เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 356 : กินทิ้งกินขว้างมันน่าอาย
บทที่ 356 : กินทิ้งกินขว้างมันน่าอาย
ใครมันจะไปกระเดือกของพรรค์นี้ลงวะเฮ้ย??!!!
เกร็กตะลึงงัน
หัวใจของเขากำลังคำรามลั่น อยากจะหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนระดับเหนือนภานั่นเหลือเกิน
แต่เขายังคงแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของภารกิจจากหอพิธีกรรมต้องห้ามในการช่วยชีวิตโจเซฟ เขาไม่สามารถหนีได้เลย…
กระทั่งระดับเหนือนภาที่ควบคุมกฎแห่งเวลายังไม่มีทางทำอะไรเขาได้เลย นี่มันตัวตนที่กำจัดไม่ได้ชัด ๆ!
เรื่องโชคดีเรื่องเดียวก็คือเมื่อเจ้าของร้านหลินปล่อยอีกฝ่ายไปด้วยเหตุผลบางประการ เขาก็ทำให้กาลเวลาในคฤหาสน์ย้อนกลับไปที่จุดเดิมด้วย
ไม่มีใครบาดเจ็บ และไม่มีใครจำการต่อสู้ไร้เสียงเมื่อครู่ได้
เว้นแต่พวกเขาที่เห็นเรื่องราวแต่ต้นจนจบ พวกเขายังจำได้
หลินเจี๋ยมองคนหนุ่มสาวทั้งสามตรงหน้าเขาอย่างเคลือบแคลง เครื่องหมายคำถามปลิวว่อนเหนือหัว
ไหงพวกเขาถึงมองเราในท่าทางแปลก ๆ ไม่กระดุกกระดิกแบบนั้นล่ะ?
เราแค่ตัดเค้กกินไปไม่กี่คำเองนะ แล้วพอเงยหน้าขึ้นมา จู่ ๆ สีหน้าของพวกเขาก็พิลึกพิลั่นสุด ๆ ไปแล้ว?
แถมแต่ละคนก็ทำสีหน้าแปลก ๆ ต่างกันอีก…
เกร็กดูตกใจราวกับเห็นแม่หมูปีนต้นไม้ สีหน้าของเขาดูเหมือนจะหวาดกลัวเล็กน้อย
สีหน้าของเขาเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกหน้าประตูห้อง หรืออาจจะร้ายแรงกว่า
เฟจดูมึนงงเหมือนเพิ่งฟื้นจากอาการสติหลุดสุดขีด ราวกับเพิ่งไปเกาะชวามาระยะหนึ่ง
ชาร์ล็อตต์…ดูปกติที่สุด สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ดวงตาของเธอที่มองหลินเจี๋ยเร่าร้อนมากกว่าเก่า มันเป็นความเร่าร้อนแบบสาวกที่เห็นพระเจ้าสำแดงปาฏิหาริย์แล้วอยากจัดพิธีบูชายัญคนมันเสียเดี๋ยวนั้น
อืม…นี่ก็ดูไม่ปกติอยู่ดี!!
แต่จะว่าไปแล้ว เธอก็น่าจะเป็นคนที่ปกติที่สุด แค่ว่าความรู้สึกของเธอลึกล้ำขึ้นนิดหน่อย…
แล้วทำไมเกร็กกับเฟจเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?
หลินเจี๋ยครุ่นคิดหนัก
หลังจากคิดแล้ว หรือว่ากฎสามวินาทีที่เขาบ่นกับตัวเองหลังทำเค้กตกจะเป็นตัวการที่ทำให้คนจากโลกอื่นที่ไม่มีแนวคิดนี้มีปฏิกิริยาใหญ่หลวง?!
เมื่อคิดเรื่องที่เกร็กเป็นลูกผู้ดีที่สง่างามและละเอียดอ่อน เรื่องนี้ดูไม่ถูกสุขลักษณะอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันมากพอที่จะทำให้เขามีสีหน้าสะพรึงกลัว
อืม…ดูสมเหตุสมผลอยู่
ส่วนเฟจ อดีตคนเร่ร่อนต้องเคยมีประสบการณ์หยิบอาหารตกพื้นขึ้นมากินด้วยความเสียดายมาก่อนแน่นอน ปกติแล้วเขาไม่น่าจะตอบสนองมากเกินไปนัก
แต่ในขณะเดียวกัน จากการจับตามองในระยะสั้นของหลินเจี๋ย เจ้าหมอนี่จนแต่หน้าใหญ่มาก ในขณะที่ปากบอกว่าเกลียดระบบชนชั้น เขากลับพยายามทำตัวให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับ ‘สังคมชั้นสูง’ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะทำตัวแบบคนจนในที่สาธารณะอย่างแน่นอน
ดังนั้นสีหน้าที่แข็งค้างของเขาอาจเป็นเพราะไม่คาดฝันว่าจะมีใครบนโลกที่กระทำตัวไม่เคารพสถานที่ แล้วมาใช้กฎสามวินาทีในงานเลี้ยงระดับสูงก็ได้…
พอคิดแบบนี้แล้วก็ฟังขึ้น
“อืม…”
แต่นั่นไม่ใช่ว่าเขาควรละอาย?
ไม่…ไม่…ไม่เลย! ภาพลักษณ์ที่ปรึกษาวิชาชีวิตต้องไม่พังทลาย เขาต้องยืนหยัด!
หลินเจี๋ยปิดปากกระแอมสองครั้งแล้วพูดอย่างเขิน ๆ “ผมยอมรับครับว่าการกระทำเมื่อครู่ไม่สุภาพไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่น่ามีปฏิกิริยาใหญ่โตนักหรอกใช่ไหมครับ? ผมก็แค่…กังวลนิด ๆ เพราะถึงอย่างไรอาหารก็ไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ การกินทิ้งกินขว้างมันน่าอายครับ”
เจ้าของร้านหลินอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง ใช้นิ้วของเขาทำท่าทาง แล้วมองคนทั้งสามด้วยดวงตาใสซื่ออย่างมาก “ใช่ไหมครับ?”
เงาร่างเบื้องหลังเขาซึ่งหลอมละลายไปในความมืดดูจะหันหน้าหน่อย ๆ ราวกับกำลังมองมาที่นี่
เกร็กที่ถูกสายตาเช่นนี้กดดันนั่งตัวสั่นเทา เขามองสีหน้าใสซื่อของหลินเจี๋ยแล้วสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม จากนั้นก็ราดน้ำเย็นใส่หัวตัวเองเพื่อสงบสติทันที
เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างแรง “ม…ไม่ครับ! คุณพูดถูกแล้ว ใช่ อาหาร…” เขาชะงักไปแล้วฝืนยิ้มที่ดูอุบาทว์กว่าร้องไห้ “เราต้องเคารพอาหาร”
คำพูดของเขาแทบฟังไม่ได้ศัพท์ “ใช่ครับ มันจะไม่สุภาพได้อย่างไร มันสุภาพเกินไปด้วยซ้ำครับ! กลับกัน ผมคิดว่าพฤติกรรมฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองต่างหากที่ไม่สุภาพจริง ๆ เหมือนพวกผู้ดีคางเชิดพวกนั้นแหละครับ พวกเขาสนใจแค่รูปลักษณ์ดี แต่การทิ้งจริยธรรมไปต่างหากที่แย่!”
“เพราะถึงอย่างไร โลกนี้ก็ยังมีผู้หิวโหยมากมาย แม้ว่าลำพังเราจะไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ทุกคน แต่อย่างน้อยเราก็ต้องรู้สึกขอบคุณในใจที่มีอาหารบนโต๊ะและไม่กินทิ้งกินขว้าง ใช่แล้ว…! ใช่แล้วครับ!”
หอพิธีกรรมต้องห้ามช่วยด้วย! พระเจ้ารู้ดีว่าเขาสรรหาคำว่า ‘อาหาร’ มาใช้อย่างไร!
เอะเฮะ…เฮะ ๆ ระดับเหนือนภาที่เกือบทำลายทั้งคฤหาสน์ในเขตกลางทิ้งในพริบตาถูกมองเป็นแค่ ‘อาหาร’ อย่างง่าย ๆ ความแข็งแกร่งของผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้คงใช้คำมาบรรยายไม่ได้แล้วใช่ไหม?
เกร็กกลืนน้ำลายเอื๊อก!
ตอนนี้เองที่เกร็กเพิ่งจะเข้าใจอย่างแม้จริงว่าทำไมหอพิธีกรรมต้องห้ามถึงระมัดระวังและผ่อนปรนเมื่อต้องรับมือกับร้านหนังสือและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร้านหนังสือทั้งหมด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด
มันไม่ใช่แผนสมคบคิดอย่างที่เขาคาดเดา แต่เป็นเพราะว่าถ้าพวกเขาไม่คล้อยตามอีกฝ่าย…
บางทีทั้งนอร์ซินอาจจะจบสิ้น…
หลินเจี๋ยมองเกร็กผู้ซึ่ง ‘บรรลุกะทันหัน’ ด้วยสีหน้าแปลกใจและดูโล่งอก เขาเอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่ายแล้วแสดงความชื่นชม “ผมไม่คิดเลยว่าการตระหนักในอุดมคติของคุณเกร็กจะสูงมากเลยนะครับ มิน่าล่ะโจเซฟถึงรับคุณเป็นศิษย์ วิสัยทัศน์ของเขาดีจริง ๆ”
เกร็กคั้นรอยยิ้มสั่น ๆ ออกมา ไม่กล้ามองมือที่วางบนบ่าของตน ขอแค่เขาระลึกภาพตอนที่หลินเจี๋ยใช้มือข้างนี้จับส้อมและมีดตัดเค้กน้ำผึ้ง กระเพาะปัสสาวะของเขาก็คงหลุดการควบคุมกันพอดี
เขาข่มความรู้สึกอยากวิ่งหนีไว้แล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่หรอกครับ เพราะอาจารย์สอนผมมาดีต่างหาก ผมชื่นชมการกระทำของคุณโจเซฟ ผมเลยพยายามเพื่อเข้าใกล้เขาอย่างสุดความสามารถครับ”
“ฮ่า ๆ ผมไม่ได้พูดเกินจริงหรอกครับ หายากนะที่จะมีใครคิดต่างและเป็นห่วงบุคคลในระดับฐานะอื่น โดยเฉพาะในช่วงอายุของคุณ” หลินเจี๋ยมองเฟจอีกครั้ง “…ในฐานะอดีตคนไร้บ้าน คุณเฟจน่าจะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเลยล่ะ”
แม้ว่าเขาจะคาดหวังให้ลูกค้าแข่งกันเพิ่มอำนาจใช้จ่ายก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้จ่ายอย่างพอเหมาะ ดังนั้นพวกเขาจะแข่งกันจริง ๆ ไม่ได้ และต้องฉวยโอกาสนี้เพิ่มความตระหนักในฐานะของตัวเองด้วย
“ห…หือ?” เฟจถูกปลุกจากภวังค์แล้วผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างกระฉับกระเฉง “ใช่!”
หลินเจี๋ยยิ้ม “เห็นไหมครับ เขาเห็นด้วยกับคุณมากเลย!”
เกร็กมองสีหน้าคลั่งไคล้ของชาร์ล็อตต์ที่อยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นก็มองเฟจที่เหมือนจะค้างชำระค่า IQ ทางขวามือ เมื่อนึกไปถึงฉากก่อนหน้านี้ที่ทั้งสามประชันกัน หัวใจของเขาก็คร่ำครวญ
จบเห่แล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นคนปกติคนเดียวที่ยังเหลืออยู่จริง ๆ!