เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 46
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 46
ราคาสำหรับการทำลายรูปปั้นหินนั้นสูงกว่าที่คิด
“ไม่ใช่”
“ยังไม่ได้”
“นี่มันแย่กว่าเดิมอีก”
เอลเลนชี้ให้เห็นว่าเทคนิคดาบทั้งหมดที่ฉันทำนั้นผิด จากนั้นเธอก็แสดงวิธีใช้เทคนิคที่ถูกต้องให้ฉันดู
“นายต้องทำแบบนี้สิ”
“……เอ่อ”
“ลองดูสิ”
ให้ตายเถอะ นี่ฉันพึ่งจะโดนบูมเมอแรงย้อนกลับใส่สินะ นี่คือราคาสำหรับการแกล้งเธอ มันทำให้ฉันหงุดหงิดจริงๆ
ขณะที่ฉันติดตามการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงอะงะ เธอก็ส่ายหัว
“ไม่ใช่แล้ว นั่นมันไม่เห็นจะเหมือนเลยสักนิด”
เอลเลนแสดงการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องให้ฉันอีกครั้งทีละขั้นตอนและบอกให้ฉันทำซ้ำอีกครั้ง แน่นอน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ท่าทางของฉันก็ดูแย่สำหรับเธอ
นี่คือสิ่งแลกเปลี่ยนกับการทำให้ เอลเลน อาร์โทเรียส ผู้เป็นเหมือนพระพุทธรูปหินโกรธ เธอจึงมาการฝึกดาบให้ฉันแบบกรณีพิเศษ
คนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนของฉันกำลังสอนฉัน ดังนั้นวิธีนี้ก็คงผลลัพธ์ดีล่ะมั้ง
เธอเป็นคนที่ไม่คิดที่จะช่วยฉันแม้ว่าฉันจะขอร้องเธอเป็นการส่วนตัวก็ตาม
แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้ทำเพื่อช่วยฉัน เอลเลนที่โกรธหลังจากที่ฉันวิจารณ์และล้อเลียนเธอ ได้ให้บทเรียนแก่ฉันในการทำแบบเดียวกันกับฉัน
ผลลัพธ์นั้นดี แต่กระบวนการนั้นไม่
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ฉันเลยรู้สึกรำคาญมากขึ้น
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
เอลเลนบอกฉันซ้ำๆ ว่า “ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนั้น” ราวกับจะแก้แค้นบทเรียนที่ฉันสอนให้เธอ
อะไรกันเนี่ย….
อันที่จริง ฉันควรจะรู้สึกขอบคุณในตอนนี้ เพราะเด็กผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่ยุ่งอยู่กับการฝึกฝนของเธอเองมาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยฉันในการฝึกดาบ
นั่นคือสิ่งที่ฉันควรจะรู้สึก
ฉันโมโห ทั้งๆที่ฉันไม่สมควรแต่ฉันโมโหมาก ฉันคงต้องเปลี่ยนความคิดก่อน
ฉันนี่มัน
ฉันเป็นร่างอวตารของพวกหน้าซื่อใจคด ฉันได้ค้นพบว่ามันสนุกมากที่ได้แกล้งคนอื่นแต่กลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนแกล้งฉัน
เด็กก็คือเด็ก ดังนั้นจึงไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนั้น
อย่างไรก็ตาม ฉันเป็นผู้ใหญ่ดังนั้นมันค่อนข้างแย่ ฉันค่อนข้างจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยล่ะนะ
“ฉันรู้ว่าเธอเก่ง เอ่อ แต่ถ้าเธอจะสอนฉัน ทำไมเธอไม่สอนฉันให้มันดีๆล่ะล่ะ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่น่าเกลียดของตัวเอง ฉันก็เลือกมองข้ามมันไปซะเลย
“ทำแบบนี้ไง”
เอลเลนแสดงท่วงท่าที่เกือบจะงดงาม เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาสงสัย สงสัยว่าทำไมฉันทำไม่ได้
ฉันเป็นอวตารที่สมบูรณ์แบบของพวกหน้าซื่อใจคด
แล้วเจอกันที่ห้องอาหาร
ฉันจะเอาคืนเธอในภายหลังแน่
* * *
หลังจากวันนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราทำบางอย่างในครัวและเอลเลนทำอาหาร ฉันจะตำหนิเธอและจู้จี้ในขณะที่ให้คำแนะนำกับเธอ และตอนที่ฉันอยู่ในโรงยิม เอลเลนจะให้บทเรียนที่เข้มงวดกับฉันมากในขณะที่ฉันกำลังฝึกทักษะการใช้ดาบ
เหมือนเราสั่งสอนกัน หากมีใครได้ยินคำเหล่านี้ คนหนึ่งอาจคิดว่าสิ่งที่เราแบ่งปันคือมิตรภาพที่สวยงาม
อย่างไรก็ตาม ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราคือมันไม่ใช่มิตรภาพจากการสั่งสอนซึ่งกันและกัน แต่เป็นความอาฆาตพยาบาท
“ยัยบ้านี่ ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องอะไรง่ายๆ แบบนี้เยล่ะ? เธอไม่รู้ว่าถ้วยตวงคืออะไรงั้นเหรอ? หรือวิธีอ่านหนังสือทำอาหาร”
“น่ารำคาญน่า”
ในห้องครัว
“นายต้องขยับแขนมากขนาดนี้ ในระดับนั้น แบบนี้ ทำไมนายทำไม่ได้ฮะ”
“เพราะฉันหมดแรงแล้วไงล่ะ นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วนะ ถ้าฉันสามารถเคลื่อนไหวได้ในสภาพนี้ มันคงจะแปลกมากเลยล่ะ”
“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ”
“…ก่อนหน้านั้นฉันทำได้ดีกว่านี้! ตอนนั้นฉันอยู่ในสภาพที่ดีล่ะนะ!”
“…ถ้านายคิดว่าแบบนั้นดีกว่า…. บางทีนายอาจต้องทนทุกข์ทรมานเพิ่มอีกสักหน่อย”
“นายเก่งมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
ในโรงยิม
เช่นนี้เรากำลังสร้างสายโซ่แห่งความอาฆาตพยาบาทที่เกิดจากการสั่งสอนสุดโต่งของเรา
แม้ว่าเธอจะพูดเสมอว่ามันน่ารำคาญ แต่เธอก็สนุกกับการทำอาหารอย่างแน่นอน เธอดูเหมือนเบื่ออาหารว่าง ฉันเห็นว่าเธอทำตามที่ฉันสอนแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเก่งก็ตาม
ในทางเทคนิคแล้ว เธอดูเหมือนจะต้องการเรียนรู้วิธีทำอาหารด้วยตัวเองจริงๆ แม้ว่าจะฟังคำแนะนำของฉันแล้วก็ตาม แทนที่จะแค่อยากจะอวดว่าเธอทำอาหารอะไรให้ฉันดู
ฉันต้องการเรียนวิชาดาบเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงทำตามที่เอลเลนบอกเสมอ
ไม่ใช่แค่การฝึกดาบเท่านั้น
“พยายามกว่านี้อีก”
ฉันสู้กับเอลเลนด้วย เมื่อฉันรีบแทงดาบเข้าหาเธอ เอลเลนเอาดาบของเธอมาจ่อกับฉันแล้วเลื่อนดาบออกด้านนอก และฟาดเข้าที่ช่องท้องของฉันด้วยด้านขวาของเธอ
-พัค!
“โอ้ย!”
ทันทีที่ฉันล้มลง เอลเลนก็เอาดาบมาจ่อคอฉัน
“นายตายแล้ว”
นี่ไม่อาจจะเรียกว่าการฝึกต่อสู้ด้วยดาบอีกต่อไป มันเป็นเพียงการฟาดฟันฝ่ายเดียว ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เธอก็ส่งฉันบินในทันที
“นี่มันไม่ใช่การทุบตีร่างกายเหรอ? นั่นมันฟาวล์ไม่ใช่รึไง?”
เมื่อได้ยินคำพูด ของฉัน เอลเลนก็เอียงศีรษะ
“ไม่มีสิ่งนั้นในการต่อสู้จริง”
นั่นเป็นคำพูดที่โหดร้ายสำหรับเด็กที่จะพูด แต่เธอพูดถูก ดังนั้นฉันจึงหาข้อหักล้างไม่ได้
หลังจากนั้น เอลเลนก็สอนวิชาดาบในรูปแบบต่างๆ เทคนิคการรุกและการรับในขณะที่ฝึก เอลเลนนั้นรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้เรียนรู้จากการบรรยายทฤษฎีการใช้ดาบ
เป็นความจริงที่การฝึกกับคู่นั้นมีประโยชน์มากกว่าการฝึกฝนเทคนิคการใช้ดาบอย่างหัวชนฝาด้วยตัวคนเดียว
ฉันลองดูข้อมูลทางกายภาพของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีรายละเอียดใดๆ และความสามารถหลายอย่างของเธอถูกแก้ไข ที่ได้รับการประกาศในห้องเรียน มันเป็นเหมือนรูปแบบที่เรียบง่ายของหน้าจอสถานะก็ว่าได้
รอยัลคลาส ปี 1 A-2 เอลเลน
[พละกำลัง 16.5(B)] [ความว่องไว 18.3(B+)] [ความคล่องแคล่ว 20.2(A-)] [เวทมนตร์ 23(A)][พลังกาย 15.3(B-)]
พรสวรรค์
[ความชำนาญด้านอาวุธ][การควบคุมเวทมนตร์]
มันดูง่ายมากเมื่อเทียบกับสถานะของฉันที่ระบบแสดงให้ฉันเห็น ข้อมูลที่เครื่องสแกนร่างกายไม่สามารถเข้าใจได้จะไม่แสดงบนนั้น ตัวอย่างเช่น อันดับของทักษะดาบหรือทักษะที่มี
เอลเลนมีความสามารถมากมาย แต่วิหารได้ลดรายชื่อพวกนั้นลง เหลือเพียงความชำนาญด้านอาวุธและการควบคุมเวทมนตร์ แม้ว่าเธอจะมีความสามารถรอบด้านอยู่แล้ว แต่ความชำนาญด้านอาวุธ การควบคุมเวทมนตร์ก็เป็นอีกความสามารถหนึ่ง ซึ่งรวมพรสวรรค์การจัดการเวทมนตร์ ความไวเวทมนตร์ และการเติบโตของเวทมนตร์
เพียงแค่มีพรสวรรค์ทั้งสองนี้ เธอก็นำหน้าเบอร์ทัสไปไกลแล้ว แต่พวกเขายังกล้าเรียกเธอว่าเลขที่ 2
เธอไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์เพื่อที่จะเก่งขึ้น
แม้ว่าเมื่อพิจารณาถึงความสามารถทางกายภาพของเธอแล้ว เอลเลนก็เหนือกว่าฉันมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอันดับ F หรือ D
ในการจัดอันดับการต่อสู้ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในอันดับ
ในระบบการจัดหมวดหมู่นั้น เอลเลนอยู่ในระดับที่สูงอย่างน่าขันอยู่แล้ว
สถานะระดับ S หรือสูงกว่านั้นจะอยู่ในระดับเหนือมนุษย์แล้ว อันดับนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยผู้ที่มีระดับปรมาจารย์หรือสูงกว่าเท่านั้น
ฉันไม่รู้ว่าระดับการต่อสู้ของเธอจะเป็นอย่างไร แต่น่าจะสูงกว่าระดับ A
ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นของเธอหรือใครก็ตามในรอยัคลาสมีความสามารถทางกายภาพในระดับนั้น
“เอิ๊ก!”
“ฮึก!”
“เครก!”
“อูวาร์ก!”
.
.
.
ดูเหมือนว่ายัยบ้านี่นั่นแค่ใช้การสอนเป็นข้ออ้างเพื่อทุบตีฉันไม่ใช่รึไง?
อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างผ่านสิ่งนั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ทักษะดาบไม่ใช่แค่การใช้ดาบเท่านั้น แต่รวมถึงร่างกายทั้งหมด รวมถึงหมัดและเท้าด้วย มีแม้กระทั่งเทคนิคที่ใช้ลักษณะของการต่อสู้ซึ่งรวมถึงการใช้ดาบเป็นเพื่อช่วยคว้าปลอกคอของคู่ต่อสู้
นั่นคือเหตุผลที่ฉันตระหนักว่าแขนที่ไม่ได้ถือดาบก็มีความสำคัญเช่นกัน ไม่ว่าจะถือดาบด้วยมือทั้งสองข้าง เพื่อเบี่ยงเบนดาบของศัตรู เพื่อปราบศัตรูมือเปล่า หรือจับใบมีดของศัตรู
มีมากมายจนฉันไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
“ฮึ!”
– ตุ้บ!
ในตอนนั้น เธอปัดดาบของฉันออก เธอเกือบจะบดขยี้ฉัน โดยไม่ลืมการทำอะไรแปลกๆ โดยจ่อดาบมาที่คอของฉันแล้ว…
“นายตายแล้ว”
…บอกฉันว่าฉันตายหลังจากชนะฉัน
“เธอตัวหนักนะ รู้มั้ย….”
แม้ว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของวิชาดาบ แต่ช่วยอย่าขึ้นขี่ฉันแบบนั้นได้มั้ย ระหว่างที่เราฟาดฟันกัน เอลเลนแสดงให้ฉันเห็นหลายๆ วิธีในการเอาชนะด้วยดาบ คราวนี้เธอแสดงให้ฉันเห็นบางอย่างที่น่าตะลึง
“……เธอกำลังเยาะเย้ยฉันอยู่หรือเปล่าฮะ?”
“อะไร?”
“ตอนนี้คุณกำลังถือดาบกลับหัวเพื่อเอาชนะฉันรึเปล่า”
เธอถือดาบของเธอและตีฉันที่ศีรษะด้วยด้าม เมื่อฉันเห็นแบบนั้น ฉันรู้สึกว่ามันไร้สาระ
เอลเลนส่ายหัว
“…มันเป็นวิธีใช้มันจริงๆ กับศัตรูที่ติดอาวุธหนัก”
“มีเทคนิคแปลกๆ แบบนี้ด้วยในการใช้ดาบด้วย? เกิดอะไรขึ้นถ้ามันตัดมือขึ้นมาล่ะ?
“มันไม่ตัดง่ายๆ หรอก”
เอลเลนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เพียงเพราะนี่คือดาบฝึกหัด แต่ฉันไม่ไว้ใจเธอ 100% เรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม อย่างที่ฉันรู้อยู่แล้วจากประสบการณ์ตรง เอลเลนไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องเรียนวิชาดาบเหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ
เอลเลนพยายามสอนฉันเกี่ยวกับทักษะการใช้ดาบของเธอ รวมถึงวิธีปราบศัตรู และบอกให้ฉันลองทำดูด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอทุบตีฉันมากเสียจนไม่สามารถนับจำนวนการพ่ายแพ้ของฉันได้อีกต่อไป ดังนั้นในท้ายที่สุด เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอธิบายให้ฉันฟังอย่างช้าๆ
เธอสอนฉันถึงวิธีหักเหดาบ วิธีใช้แขนซ้ายของฉันโดยไม่ถือดาบ และสุดท้ายก็คล้ายกับเทคนิคการโค่นล้มเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ล้ม ซึ่งดูเหมือนพวกเขาออกมาจากเกมศิลปะการต่อสู้เลย
ถึงกระนั้นฉันก็เริ่มสงสัยว่าฉันจะทำสิ่งเหล่านี้ได้มั้ยนะ
“นายช้าเกินไป และท่าทางของนายก็งุ่มง่าม”
แม้ว่าฉันจะถูกบดขยี้ภายใต้เธอ เอลเลนก็ส่ายหัวราวกับว่าไม่เป็นเช่นนั้น ไม่สิ ถ้าฉันเป็นเด็กวัยรุ่นจริงๆ ฉันคงตื่นเต้นมากที่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้!
เธอไม่เห็นหรือว่า เลขที่ 5 คลิฟฟ์แมน ซึ่งยืนอยู่ข้างเราในขณะนี้ กำดาบของเขา กำลังดูเราโดยสงสัยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่? เธอไม่เห็นเขาเหรอ?
เดี๋ยวก่อน
ทำไมเธอถึง
เธอมองมาที่ฉันราวกับว่าฉันเป็นแค่เด็กเหลือขอ!
“อีกครั้ง”
ไม่ใช่แค่ฉัน แม้แต่เอลเลนก็เหงื่อท่วมตัวเช่นกัน เพราะเธอคอยช่วยฉันมานานแล้ว
ฉันคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสม คู่ต่อสู้ของฉันหยิ่งมากและเห็นฉันเป็นแค่เด็ก
ผลที่ตามมา
“แขนฉันจะฉีกแล้ว!”
“มันจะไม่แน่นอน”
เราทั้งคู่จดจ่ออยู่กับการฝึกทักษะดาบและบทเรียน
* * *
วันที่ดวลกันคือหลังเวลาอาหารกลางวันของวันอาทิตย์
และตั้งแต่วันศุกร์ เอลเลนบังคับให้ฉันทำอะไรแปลกๆ
“จับไว้ให้แน่น”
-ปัง!
“!”
เธอกระแทกเข้ากับด้านข้างของดาบที่ฉันถืออยู่ในขณะที่เล็งไปข้างหน้า
ดาบฝึกหัดซึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือของฉัน กระทบพื้นโรงยิม
“ทุกเทคนิคในโลกนี้ไร้จะประโยชน์ทันทีหากนายทำดาบหลุดมือ”
หากสูญเสียไป คุณจะจบลงด้วยการตาย
“การยึดเกาะของนายยังอ่อนแอเกินไป”
การจับของฉันอ่อนแอมากจนฉันจะเสียดาบด้วยการตีเพียงครั้งเดียวแบบนั้น เอลเลนพยายามทดสอบแรงจับของฉันเมื่อวันศุกร์ เธอจึงกระแทกดาบของฉันออกไปแทนที่จะกดข่มฉัน โดยต้องการให้ฉันจับดาบให้แน่นที่สุด
ไม่เพียงแต่มือของฉันรู้สึกซ่าๆ เท่านั้น ยิ่งเราฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การจับของฉันก็ยิ่งอ่อนแอลง
และ
เราทำอย่างนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ? เมื่อเอลเลนฟาดดาบของฉันอีกครั้ง ดาบก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
“อะ อะไรน่ะ…?”
เมื่อดาบหัก มือของฉันก็ไม่เจ็บ แต่เธอฟาดแรงจนทำลายดาบได้จริงๆ หรือ? เอลเลนมองไปที่ดาบฝึกหัดที่หักและหยิบชิ้นส่วนที่เหลือขึ้นมา
“ดาบฝึกหัดมักจะไม่ทนทานเท่าไหร่ มันแตกหักง่าย”
ดูเหมือนว่าเธอจะทำหักไปสองสามอันก่อนหน้านี้แล้ว
“นี่คือสิ่งที่วิหารใช้เหรอ?”
“มันคงเป็นปัญหาถ้าดาบฝึกหัดมีคุณภาพที่สูงเกินไป”
มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถ้าใครได้รับอันตรายจากการใช้สิ่งเหล่านี้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจงใจใช้วัสดุคุณภาพต่ำเพราะหากทนทานเกินไปก็ไม่มีอะไรดีตามมา แม้ว่ามันจะไม่มีข้อได้เปรียบ แต่ก็สามารถกลายเป็นอาวุธไม่มีคมได้หากใช้ความแข็งแกร่งเพียงพอ
“อย่าปล่อยดาบของนายสิ”
“มันไม่ได้ทำง่ายอย่างที่คิดนะเฟ้ย”
หลังจากที่ดาบหักฉันก็ล้มลงบนพื้น ฉันไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปเพราะมือของฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะหัก
แรงยึดเกาะเป็นสิ่งสำคัญ
ดังนั้น เอเดรียน่าจึงมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแรงในการยึดจับระหว่างการฝึกร่างกายของเธอ เธอยังคงฝึกฝนการยึดจับของเธอ โดยกล่าวว่าการยึดจับที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้ด้วยดาบ
วันนี้เอลเลนทำการทดสอบต่อไปว่าฉันจะทำดาบหลุดมือมั้ยโดยการตีมันในมุมต่างๆ
คลิฟฟ์แมนก็กลับไปพักผ่อนด้วย ดังนั้นในโรงยิมจึงมีแค่เราสองคน แน่นอนว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เราสามคนเสมอไป เบอร์ทัสและอีริชก็มาฝึกด้วยในบางครั้ง
เบอร์ทัสยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าเมื่อเห็นฉันฝึกกับเอลเลน เขาไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับการดวลที่ฉันวางแผนไว้ แม้ว่าเขาจะดูภูมิใจเล็กน้อยที่ได้เห็นฉันพยายามฝึก
เขาคงประทับใจในการเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาหมายเลข 1 ของเขาทำได้ดีแม้ว่าจะถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพังก็ตาม
นอกจากนี้ เนื่องจากฉันจดจ่ออยู่กับการฝึกซ้อมเพื่อการดวลตัวต่อตัว ปัญหาบางอย่างของฉันก็หมดไป คนอื่นๆคงไม่อยากมายุ่งกับฉันตอนนี้สักเท่าไหร่
ถึงกระนั้น ทุกคนก็เฝ้ารอคอยวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
มันเป็นวันที่ไอ้เจ้าโรคจิตไรน์ฮาร์ดจะถูกสั่งสอน ทุกคนที่เกลียดฉันจะมาดูการต่อสู้แน่นอน
“นายจะแพ้”
จู่ๆ เอลเลนก็บอกฉัน ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้เกี่ยวกับการต่อสู้ของฉัน
มันคงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอที่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆฉันถึงจดจ่อกับการฝึกแบบนั้น
“ฉันรู้อยู่แล้ว”
ทุกคนบอกฉันว่าฉันจะแพ้ และฉันก็รู้ดี เอลเลนก็รู้ว่าฉันไม่มั่นใจเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงพูดเรื่องนี้ล่ะ?
“นายต้องการที่จะชนะมั้ย?”
เธอถามฉันอย่างนั้น ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเจตนาอะไร แต่การเห็นเอลเลนถามแบบนี้ แสดงว่าเราสนิทกันมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ฉันอยากจะชนะ
“ก็ตามปกติน่ะ”
คงจะดีถ้าฉันสามารถชนะได้ แต่ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ก็ตาม ฉันจะได้รับคะแนนเป็นสามเท่าเป็นรางวัล เอลเลนไม่แม้แต่จะมองมาที่ฉันด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ เธอก็หันมาจ้องที่ฉันตรงๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่สงบนิ่งของเธอจ้องมองมาที่ฉัน
เธอช่างงดงามจริงๆ
“ฉันรู้วิธีที่จะทำให้นายชนะ”
“…พูดอะไรของเธอน่ะ?”
เธอหมายถึงอะไร? ไม่ว่าฉันจะคิดถึงเรื่องนี้มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ฉันจะเอาชนะคนที่มีพรสวรรค์ด้านดาบระดับสูงในหมู่นักเรียนชั้นปีที่สองได้หรอก ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เอลเลนดูเหมือนจะรู้อย่างน้อยหนึ่งวิธีที่ทำให้ฉันชนะการดวลครั้งนี้
“มันคืออะไร?”
“……คิดให้ดีว่าการดวลคืออะไร”
นั่นคือทั้งหมดที่เอลเลนพูด
“เดี๋ยวก่อน เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
ฉันถามว่าเธอหมายความว่ายังไง แต่เธอก็ปิดปากไว้ราวกับว่าเธอไม่ต้องการบอกฉันมากกว่านี้