เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1951 ท่าทีของแต่ละฝ่าย / ตอนที่ 1952 พบกันครั้งแรก
ตอนที่ 1951 ท่าทีของแต่ละฝ่าย
“พวกเขาจะเปิดกิจการวันใด?” ผู้นำตระกูลหยางถามอีก
“หอยาสวรรค์หรือ? เหมือนจะเหลืออีกแค่สามวันเท่านั้น อีกสามวันก็เปิดกิจการแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบ ก่อนเอ่ยอีกว่า “ท่านพ่อ พวกเขาเปิดกิจการข้าต้องเตรียมของขวัญหรือไม่? ท่านว่าหากเตรียมของขวัญ ควรเตรียมอะไรดี? คนที่ตลาดตะวันตกน้อยขนาดนั้น หากเชิญคณะเชิดสิงโตไปแสดงความยินดีกับพวกเขาเป็นอย่างไร?”
ผู้นำตระกูลหยางลูบคาง ตอบว่า “ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ซื้อที่ดินไปจากมือเรา หากวันเปิดกิจการเงียบเชียบเกินไป เดาว่าบรรยากาศคงกระอักกระอ่วนน่าดู เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! เมื่อถึงเวลาเจ้าไปดูที่นั่นหน่อยว่าพวกเขาขายอะไรกัน จากนั้นก็ซื้อยาเพื่ออุดหนุนพวกเขาเป็นพิธีหน่อยก็แล้วกัน!”
“ท่านพ่อ เมื่อถึงเวลาท่านไปกับข้าด้วยเถิด!” หยางเสี่ยวเอ้อร์กอดแขนเขาอย่างออดอ้อน “ถึงตอนนั้นข้าจะเลือกยาอยู่หน้าร้าน ท่านพ่อก็รอควักเงินอยู่ข้างๆ เป็นอย่างไร?”
ได้ยินอย่างนี้ ผู้นำตระกูลหยางก็ตบหัวนางอย่างอารมณ์เสีย “เจ้าลูกคนนี้ นี่เป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงกี่วันเอง? ก็เอาแต่นึกถึงพวกเขาแล้ว? เจ้าอย่าได้ลืมว่าเจ้าเป็นลูกสาวของใครเชียว”
“แน่นอนว่าลืมไม่ได้อยู่แล้ว! ข้าก็เป็นลูกสาวที่ท่านพ่อรักที่สุดอย่างไรเล่า!” นางยิ้มร่าแล้วประจบ เขย่าแขนของเขา “ท่านพ่อๆ ท่านไปกับข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
“เอาล่ะๆ ถึงเวลานั้นค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน!” ผู้นำตระกูลหยางเอ่ย “ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ เจ้าไปเล่นของเจ้าเองเถิด” สิ้นเสียง เขาก็เดินออกไป
ตระกูลน่าหลัว ในห้องโถงใหญ่
ผู้นำตระกูลน่าหลันมองลูกชายคนโตที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ด้านหนึ่ง ก่อนถามว่า “หอยาสวรรค์ของภูตหมอจะเปิดกิจการแล้ว เจ้าได้ไปดูบ้างหรือยัง?”
“ไม่ขอรับ” น่าหลันโม่เฉินตอบ จิบชาหนึ่งคำ จากนั้นก็ควงถ้วยชาในมือเล่น
น่าหลันจื่อเยี่ยนที่นั่งอยู่อีกด้านมองพ่อของตน ก่อนจะหันไปมองพี่ใหญ่ของเขา เอ่ยว่า “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าในเมืองมีหลายคนจับตาดูหอยาสวรรค์อยู่ เพราะพวกเขาไม่เพียงซื้อที่ดินผืนนั้นของตระกูลหยาง ยังซื้อพื้นที่แถบทะเลสาบผืนนั้นไปด้วย หนำซ้ำที่ดินแถบทะเลสาบยังวางค่ายกลไว้ด้วย ตอนนี้เข้าไปไม่ได้แล้ว แม้จะมองจากที่อื่น ก็มองไม่เห็นทิวทัศน์ในทะเลสาบแล้ว”
“เรื่องนี้มีอะไรน่าแปลก พวกเขาเคลื่อนไหวเอิกเกริกปานนี้ คนในเมืองพวกนั้นมีหรือจะไม่รู้? ข้าว่าคนพวกนั้นที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน คงกำลังคิดหาวิธีเล่นงานพวกเขาอยู่แน่ๆ”
ผู้นำตระกูลน่าหลันเอ่ยเสียงแช่มช้า ชำเลืองมองลูกชายคนโต ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ก่อนอธิบายเสริมว่า “ในเมืองร้อยนทีมีตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจต่างๆ อยู่มากมาย แม้จะไม่ได้ปรองดองกัน แต่เมื่อมีกลุ่มอำนาจจากต่างถิ่นเข้ามา พวกเขากลับสามัคคีกันร่วมต่อต้านทันที ในสถานที่อย่างนี้ คงมีแต่คนที่มีความสามารถจริงๆ และกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งจริงๆ จึงจะสามารถยืนอย่างมั่นคง และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มอำนาจในเมืองนี้ได้ ไม่เช่นนั้น ปัญหาวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น”
น่าหลันจื่อเยี่ยนได้ยินอย่างนั้น ก็ถามว่า “ท่านพ่อ อย่างนั้นท่านว่าหอยาสวรรค์จะมีความสามารถยืนอย่างมั่นคงที่นี่ได้หรือไม่?”
ได้ยินอย่างนั้น ผู้นำตระกูลน่าหลันถลึงตาใส่ลูกชายคนเล็ก กระแอมเบาๆ หันไปมองลูกชายคนโตที่เงียบมาตลอด เริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจ “โม่เฉิน เจ้าไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือ?”
“พูดอะไรหรือ?” โม่เฉินเงยหน้ามองเขา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ท่านพ่อกำลังคุยกับจื่อเยี่ยนอยู่ไม่ใช่หรือ? ยังต้องให้ข้าพูดอะไรอีก?”
“ภูตหมอเฟิ่งจิ่วคนนั้นเป็นสหายของเจ้าไม่ใช่รึ? นางบอกว่าไม่ต้องช่วย พวกเราตระกูลน่าหลันก็ไม่ต้องช่วยจริงๆ งั้นหรือ? เจ้ารู้ความสำคัญของการผูกมิตรกับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับแนวหน้าคนหนึ่งบ้างหรือไม่?”
………………………………….
ตอนที่ 1952 พบกันครั้งแรก
โม่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน ส่ายหน้า ก่อนกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ท่านพ่อ ท่านยังไม่รู้จักเฟิ่งจิ่ว นางเป็นคนที่มีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่ง”
ผู้นำตระกูลน่าหลันชะงัก ถามว่า “นิสัยประหลาดอะไร?”
“นางไม่เคยประจบเอาใจผู้ใด แล้วก็ไม่ชอบให้ใครไปประจบเอาใจนาง หากเป็นคนที่เข้าตานาง แม้จะมีพลังต่ำต้อยไม่ควรค่าให้มองเห็น นางก็จะทำดีด้วย หากเป็นคนที่ไม่เข้าตานาง แม้จะมีพลังแข็งแกร่งอีกสักเท่าใด มีอำนาจล้นฟ้าขนาดไหน นางก็คร้านจะชายตาแล”
เขายิ้มหันไปมองผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า “ที่จริงข้ากับนางก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง หากจะว่ากันตามจริง ข้าเป็นเพียงผู้คุ้มครองที่ท่านอาจารย์ส่งมาอยู่ข้างกายนาง ฉะนั้นท่านพ่อ อย่าได้คิดจะใช้ข้าไปผูกสัมพันธ์กับนาง พื้นเพของตระกูลน่าหลันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ตระกูลน่าหลันยืนหยัดอย่างมั่นคงในเมืองร้อยนทีได้แล้ว อย่าทำอะไรจอมปลอมพวกนั้นเลย หากทำเช่นนั้นจริง ไม่เพียงจะไม่เข้าตาคนอื่นเขา ตรงกันข้าม กลับจะทำให้คนอื่นดูแคลนพวกท่านอีก”
เขาวางถ้วยชาในมือลงก่อนยืนขึ้น สะบัดชายเสื้อคลุมเบาๆ เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “จะว่าไป ข้าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนางมาหลายวันแล้ว วันนี้จะไปดูสักหน่อย ค่ำนี้ข้าไม่กลับมากินข้าวนะขอรับ”
เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้าเดินออกไปข้างนอก ฝีเท้าเบาหวิวล่องลอย ราวกับเซียนที่ขี่เมฆจากไป แม้แต่บิดาและน้องชายคนเล็กของเขาก็ยังมองจนเหม่อลอย
“เจ้าลูกเนรคุณ!”
ผู้นำตระกูลน่าหลันสบถ แต่กลับโกรธไม่ลง รู้ว่าลูกชายคนโตของเขากำลังเตือนสติเขาว่า อย่าได้ทำอะไรที่จะทำให้เสียหน้า
“ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านพี่ด้วย” น่าหลันจื่อเยี่ยนบอก ไม่รอให้พ่อของเขาพูดอะไร เขาก็รีบสาวเท้าเดินตามไปเร็วๆ “พี่ใหญ่ รอข้าด้วย ข้าไปด้วย!”
มองดูลูกชายสองคนจากไป ผู้นำตระกูลน่าหลันส่ายหน้า ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังออกไปด้วยเช่นกัน
จวนเฟิ่ง
มาที่นี่เป็นครั้งแรก น่าหลันจื่อเยี่ยนเดินตามพี่ชายคนโตเหมือนคนบ้านนอกเข้าเมือง มองซ้ายที มองขวาที เอาแต่ร้องด้วยความตะลึงตลอดทาง “สวรรค์! ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีค่ายกลด้วย! ใครเป็นคนวางค่ายกลนี้กันนะ? ถ้าให้ข้าเดินเข้ามาคนเดียวต้องเข้ามาไม่ได้แน่!
จวนเฟิ่งแห่งนี้ดูจากข้างนอกเหมือนธรรมดามาก ใครจะรู้ข้างในกลับกว้างใหญ่เหมือนมีอีกแผ่นดินหนึ่ง พี่ใหญ่ ท่านดู ทางเดินและศาลาเหล่านี้ของพวกเขาประณีตงดงามกว่าของบ้านเราอีก”
ที่นี่มีผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอะไรทำนองนั้นรึไม่? ทำไมข้ารู้สึกว่าพอเดินเข้ามาแล้วถูกคนจับตาดูอยู่?”
น่าหลันจื่อเยี่ยนที่เดินตามโม่เฉินกระซิบกระซาบ เพราะไม่ได้มองข้างหน้า จึงเดินชนพี่ใหญ่ของเขาที่จู่ๆ ก็หยุดเดินอย่างไม่ทันตั้งตัว เขายกมือลูบจมูก แล้วยิ้มแห้งๆ
“พี่ใหญ่ จู่ๆ ท่านก็หยุดเดินทำไมกัน?”
โม่เฉินมองเขา ส่ายหน้าแล้วเตือนว่า “เจ้าอย่ากระโตกกระตากไป อย่างไรเจ้าก็เป็นคุณชายของตระกูลน่าหลัน เจ้าทำตัวเช่นนี้ครั้งหน้าข้ายังจะกล้าพาเจ้าออกมาอีกหรือ?”
ได้ยินอย่างนั้น น่าหลันจื่อเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย แต่กลับพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
ขณะกล่าว ก็เห็นหญิงงามคนหนึ่งที่สวมชุดกระชับตัวสีดำท่าทางเย็นชาเดินมาจากที่ไม่ไกล ยามเห็นหญิงสาวที่มีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์ เขาอดดึงแขนเสื้อพี่ชายของเขาไม่ได้ “พี่ใหญ่ แม่นางคนนั้นเป็นใคร?”
โม่เฉินมองตามสายตาของเขา ก่อนตอบว่า “นางชื่อเหลิ่งซวง เป็นคนข้างกายของเฟิ่งจิ่ว” สิ้นเสียง ก็เห็นสายตาที่น้องชายคนเล็กจ้องเหลิ่งซวง จึงอดเอ่ยเตือนไม่ได้ “คนข้างกายเฟิ่งจิ่วล้วนไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องได้ด้วยง่ายๆ ล้มเลิกความคิดพวกนั้นของเจ้าเสีย อย่าได้คิดจะไปยุแหย่นาง”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย” เขาคัดค้านเสียงอ่อย “ข้าไม่ใช่คุณชายมากรักเสียหน่อย”
………………………………….