เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 138
หลินเจี๋ยสั่งให้เฒ่าไวลด์ทำความสะอาดเครื่องเซ่นบวงสรวงก่อนเพื่อที่พวกมันจะสามารถนำไปเซ่นได้อย่างที่ควรจะเป็น
โชคไม่ดีที่เนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ เฒ่าไวลด์จึงไม่ได้เตรียมของที่ต้องใช้หลายชิ้น เขาไม่เข้าใจกระทั่งศัพท์บางคำที่ใช้ด้วย ดังนั้นจึงพึ่งหลินเจี๋ยให้ ‘แปล’ พวกมันแบบที่คนจากอาซีร์จะเข้าใจได้
ทว่าปัญหาของเรื่องนี้คือพิธีกรรมในตอนนี้ได้ต่างออกไปจากต้นฉบับ
หลินเจี๋ยทำนายปัญหานี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงแนะนำหนังสือให้ไวลด์แต่แรกเพื่อที่จะทำให้เขาคุ้นชินกับวัฒนธรรมก่อนจะให้เขาเรียนภาษา ใครจะรู้ว่าไวลด์จะถลำลึกในหนังสือขนาดที่เขาลองฝึกพิธีกรรมที่บันทึกไว้ในนั้นด้วยกันเล่า?
แต่ประเพณีพื้นบ้านพิเศษเหล่านี้มันก็ค่อนข้างน่าหลงใหลเหมือนกล่องช็อกโกแลตที่เต็มไปด้วยปริศนา มีจารีตและพิธีกรรมลึกลับมากมายที่ซ่อนอยู่บนดินแดนอันกว้างใหญ่ รอให้ผู้คนมาค้นพบมัน
เพราะเหตุนี้เอง หลินเจี๋ยจึงชอบศึกษานิทานพื้นบ้าน
แม้ว่าไวลด์จะไม่สามารถจับใจความทั้งหมดเบื้องหลังข้อความได้ แต่หลินเจี๋ยก็ยังเต็มใจอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน
เมื่อหลินเจี๋ยดื่มชาของเขาหมดถ้วย เฒ่าไวลด์ก็กำลังจะเตรียมการเสร็จสิ้นเช่นกัน
หลินเจี๋ยพลันตบหน้าผากของเขาเมื่อนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ เขาวางชาของเขาลงแล้วถาม “เฒ่าไวลด์ครับ เครื่องสังเวยนี่สุกหรือยังครับ?”
ไวลด์นั้นตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อเขาพินิจมองเครื่องเซ่นที่มีรูปร่างแปลกประหลาดที่ชุ่มไปด้วยยาสามานย์ในโลงศพบรรทมนิรันดร์กาล ‘คนบาปแห่งความโลภ’ ถูกตัดแขนขาเลาะกระดูกออก เหลือเพียงก้อนเนื้อสีขาวสะอาดตา ลิ่มไม้สี่ลิ่มปักผ่านเนื้อและเครื่องในที่กลายเป็นคริสตัลของไวเวิร์นกำมะถันแดงก็พันอยู่รอบ ๆ ลิ่ม สร้างเป็นข่ายมนตร์ที่ออกจะพิเศษหน่อยข่ายหนึ่ง
ยาสามานย์ระเหยไปเมื่อพบกับเครื่องในอุณหภูมิสูงของไวเวิร์นกำมะถันแดง เกิดเป็นหมอกที่ค่อย ๆ ปกคลุมข่ายมนตร์ที่เปล่งแสงจาง ๆ เหมือนดวงดาวที่กะพริบไหว
เนื้อสีขาวที่ด้านล่างสุกอย่างรวดเร็วจากอุณหภูมิที่แผ่ออกมา ทำให้เริ่มเกิดรอยปริไหม้ขึ้น
ดังนั้น นักเวทมนตร์ดำจึงจ้องที่ส่วนที่เริ่มดำของเนื้อแล้วเริ่มพยักหน้า
“มันสุกแล้วครับ มันดูจะสุกดีเลยครับ”
ทันใดนั้นไวลด์ก็ดูจะตระหนักถึงความหมายของพิธีกรรมนี้แล้ว ด้านบนและด้านล่างนั้นเหมือนท้องฟ้าและผืนดินเป๊ะเลย!
ด้วยการทำคู่ขนานที่คล้ายคลึงกับจักรวาล พิธีกรรมนี้จึงยิ่งใหญ่จริง ๆ มิน่ามันถึงมีความสามารถเพิ่มโชคได้…
ในตอนนั้น ศิลานักปราชญ์ที่วางอยู่บนโลงเริ่มดูดซับเลือดและพลังงานจากไวเวิร์นกำมะถันแดง คนบาปแห่งความโลภ และยาสามานย์เข้าไป
แสงสีแดงเลือดสว่างขึ้นมา แล้วลวดลายแปลก ๆ ที่เหมือนประตูก็ก่อขึ้นเหนือแท่นพิธี
พิธีกรรมบวงสรวงเริ่มขึ้นจริง ๆ แล้ว!
ไวลด์มองไปทางร่างของเฮริสที่วางไว้ที่อีกฝั่งของโลงศพบรรทมนิรันดร์กาล เลือดจากร่างของเขาไหลไปที่โลงศพและรวมตัวกันรอบ ๆ ศิลานักปราชญ์
เลือดนี้ถูกชำระล้างแล้วค่อย ๆ ระเหยกลายเป็นหมอกสีแดงที่ลอยไปรวมกันราวกับหมู่ดาวที่รวมตัวกัน ค่อย ๆ ควบแน่นจนดูเหมือนกับกิ่งก้านที่เหมือนกับเส้นประสาทและชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ส่องแสงวูบวาบเหมือนสายฟ้า
และที่ตรงกลางหมู่ดาวนั้นก็เป็นบริเวณแตกหักที่ดูเหมือนรูหนอน
นี่หมายความว่าสภาวะตัวอ่อนของสกายวูลฟ์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
สมบูรณ์แบบ!
ไวลด์เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ การได้รับคำแนะนำจากเจ้าของร้านหลินทำให้พิธีคืนชีพนี้เสถียรและมีประสิทธิภาพมากกว่าพิธีใด ๆ ที่เขาเคยทำมาก่อน!
ยิ่งกว่านั้น การเพิ่มยาสามานย์เข้าไปยังทำให้เจ้าสิ่งที่คืนชีพขึ้นมามีเจตจำนงที่อ่อนแอลง ทำให้ผู้ร่ายสามารถควบคุมมันได้ง่ายขึ้น พลังงานของไวเวิร์นกำมะถันแดงทำให้มันดุร้ายและรุนแรงขึ้น ในขณะที่วิญญาณของคนบาปแห่งความโลภทำให้มันฉลาดและตื่นตัว
เครื่องเซ่นทุกอย่างได้เสริมการควบคุมและพลังอำนาจได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มหัศจรรย์จริง ๆ!
“ถ้าสุกก็ดีแล้วล่ะครับ” หลินเจี๋ยโล่งใจ
“โอ้ใช่ คุณได้รองเลือดที่คุณปล่อยออกไว้ไหมครับเฒ่าไวลด์?” หลินเจี๋ยถาม
“รองไว้ครับ” ไวลด์พยักหน้า เลือดนั้นเก็บไว้อยู่ข้าง ๆ เขา
“เติมน้ำกับเกลือลงไปในเลือด นำไปต้มแล้วแช่แข็งมันให้แข็งตัว แล้วจากนั้นคุณก็สามารถตัดมันเป็นชิ้น ๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องเซ่นได้อีกนะครับ”
ไวลด์ผงะไปชั่วขณะก่อนที่ความอึ้งของเขาจะเปลี่ยนเป็นความลิงโลด เป็นวิธีเก็บเลือดที่สะดวกอะไรอย่างนี้!
แบบนี้ก็เป็นไปได้แล้วสิที่เขาจะทำพิธีกรรมที่ไหนก็ได้ในเมื่อมันเก็บไว้ได้แบบนี้?!
ในอดีตเคยมีเหตุการณ์มากมายที่ไวลด์อาจจะทำพิธีบวงสรวงแต่ไม่สามารถหาวัตถุดิบได้ในทันทีที่นั่น นอกจากจะช้าแล้ว พิธีกรรมแบบนี้ในบางครั้งยังต้องทำในสถานการณ์ที่อันตรายสุดขีดและความเสี่ยงสูงที่จะถูกจับได้
อา…ทำไมไม่มีใครคิดค้นมันได้มาก่อนนะ บ้าจริง! ความโง่ของพวกเรานี่ทะลุเพดานจริง ๆ!
เทียบกันแล้ว วิธีบวงสรวงของนิกายกลืนศพนี้ดูราวกับงานศิลปะเลย
พิธีกรรมก่อนหน้านี้ของเราต่างเป็นของเลียนแบบชุ่ย ๆ นี่ต่างหากที่เป็นของจริง! “ขอบคุณครับสำหรับคำชี้แนะ!” ไวลด์ตัวสั่นอย่างตื่นเต้น “ผมจะเผยแพร่งานของคุณให้กว้างไกลแน่นอนครับ! นี่คือผลงานชิ้นเอกที่คนมากกว่านี้ควรจะเรียนรู้!”
มายอกันแบบนี้นี่…เฮ้อ เฒ่าไวลด์นี่ยอเก่งขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยจริง ๆ หลินเจี๋ยคิดในใจ
“ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองหรอกครับ มันไม่มีอะไรมากจริง ๆ” หลินเจี๋ยตอบด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “คุณยังอยากไป ‘งานเลี้ยงโลหิต’ อยู่อีกไหมครับ?”
“เอ่อ พูดตรง ๆ แล้วมันก็ดูอันตรายนิดหน่อย…เอาแบบนี้ไหมครับ ช่วงนี้ผมเพิ่งได้รับเหรียญแห่งชะตากรรมนี้มา ด้านหนึ่งของมันหมายถึงโชคดี ในขณะที่อีกด้านหนึ่งหมายถึงเคราะห์ร้าย”
“เรามาชี้ทางที่ควรให้คุณโดยใช้เหรียญนี้กันดีกว่า ถ้าผลลัพธ์ไม่สวยก็อย่าไปเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยลงทุนเพื่อพยายามหลอกเฒ่าไวลด์ให้หันหลังกลับ
เขาล้วงเอาเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาแล้วมองมาที่เฒ่าไวลด์
หัวใจของไวลด์เต้นแรง และดวงตาที่เหมือนลูกปัดของเขาก็หรี่ลง
นะ…นั่นมันเหรียญแห่งชะตากรรมในตำนานเหรอ?!
—
มือสังหารเงาเดบราทำตัวกลมกลืนไปกับเงามืดแล้วปรากฏขึ้นที่จุดทำพิธี
“ใช้วิธีที่โหดร้ายและน่ากลัวขนาดนี้ในการทำพิธีบวงสรวง…ไม่แปลกเลยที่บุรุษหน้ากากดำจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักเวทมนตร์ดำที่แค่เอ่ยชื่อก็ทำให้คนกลัวได้”
เดบราพึมพำในขณะที่เธอเบือนสายตาหนีจากแท่นพิธีเปื้อนเลือดอย่างขยะแขยง
แม้ว่าเธอจะปฏิบัติการลอบสังหาร รวมถึงภารกิจสอบสวนและทรมานอยู่บ่อยครั้ง แต่ภาพนี้ก็ยังทำให้เธอไม่สบายใจอยู่ดี
เธอได้ยินถึงความป่าเถื่อนของไวลด์เสมอมา แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นถึงระดับนี้…
เธอเปลี่ยนตัวเองเป็นเงาอย่างเงียบ ๆ ซ่อนทุกร่องรอยของตัวเองจนกระทั่งไวลด์ทำความสะอาดตัวเองแล้วกลับไปที่ห้องโถง จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามชายหนุ่มผู้นั้น
ในตอนนั้นเองที่เธอหลอมไปกับเงาของแก้วน้ำของไวลด์แล้วปล่อยพิษออกมาอย่างเงียบ ๆ
‘เสียงแห่งกรรม’ นั้นรุนแรงมากเสียจนกระทั่งนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติยังไม่อาจทนไหว…ฮี่ ๆ ๆ เขากล้าดียังไงถึงเอาเครื่องมือที่เรารากเลือดปั้นกันมาตั้งนานไปบวงสรวง เดบรายิ้มเยาะในความเงียบแล้วรอให้ไวลด์ดื่มยาพิษ
แล้วเธอก็เห็นชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนนั้นแย้มยิ้มแล้วหยิบเหรียญเหรียญหนึ่งออกมา