เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 374 คล้ายพลาดอะไรไป
ตอนที่ 374 คล้ายพลาดอะไรไป
น่าเสียดายว่าหนิวป้าเทียนฝันหวานนัก แต่เจ้าภูเขาลู่ไม่ใช่คนต่อกรง่าย
คฤหาสน์เล็กนอกเมืองลั่วชิ่งเช่นนี้ขายหนึ่งถึงสองร้อยตำลึงถือว่าราคาสูงลิ่วแล้ว ส่วนกระทะนับร้อยปีที่เจ้าวัวพูดถึง ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ถึงอย่างไรกระทะเหล็กค่อนข้างแข็งแรงย่อมไม่พังทลาย
ดังนั้นแน่นอนว่าสุดท้ายค่าเสียหายทำให้เจ้าวัวไม่พอใจมาก แต่ถือว่าขูดรีดเจ้าภูเขาลู่แล้ว
คืนนั้นด้วยเหตุว่าคฤหาสน์ถูกทำลายเสียหาย หนิวป้าเทียนเสนอให้ทุกคนไปพักในโรงเตี๊ยมกลางเมือง ตั้งอยู่ติดกับถนนเริงรมย์
ถ้าจี้หยวนไม่อยู่ที่นี่ ทำให้หนิวป้าเทียนหวั่นหวาดได้ คาดว่าเจ้าวัวคงกล้าเสนอให้พักตรงถนนเริงรมย์ ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีโรงเตี๊ยมเช่นกัน
กลางคืนหลังจากกินอาหารเย็นอันอุดมสมบูรณ์เสร็จ หนิวป้าเทียนซึ่งกลางวันต่อยตีกับเจ้าภูเขาลู่แทบเป็นแทบตาย ตอนนี้ลืมความเจ็บปวดเมื่อกลางวันนานแล้ว หาข้ออ้างว่าจะออกไปเดินเล่นอย่างหน้าชื่นตาบาน ก่อนหันหัวเลี้ยวเข้าถนนเริงรมย์อย่างเป็นสุข
ในโรงเตี๊ยมจึงเหลือจี้หยวน เจ้าภูเขาลู่ เยี่ยนเฟย ฝ่ายแรกพักในห้องตน สองฝ่ายหลังผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเดินมาถึงนอกประตูห้องจี้หยวนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจ้าภูเขาลู่มองเยี่ยนเฟยซึ่งเตรียมมาเยี่ยมอาจารย์ เขาประสานมือให้อีกฝ่าย เยี่ยนเฟยคารวะตอบ จากนั้นทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่นอกประตู เจ้าภูเขาลู่เป็นฝ่ายเคาะประตูเบาๆ
ก๊อกๆๆ…
“เข้ามา”
ทั้งสองคนผลักประตูเข้าไป เห็นจี้หยวนกำลังนั่งมองม้วนกระดาษเทียบเจตกระบี่ว่างเปล่าอยู่หน้าโต๊ะ บอกว่า ‘นั่ง’ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
เยี่ยนเฟยมองเจ้าภูเขาลู่ ปิดประตูเสร็จค่อยเดินมานั่งลงหน้าโต๊ะพร้อมกัน
แม้ว่าสายตาจี้หยวนไม่ได้อยู่กับทั้งสองคน แต่ยังสังเกตเห็นยามเจ้าภูเขาลู่นั่งลง แขนซ้ายไม่ค่อยคล่องแคล่วอยู่บ้าง
“บาดเจ็บหนักมากหรือ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าจี้หยวน แน่นอนว่าเจ้าภูเขาลู่ย่อมไม่ปิดบัง
“หนักมากขอรับ หากตอนนั้นเขาไม่เห็นแก่เมืองชั่วขณะ แขนซ้ายของข้าคงถูกแทงทะลุ จากนั้นหน้าอกคงแหวกออก ก่อนหน้านี้วัวเถื่อนนั่นบอกให้ข้ากลับไปฝึกอีกสักร้อยปี แม้ว่าเป็นคำคุยโวเย้ยหยัน แต่มรรควิถีเขาล้ำลึกกว่าข้ามากจริงๆ”
สำหรับเจ้าวัวเรื่องแบบนี้อาจไม่ยอมพูดออกมาด้วยห่วงหน้าตา แต่เจ้าภูเขาลู่กลับไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าจี้หยวนยิ่งจริงใจ
เยี่ยนเฟยแค่ฟังอยู่ด้านข้าง ในใจนึกถึงการต่อสู้ตอนกลางวัน เขาพลันพบว่าปีศาจต่อสู้กันจนสุริยันจันทราหม่นแสง แต่ความจริงไม่ต่างจากจอมยุทธ์ประลองกันนัก สิ่งที่สู้กันไม่ใช่แค่พลัง ยังมีแนวคิดการต่อสู้และสภาพจิตใจด้วย
ก่อนหน้านี้ตามความรู้สึกของเยี่ยนเฟย นอกจากช่วงครึ่งแรกแล้ว ภายหลังเจ้าวัวแทบเสียเปรียบทั้งหมด ถึงขั้นรู้สึกว่าเสี่ยงอันตราย แต่ตอนนี้ฟังเจ้าภูเขาลู่กล่าว สถานการณ์ตามจริงอาจตรงกันข้าม นี่เหมือนหลักการที่จอมยุทธ์หลายคนใช้ความอ่อนด้อยเอาชนะความแข็งแกร่งได้
จี้หยวนไม่แปลกใจ พยักหน้าครุ่นคิดก่อนกล่าว
“กายพรตปีศาจของวัวเถื่อนนั่นร้ายกาจจริงๆ แม้ว่าผลาญพลังมหาศาล แต่กลับยกระดับพลังกายและกำลังอย่างมาก พลังแฝงจากการฝึกปราณยิ่งใหญ่ ต่อให้เจ้าเค้นหาวิธีหรือแผนการก็ยังทำลายกายพรตเขาไม่ได้ แต่กายพรตวัวเถื่อนตัวนี้เคยถูกปีศาจทำลายมาก่อน”
เจ้าภูเขาลู่คือศิษย์ซึ่งจี้หยวนภูมิใจ ในใจวางแผนให้สร้างอิทธิพลครั้งใหญ่ ตอนนี้สัญญาเก้าจอมยุทธ์ของเขาสิ้นสุดลง ต้องการเผยความจริงกับเขาหน่อย
เมื่อได้ยินจี้หยวนพูดว่ากายพรตของเจ้าวัวถูกทำลาย เจ้าภูเขาลู่ซึ่งเคยประมือกับเจ้าวัวย่อมสงสัยเป็นธรรมดา
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งใครเป็นคนลงมือ”
จี้หยวนกล่าวราบเรียบ
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นปีศาจบางตนในถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยกบนเขาพยับครามแห่งรัฐหลันของแดนตะวันตก มีโอกาสสูงว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่ง”
“ปีศาจจิ้งจอก?”
เจ้าภูเขาลู่ขมวดคิ้ว ตอนปีศาจเช่นนี้ยังฝึกไม่สำเร็จ หมาบ้านสองสามตัวยังสามารถรุกไล่มันได้ แต่เมื่อฝึกสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะหลังจากฝึกจนมีหลายหาง ย่อมเปลี่ยนเป็นรับมือยากอยู่บ้าง
“ไม่ผิด ปีศาจจิ้งจอก วัวเถื่อนตัวนั้นยังมีจุดอ่อนสำคัญก็คือตัณหาจัด ตอนนั้นปีศาจจิ้งจอกนั่นใช้ประโยชน์จากจุดนี้ แต่ไม่ได้มีวิธีการแค่นี้ เจ้าจำไว้ อนาคตถ้าเจอปีศาจจิ้งจอกแห่งถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยก จงระแวดระวัง โดยเฉพาะปีศาจสาวนามถูซือเยียน นางเหมือนรู้เรื่องบางอย่างอยู่บ้าง”
เจ้าภูเขาลู่ครุ่นคิดจริงจังครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก
“ข้าจดจำไว้แล้ว! ท่านมีเรื่องสั่งความหรือไม่”
“อืม”
จี้หยวนกวาดมองเยี่ยนเฟย ไม่ได้เจตนากีดกัน ภายในดวงตาสีเทาราบเรียบมีแสงเทพหมุนวน ฝ่ายหลังรู้สึกเวียนหัวตาลายทันที คลึงหน้าผากแล้วนอนคว่ำบนโต๊ะ
รอเมื่อเยี่ยนเฟยหลับไป จี้หยวนค่อยกล่าวต่อ
“เจ้าภูเขา แม้ว่าข้ามีวิชาสัตว์เซียนบำเพ็ญอันสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ถ่ายทอดให้เจ้าโดยตรง หากแต่ใช้การชี้แนะเป็นหลัก ทำให้เจ้าหยั่งรู้และฝึกปราณด้วยตัวเอง นอกจากไม่อยากกลบพลังแฝงของเจ้าแล้ว ข้ายังมีเหตุผลอื่น”
เจ้าภูเขาลู่นั่งตัวตรงฟังอย่างจริงจัง เขาเคยคิดนับครั้งไม่ถ้วนว่าควรตอบแทนอาจารย์หรือแสดงความกตัญญูอย่างไร ตอนนี้ดูท่าว่ามีโอกาสแล้ว
“ความยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินยากสืบรู้จนปรุโปร่ง ดินแดนทุกแห่งอาณาเขตกว้างใหญ่ ทั้งมีถ้ำสวรรค์ตามอุดมคติมากมาย เผ่าปีศาจคือขุมพลังมหึมาสายหนึ่ง แม้ว่าส่วนใหญ่แต่ละแห่งแตกสามัคคี แต่ยังมีขุมอำนาจมากมายแข็งแกร่งถึงขั้นว่าสำนักเซียนไม่อาจก้าวเข้าเขตแดนโดยง่าย อย่างเช่นแคว้นวิญญาณมายาทมิฬที่เรียกกันทั่วไปว่าแดนรกร้างทมิฬ”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้ก่อนเผยสีหน้าครุ่นคิด กดเสียงต่ำเล็กน้อย
“แม้ว่าผู้ฝึกเซียนกับผู้บำเพ็ญมรรคเทพมากมายมีอคติต่อปีศาจ แต่ต้องพูดว่าปีศาจซึ่งฝึกสำเร็จ มีพวกไร้เดียงสาน้อย โดยเฉพาะสถานที่บางแห่งมักมีการสืบทอดหรือเป้าหมาย…”
เห็นศิษย์คนนี้ฟังอย่างจริงจัง จี้หยวนนึกถึงเรื่องตอนนั้น เขายื่นมือขวาออกมา แสงเลือนรางลอยออกมาจากแขนเสื้อ กลายเป็นแผ่นไม้ดำกลางฝ่ามือ
“ลองดูสิ่งนี้”
เดิมแผ่นไม้นี้ไม่ควรมีพลังวัตถุสื่อจิตแล้ว แต่จี้หยวนผนึกปราณวิญญาณกับพลังภายในไว้ก่อน ตอนนี้เมื่อเผยออกมา เจ้าภูเขาลู่จึงมองเห็นเนื้อหาในนั้นได้
หลังรับแผ่นไม้มาจากมือจี้หยวน เจ้าภูเขาลู่จดจ่ออยู่ครู่ใหญ่ก่อนดึงสติกลับมา
รัฐอวิ๋นมีปีศาจ เซียน เทพผี แต่ขุมอำนาจใหญ่แท้จริงกลับเป็นเผ่ามนุษย์ซึ่งดูเหมือนอ่อนแอ
เผ่ามนุษย์มีอิทธิพลมาก แม้ว่าอุปนิสัยพวกเขาไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่อาศัยการสั่งสอนและกฎระเบียบเป็นหลัก พวกเขาจึงครองความสงบสุขมานาน แรงปรารถนาเปลี่ยนรูปเป็นมรรคเทพคุ้มครอง เผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่แทบไม่เคยเห็นเทพผีอย่างแท้จริง ต่อให้รู้จักเซียนปีศาจเทพมาร แต่ส่วนมากรู้สึกยำเกรง
ทว่าเหล่าปีศาจแห่งแดนรกร้างทมิฬต่างจากหมู่มาร ตัวอย่างเช่น ‘อาณาจักรปศุสัตว์มนุษย์’ พวกเขาไม่ได้กินเพื่ออิ่มท้องหรือนำมาช่วยการฝึกเป็นครั้งคราว ความชอบฟังเสียงร้องโหยหวน สรรหาวิธีกินเหี้ยมโหดแปลกประหลาดนานัปการ ทั้งการเล่นกับใจคนหลากรูปแบบ จากมุมมองเจ้าภูเขาลู่ยังรู้สึกว่า ‘วิปริต’
เจ้าภูเขาลู่เคยฟังจี้หยวนเล่าบนแท่นจันทรา บนโลกมีความชั่วโดยธรรมชาติน้อยนัก แต่ตอนนี้ยังไม่พูดถึงมารสุดโต่ง เจ้าภูเขาลู่รู้สึกว่าเหล่าปีศาจแห่งแดนรกร้างทมิฬเปลี่ยนเป็นพวกชั่วโดยธรรมชาติแล้ว
เมื่อเห็นว่าบนหน้าเจ้าภูเขาลู่เผยแววตกตะลึง การแสดงออกของจี้หยวนค่อนข้างเคร่งขรึม
“เผ่าปีศาจเป็นกลุ่มแฝงความซับซ้อนยิ่ง ความจริงเจ้าภูเขาลู่ไม่ถือว่าเป็นปีศาจ แต่บนโลกเจ้าคือลู่อู๋เพียงตัวเดียว ใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นสัตว์เทพบรรพกาล”
เจ้าภูเขาลู่พลันคลายคิ้วซึ่งขมวดอยู่ มองจี้หยวนอย่างจริงจังเฝ้ารอคำพูดต่อไป
“อาจารย์หวังว่าเจ้าจะอาศัยฐานะปีศาจ อนาคตสร้างชื่อเสียงแก่เผ่าปีศาจ ยามอาจารย์ต้องการเจ้าสามารถเกื้อหนุน”
เจ้าภูเขาลู่สูดหายใจลึก ลุกขึ้นโค้งคารวะอย่างจริงจัง
“อาจารย์มีคำสั่ง เจ้าภูเขาลู่ย่อมทำตาม!”
จี้หยวนยื่นมือรับการคารวะของเจ้าภูเขาลู่ ส่ายศีรษะพลางดันมือเขาขึ้นมา
“นี่เป็นความหวังของข้า แต่ไม่ใช่คำสั่งอาจารย์ ในฐานะอาจารย์ แน่นอนว่าข้าหวังให้ศิษย์ปลอดภัย แต่เมื่อเป็นศิษย์ของข้าจี้หยวน จำต้องมีปณิธานอยู่บ้าง ทั้งต้องมีหน้าที่ด้วย…”
จี้หยวนเว้นช่วงเล็กน้อย
“หากมีแค่เรื่องแดนรกร้างทมิฬ หากมีแค่เรื่องใต้หล้าปั่นป่วน หากมีแค่เรื่องการปะทะของแต่ละเผ่า หากมีแค่เรื่องดีชั่วอยู่ร่วมกัน หากมีเพียงเท่านั้นก็ช่างเถอะ…”
ความคิดจี้หยวนแผ่ขยาย ตอนนี้เขาค่อนข้างรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าซับซ้อนกว่าการแปรหมากเมื่อปีนั้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะเหตุการณ์ยามนั่งวาฬเหนือทะเลตะวันออก ความลึกลับที่เห็นไม่ชัดสัมผัสไม่ได้นั้น ทำให้จี้หยวนรู้แจ้งโดยอ้อม บางทีอาจไม่ได้มีแค่เรื่องบนฟ้าดินนี้เท่านั้น
“หากทิศทางซึ่งข้าทำนายเมื่อก่อนผิดพลาดไปมากเล่า ทุกอย่างบนโลกเกิดความอลหม่าน ใครเล่าจะชอบใจ…”
จี้หยวนไม่พูดต่ออีก ทั้งไม่อาจกล่าวต่อไป
เจ้าภูเขาลู่เงยหน้ายืนตัวตรง รู้สึกว่าอาจารย์ตนมีแรงกดดันอย่างหนึ่งเป็นครั้งแรก ทำให้อาจารย์ดูอ่อนเพลียอยู่บ้าง ในใจยิ่งเครียดขมึงเล็กน้อย
“เจ้าภูเขาลู่ น้อมรับคำสอนของอาจารย์!”
“อืม พวกเราทำตามกำลังแล้วกัน ไม่ละอายต่อตนก็พอ นั่งลงเถอะ”
เจ้าภูเขาลู่นั่งลงด้วยความรู้สึกสับสนในใจ จี้หยวนสะกิดตัวเยี่ยนเฟยเล็กน้อย ฝ่ายหลังได้สติกลับมาช้าๆ
เยี่ยนเฟยหาวพลางมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก เขารู้ว่าตนไม่ได้หลับตามธรรมชาติ แต่ไม่มีทางถามว่าเพราะเหตุใดอย่างไม่รู้ความ
รอจี้หยวนถามเขา เขาค่อยถามข้อสงสัยขอคำชี้แนะเรื่องวิถียุทธ์บางส่วน สำหรับเยี่ยนเฟยจี้หยวนไม่อมพะนำเช่นกัน อธิบายความเข้าใจของตนช่วงหลายปีนี้ทีละอย่าง ถือเป็นการบรรยายโดยคร่าว
วันที่สองยามฟ้าสว่าง เมื่อหนิวป้าเทียนคลอเพลงกลับมา เขาเพิ่งพบว่าจี้หยวนจากไปแล้ว ครุ่นคิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ครู่ใหญ่ค่อยได้สติกลับมาก่อนร้องเสียงหลง “เซียนนำทางของข้าคนแซ่หนิว!”