เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 56
บทที่ 56 : ดูอะไรก็ตามสบายเลย
“ที่นี่น่ะเหรอ”
แอคเกอร์แมนเงยหน้าขึ้นกลางสายฝน สายตาทอดมองไปยังร้านหนังสือซึ่งอยู่ไม่ไกล
หยาดฝนเทสาดลงฮู้ดบนหัวแล้วไหลลงมาตามเสื้อกันฝนจนไปรวมกับน้ำขังบนพื้น
ภาพตรงหน้าตรงกับในรายงานของสมาคมแห่งสัจธรรมไว้เป๊ะ ร้านหนังสือธรรมดาที่ดูโทรมไปนิดหน่อย แถมยังไม่มีแม้แต่ป้ายแขวน
ถ้าเขาไม่เห็นชั้นวางหนังสือถูกวางเป็นแถวเรียงกันผ่านหน้าต่างสวย ๆ นั่นละก็ แอคเกอร์แมนคงไม่คิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นร้านหนังสือ
‘ดูไม่ค่อยหัวการค้าเท่าไหร่เลยนะ… เจ้าของร้านหนังสือคิดจะทำมาค้าขายกับเขาบ้างรึเปล่า?’
‘เหมือนเจ้าตัวพยายามทำให้บรรยากาศร้านดูหม่นแปลก ๆ ด้วย’ แอคเกอร์แมนจึงยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาหลุบตาลง ตั้งสมาธิเพื่อตรวจจับเศษอีเธอร์ในสายฝน และพึ่งเซนส์การดมอันคมชัดของตนเพื่อสรุป
มีร่องรอยกลิ่นอายอีเธอร์ของไวลด์อยู่จริงในร้านหนังสือนี้ และสัมผัสได้ชัดกว่าที่อื่นตามที่ข่าวลือว่าไว้เสียอีก
แม้ว่ามันจะถูกกลบไว้อย่างดีเยี่ยม แต่มันยังไม่อาจรอดจมูกของแอคเกอร์แมนได้
มีกลิ่นอายอันตรายอยู่ กลิ่นไม่ได้แรงมาก ราวกับว่าเป็นการผสมกันของสิ่งมีชีวิตและจิตวิญญาณ การใช้มันในการปกป้องประตูก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
ทว่าการใช้มันไล่ตัวตนอันแข็งแกร่งระดับแอคเกอร์แมนนั้นเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้
รายงานของสมาคมแห่งสัจธรรมเขียนไว้ว่าไวลด์มายังร้านหนังสือสองครั้ง และแต่ละครั้งก็อยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทว่าจากที่เขาเห็น แอคเกอร์แมนรู้สึกว่าร้านหนังสือไม่ใช่ฐานสำคัญอะไรแต่เป็นสถานที่แวะเวียนมามากกว่า บางทีอาจมาเพื่อข้อมูล หรืออาจเพื่อสินค้าคุณภาพดีก็ได้
หลายคนมาที่นี่พร้อมกับของบางอย่าง และของบางอย่างก็ถูกทิ้งเอาไว้เช่นกัน
ร่องรอยอีเธอร์ผสมปนเปกันในอากาศ สร้างเป็นภาพอันแสนลึกลับซับซ้อน
ในบรรดาร่องรอยทั้งหมด ร่องรอยออร่าที่ไวลด์ทิ้งไว้นั้นชัดเจนและถี่กว่าใครอื่น
แอคเกอร์แมนเปิดตาในที่สุด
หากเป็นเช่นนี้ ไวลด์ต้องมาอีกครั้งแน่
ต้องเป็นเพราะความคิดแบบนี้แน่ ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้สมาคมแห่งสัจธรรมเลือกจะไม่ลงมือทำอะไรที่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
มันต้องมีโอกาสจับตัวไวลด์ได้อีกตราบใดที่เขายังกลับมา
ทว่าเป็นเพราะความวุ่นวายที่ลัทธิสีชาดและหมาป่าขาวก่อเอาไว้ สมาคมแห่งสัจธรรมจึงกำลังยุ่งหัวหมุนในการจับหนูพวกนั้นอยู่ “มาคิดอีกที เรื่องน่าจะใกล้ถึงจุดจบแล้วนี่” แอคเกอร์แมนพึมพำพลางมองถนนหนทางด้านหลังเขาซึ่งกำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง นี่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ แต่การก่อสร้างกลับยากกว่าปกติเสียอีกเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ
ดังนั้น มันจึงง่ายกว่ากันเยอะที่จะพากันย้ายผู้พักอาศัยไปเขตอื่น พร้อมเลื่อนแผนการสร้างใหม่หลังทำความสะอาดย่านนี้เสร็จ
เศษอีเธอร์ที่กระจัดกระจายยังคงลอยฟุ้งในอากาศราวกับควันหลงการต่อสู้ก็มิปาน แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่กลิ่นควันและคาวเลือดยังคงอยู่
หอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมถนัดปกปิดเรื่องแบบนี้เสียจริง
การตายของมอร์เฟย์มันหมายถึงลัทธิสีชาดและหมาป่าขาวต่างเสียผู้สนับสนุนอันทรงพลังที่สุดในแง่พลังและขวัญกำลังใจ
“จุ๊ ๆ คิดจะอัญเชิญอาเพศมาจริง ๆ ด้วยสินะ หวังว่ายัยนั่นจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนตาย” แอคเกอร์แมนเอ่ย ริมฝีปากยกยิ้มถากถางขึ้นมา
แม้ว่าการที่ผู้หยั่งรู้อันยิ่งใหญ่มาเยือนสมาคมแห่งสัจธรรมจะถือเป็นความโชคร้ายของตัวมอร์เฟย์เอง แต่ความเสียหายนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาอยู่ดีแม้โดริสจะไม่มา
“กระจกมนตรานั่น…แข็งแกร่งถึงขั้นยั่วยวนวิญญาณคนจนเสียสติสัมปชัญญะเลยรึไงกัน” แอคเกอร์แมนส่ายหน้าแล้วกลับหลังหัน นี่เป็นอะไรที่เขาไม่คิดอยากลองเลยสักนิด
ตอนนี้ภารกิจของเขาคือการรอโอกาสเพื่อได้รับผลการประเมินขึ้นเป็นระดับภัยพิบัติในภายหลัง
เขาเป็นนักล่า และสัญลักษณ์สำคัญของนักล่าที่ดีคือการระมัดระวังและความอดทน
แอคเกอร์แมนยังไม่เข้าไปในร้านหนังสือ แต่กลับเลือกจะตรวจสอบรอบด้านอย่างละเอียดแทน
เสียงโหวกเหวกของฝูงชนที่มาเพื่อดูที่เกิดเหตุ ‘แก๊สระเบิด’ ดังเซ็งแซ่เต็มไปหมด ดังนั้นการมาเดินรอบ ๆ พื้นที่นี้ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
เขาสำรวจไปทั่วพลางตรวจจับร่องรอยอีเธอร์รอบร้านหนังสือ แต่กลับพบเพียงนิดเดียวเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองทำเกินตัวไปหน่อย
เพราะหากเขาเข้าไปในร้านหนังสือ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่การแสร้งทำเป็นลูกค้าทั่วไปและตรวจสอบขั้นพื้นฐานเท่านั้นเอง
สุดท้ายแอคเกอร์แมนก็สะบัดเสื้อกันฝน ก่อนสาวเท้าไปยังประตูที่แขวนป้าย ‘เปิด’ เอาไว้และผลักมันเข้าไป
เสียงกระดิ่งดังขึ้น
ภาพหยาดน้ำฝนตกลงบนพื้นไม้เป็นแอ่ง พร้อมกับการตกแต่งด้านในร้านหนังสือเข้าสู่ครรลองสายตา
ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยนอกจากรูปปั้นการ์กอยล์บนเคาน์เตอร์ซึ่งมีอีเธอร์ของไวลด์หมุนเวียนอยู่อย่างเด่นชัด ดวงตาสีแดงฉานเปล่งประกายดูน่าหวั่นเกรงเป็นพิเศษ
ทว่าจากประสบการณ์แล้ว แอคเกอร์แมนรู้ดีว่าของประเภทนี้จะโจมตีตอบโต้ต่อจิตสังหารหรือเมื่อเจ้าของของมันสั่งเท่านั้น
แอคเกอร์แมนจะปลอดภัยแน่นอนตราบใดที่เขาไม่แสดงเจตนาการฆ่าหรือการมุ่งร้ายใด
ชายหนุ่มเชื่อมั่นในการปลอมตัวของตนมาก ต่อให้มีคนระดับเดียวกันอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะไม่ทันรู้ตัวเลยจนกว่าแอคเกอร์แมนจะเริ่มแสดงตัว
แอคเกอร์แมนย่างก้าวเข้าไปแขวนเสื้อกันฝนบนไม้แขวนร่ม เขาเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูงสุดและควบคุมกล้ามเนื้อทุกมัดของตนเพื่อไม่เปิดเผยความน่าสงสัยใดพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ
ชายหนุ่มที่เคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมาถามตามปกติ “ยินดีต้อนรับครับ! ไม่ทราบว่าจะยืม อ่าน หรือซื้อหนังสือดีครับ”
ตอนนี้แอคเกอร์แมนกำลังสวมบทเป็นชายวัยทำงานปกติทั่วไป ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปเฉย ๆ “แค่แวะมาดูอะไรหน่อยน่ะ”
แน่นอนว่าเขาเป็นแค่คนปกติที่มาดูอุบัติเหตุและเข้ามาเดินเล่นร้านหนังสือด้วยความบังเอิญ
คนแบบนี้ย่อมไม่มีอะไรในกอไผ่และไม่ต้องเลือกทางเลือกใดทั้งนั้น
แอคเกอร์แมนเดินไปยังเคาน์เตอร์พลางคิดกับตัวเองว่าเจ้าของร้านคนนี้ช่างดูเป็นคนปกติเหลือเกิน
หรือว่าที่นี่จะเป็นโกดังเก็บของและเจ้าของร้านหนังสือจะเป็นแค่หมากใช้แล้วทิ้งที่เอาคนอื่นมาแทนได้ง่าย ๆ กันนะ?
สายตาของแอคเกอร์แมนไล่มองไปบนเคาน์เตอร์
ในร้านหนังสืออึมครึมสุดโมโนโทนนี้ สิ่งเดียวที่มีสีสันบนโต๊ะคือต้นไม้บนกระถาง
เป็นกุหลาบแดงที่ใกล้เบ่งบานเต็มทน แสงสะท้อนหยดน้ำที่เกาะบนกลีบกุหลาบถือว่าเป็นวิวที่น่ารักน่าชังดี
จะเรียกว่าเป็นจุดชวนให้ใจเบิกบานท่ามกลางร้านหนังสือสุดอึมทึมนี้เลยก็ว่าได้
แต่ก็เป็นแค่กุหลาบทั่วไป
แอคเกอร์แมนตัดสินใจเดินดูรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบครั้งที่หนึ่ง
ตอนนั้นเอง กุหลาบนั้นโยกเยกเล็กน้อย แล้วลูกตาก็ผลุบขึ้นมาตรงกลางดอก ของเหลวบางอย่างยังคงไหลย้อยออกมาจากมัน ลูกกะตาหมุนไปเล็กน้อยก่อนจะจ้องตรงไปยังแอคเกอร์แมน
แอคเกอร์แมนตัวแข็งทื่อ ร่างกายทุกตารางนิ้วพลันชาดิก เขาต้องการถอยกลับทันทีแต่กลับพบว่าตนถูกตรึงเอาไว้เสียแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะสบเข้ากับสายตาจ้องมองของลูกตานั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือนกับวิญญาณของตนถูกกักขังและกลืนกินโดยอะไรบางอย่าง
‘กับดักเหรอ!’
‘เป็นไป…ได้ยังไงกัน!?’
‘สัมผัสอะไรไม่ได้เลยแท้ ๆ! ความผันผวนของอีเธอร์ยังไม่มีด้วยซ้ำ!’
ชายหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ส่งรอยยิ้มฉันมิตรให้พร้อมกล่าว “จะดูอะไรก็ตามสบายเลยครับ ไว้มีคำถามอะไรค่อยมาหาผมก็ได้”