคนพยายามจะฆ่าคุณจริงๆ, ความผิดหวังและเสียใจต่อตัวเองที่ต้องทอดทิ้งพรรคพวกแล้ววิ่งหนี, และถึงแม้ว่าทำไปถึงขนาดนั้นเพื่อจะหนีแล้ว ความสิ้นหวังที่รู้สึกเมื่อรับรู้ว่ามาถึงทางตัน…..ความเกลีดชังอันร้อนแรงที่มีต่อคนร้าย
อารมณ์ทุกประเภทสุมอยู่ภายในอก และในตอนนี้ที่กำลังลุกโชนอยู่คือความรู้สึกร้อนรนที่อยากจะวิ่งออกไปอยู่ทุกเมื่อ
กับไอ้สารเลวที่ทำให้ผมต้องลอสเหล่าการ์ดแสนสำคัญ จะต้องจัดการลงทัณฑ์ให้สาสม
ถ้าไม่งั้นล่ะก็…..คงไม่มีหน้าไปเจอกับพรรคพวกที่เสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดมันไว้หรอก
ไม่สามารถบอกมาเป็นคำพูดให้กับความคิดที่กำลังผสมปนเปอยู่ ผมจึงปิดปากเงียบไว้…..
「ก็ ยังไงก็ตาม รุ่นพี่มีใจฮึดสู้ก็ดีแล้วล่ะค่ะส์ ถ้างั้นแล้วให้ชมรมนักผจญภัยของพวกเรามาช่วยกันจับคนร้ายกันเถอะ!」
จู่ๆอันนาก็ประกาศออกมา ทำเอาผมสะดุ้ง
「เอ๋ ไม่ได้วางแผนให้ชมรมนักผจญภัยเข้ามาเกี่ยวด้วยเลยนะ…..」
「ถึงขั้นนี้แล้วยังจะพูดอะไรกันอีกคะ! มาทำเป็นห่างเหิน ถ้าหากว่าลงมือทำคนเดียวคราวนี้จะตายเอาได้นะคะ?」
「มู…..」
「ขอบอกไว้ก่อน ตราบใดที่ยังไม่เลิกเป็นนักผจญภัยก็ยังคงตกอยู่ในอันตรายใช่ไหมล่ะคะส์? และทั้งชั้นหรือซาโยะก็ไม่มีความคิดที่จะเลิกเป็นนักผจญภัยหรือหยุดพักส์ ถ้างั้นแล้วมันจะปลอดภัยมากกว่าถ้าหากว่าได้ลงมือทำร่วมกันใช่ไหมละคะส์?」
「นั่นมัน…..ก็จริง」
ต่อให้ผมบอกห้ามไม่ให้ไปสำรวจเขาวงกต แต่ถ้าตัวคนมันไม่ฟังก็ไร้ความหมายอยู่ดี
ถ้าอย่างงั้น การลงมือทำร่วมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เป็นอะไรที่ปลอดภัยมากกว่า
อีกอย่าง…..ที่อันนาบอกว่าจะมาร่วมหาคนร้ายด้วยกัน ก็รู้สึกดีใจอยู่นิดหน่อยจริงๆ
ตามคาดว่าต่อให้พยายามทำตัวเข้มแข็งยังไง ผมก็ยังคงมีความกลัวที่เกือบจะถูกฆ่าอยู่ดี…..
「…..ขอบคุณนะ」
คำขอบคุณมันออกมาโดยไม่รู้ตัว
「หืม? พูดอะไรรึเปล่าคะ?」
「ม-ไม่นี่ ไม่มีอะไรหรอก…..」
「ไม่ไม่ เมื่อกี้นี่พูดว่าขอบคุณไม่ใช่เหรอส์คะ」
「ก็ได้ยินไม่ใช่รึไงนั่น!」
「อะฮะฮะฮะ!」
และแล้ว กิจกรรมในฐานะนักผจญภัยของพวกเราก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
【Tips】อุปกรณ์เวทอ่านใจ
หลังจากที่เขาวงกตปรากฏขึ้น ความโชคร้ายอย่างหนึ่งนั่นคือ『การกล่าวหาเท็จ』ก็ได้หายไปด้วย
ด้วยการมาถึงของมอนสเตอร์อย่างซาโตริ*หรืออุปกรณ์เวทที่สามารถอ่านใจคนได้ ทางตำรวจจึงสามารถได้ภาพการณ์ของคดีที่แม่นยำขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น มอนสเตอร์อหรืออุปกรณ์เวทที่มีพลังอ่านใจก็หาได้ยากมาก ในปัจจุบันมันถูกใช้ในการสืบสวนอาชญากรรมร้ายแรงและการต่อต้านการก่อการร้าย
ทุกครั้งที่เกิดเรื่องอื้อฉาวกับสมาชิกรัฐสภา ผู้คนก็ต่างพากันเรียกร้องให้ทำอุปกรณ์เวทอ่านใจมาใช้ แต่มันย่อมมีไม่พอจะเอามาใช้แน่นอนอยู่แล้ว!
ถึงแม้ว่าอุปกรณ์เวทอ่านใจจะมีประโยชน์มากในการสืบสวน ในอีกด้านหนึ่ง「ความเชื่อและภาพลวงของบุคคลนั้น」ก็เป็นข้อเสียที่นำมาตัดสินได้ลำบาก เคยมีกรณีหนึ่งที่ได้รับการยืนยันว่าคนร้ายหลักจำไม่ได้เรื่องคดีที่ได้ไปก่อกับผู้อื่น แล้วทางตำรวจไปตัดสินว่าคนนั้นไม่ผิดแล้วทำการปล่อยตัว ทำให้การสืบสวนต้องเสียเวลาล่าช้าออกไป
แน่นอนว่าการเอาไปใช้ในทางที่ผิดมันง่าย การครอบครองและใช้งานมันโดยบุคคลทั่วไปจึงถูกห้ามโดยเด็ดขาด
ข้อมูลเพิ่มเติม*
จินเบ – ชุดเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น
https://en.wikipedia.org/wiki/Jinbei
meche – รูปแบบการทำสีผมประเภทหนึ่ง
ซาโตริ/Satori – จากตำนานญี่ปุ่น, ปีศาจที่สามารถอ่านใจคนได้
https://en.wikipedia.org/wiki/Satori_(folklore)