เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 130
ดวงตาที่กลางหน้าผากฮู้ดเปิดออกเพียงชั่วพริบตาสั้น ๆ เหลือบไปมองรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งเหมือนเด็กเพิ่งเกิด ก่อนจะปิดลงอีกครั้ง
แล้วรอยแยกก็หายไปหลังจากนั้นราวกับไม่เคยมีอยู่
แต่มูเอนเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้บุกรุกมีตาที่สามงอกออกมาหลังจากล้มเหลวที่จะสกัดความรู้จากเจ้าของร้านหลินได้
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาเห็นอะไรจากวิญญาณของเจ้าของร้านกันแน่
มีเพียงสองคนที่มีส่วนร่วมในการเผชิญหน้าที่มองไม่เห็นนี้ และเป็นตัวฮู้ดเองที่ร้องขอยอมแพ้ ไม่มีใครอื่นที่รู้ว่าเกิดการสกัดความรู้ขึ้นหรือเปล่า
ถ้าเขาได้รับความรู้ได้สำเร็จจริง ถ้าอย่างนั้น นี่ยังเป็นฮู้ดคนเดิมหรือเปล่าหลังจากที่มีเหตุผิดปกติเช่นนี้เกิดขึ้นกับร่างของเขา?
ไม่ว่าใครในตำแหน่งของเธอคงกลัวจนคิดอะไรไม่ออกจากภาพนี้แน่
ทว่าตัวมูเอนเองก็เคยถูก ‘ชำระล้าง’ โดยความรู้ปริมาณมากมาก่อนหน้านี้ แม้เธอจะรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้านายของเธอมากกว่าคนอื่นก็ตาม เธอก็ไม่รู้สึกตกใจกับฉากตรงหน้านี้เท่าไหร่แล้ว
เธอหันหน้าหนี แกล้งทำเป็นว่าเธอไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความปรารถนาที่จะล้างแค้นของเจ้านายของเธอนี่แรงกล้าจริง ๆ แม้ว่าเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ จะอ่อนแอกว่าเธอหลายเท่าก็ตาม แต่เจ้าของร้านก็ยังหยอกเขาเล่นอย่างโหดร้ายเช่นนี้
ฮู้ดลุกขึ้น ปัดฝุ่นตัวเองแล้วนั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย
หลินเจี๋ยปลื้มใจ ‘กังฟูจูนิเบียว’ ของเขาตรงประเด็นดีจริง ๆ
จริงด้วยสินะ การอยากให้วัยรุ่นสักคนที่เป็น ‘โรคจูนิเบียว’ อยู่นั้นต้องโจมตีจากมุมมองของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาตระหนักอย่างสุดซึ้งว่าการกระทำของพวกเขามันไร้ความหมาย…
มีเพียงทางนี้ที่จะเป็นบทเรียนที่เหลือเชื่อได้อย่างแท้จริง
เฮ้อ…แล้ววันนี้เราก็ช่วยเจ้าเด็กเอาแต่ใจได้อีกคน
“ตอนนี้คุณเข้าใจหรือยังครับ? เรื่องเพ้อเจ้ออย่างการสกัดความรู้และผู้แสวงหาความจริงอะไรนั่นคืออะไรแน่?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้แสวงหาความรู้’ และปะติดปะต่อจากคำตอบที่ดูว้าวุ่นของคล็อดแล้ว หลินเจี๋ยก็รู้ว่าเจ้าพวกนี้ต้องเป็นกลุ่มนักเรียนเกเรที่คอยก่อกวนและรับมือยากแน่ ๆ
และเมื่อเห็นการกระทำของฮู้ดกับเพื่อน ๆ ของเขาแล้ว หลินเจี๋ยก็บอกได้ว่าเจ้าพวกนี้หมกมุ่นจริง ๆ
ฮู้ดมีสีหน้าเลื่อมใสและเด็ดเดี่ยวในขณะที่มองหลินเจี๋ยตรง ๆ กำมือของเขาแน่นแล้วอุทาน “เข้าใจแล้วครับ! ทุกอย่างที่ผมรู้ผมเห็นมาก่อนเป็นเรื่องผิด! พวกมันหลอกผมมาตลอดเลย บิดเบือนทุกอย่างที่ผมรู้ให้เป็นเรื่องจริง! ผมผิดไปแล้วครับ ผมผิดเต็มประตูเลยครับ!”
จูนิเบียวนั้นรักษาให้หายได้เมื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ผลของมันนั้นดีอย่างน่าประหลาดใจ…
หลินเจี๋ยผู้ปลาบปลื้มเทศนา “คุณเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นได้หากคุณรู้ว่าตัวเองทำผิดอย่างไรนะครับ อย่าลืมนะครับ อย่าทำเรื่องที่ไร้ความหมายและผิดกฏหมายแบบนี้อีก การบุกรุกและขโมยของนั้นเป็นความผิด ต่อให้พวกคุณขโมยหนังสือก็ตาม คุณก็หยิบเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของคุณไปอยู่ดี เข้าใจไหมครับ?”
“คุณยังเด็กอยู่เลย มีอนาคตที่อ่อนเยาว์และสว่างไสวอยู่เบื้องหน้าคุณ อย่าไปคิดเรื่องเก็บเกี่ยวสิ่งใดโดยไม่หว่านเมล็ด และเรียนรู้ที่จะดื่มด่ำความสุขในการไขว่คว้าความรู้เถอะครับ”
“ความพึงพอใจที่แท้จริงจะได้มาก็ต่อเมื่อคุณได้รับบางสิ่งจากน้ำพักน้ำแรงของตัวคุณเองเท่านั้นแหละครับ”
“นี่เป็นบางอย่างที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย”
ฮู้ดพยักหน้าอย่างหนักแน่น “คุณพูดถูก” เขาพูดติดตลก “อุดมคติของผู้แสวงหาความจริงนั้นเหมือนสร้างวิมานบนอากาศ ยิ่งสูงยิ่งไม่เสถียร ผมต้องมีรากฐานที่มั่นคงกว่านั้นและหาทางของผมเอง”
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเขาถ่ายทอดบางอย่างให้เจ้าหนุ่มนี่ได้ “งั้นออกไปสร้างเส้นทางให้ตัวเองเถอะครับ การที่คุณคิดแบบนี้ได้แปลว่าคุณเป็นคนหลักแหลมนะ”
“และปัญญานั้นสำคัญยิ่งกว่าความรู้อีก คุณสามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ ได้จากความรู้ แต่ถ้าคุณมีปัญญา คุณจะสร้างความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ครับ!”
“ปัญญา…สร้างความรู้…” ฮู้ดทวนคำเหล่านี้ ดวงตาของเขาเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ และสายตาของเขาที่มองหลินเจี๋ยในตอนนี้แทบจะเป็นความงมงาย
แล้วหลินเจี๋ยก็จำจุดประสงค์ที่เขาเคี่ยวซุปไก่ในครั้งนี้ขึ้นมาได้
เขากระแอมให้คอโล่งแล้วพูดยิ้ม ๆ “แต่คุณต้องใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจมันนะครับ เราคุยกันเรื่องรูเพิร์ดก่อนดีกว่า”
ฮู้ดพยักหน้าอย่างไร้ความลังเล “รูเพิร์ดไม่ได้ตายโดยธรรมชาติครับ ลือกันว่าเขาเป็นบ้าไปหลังจากค้นพบความลับต้องห้ามจากการศึกษาประวัติศาสตร์การเปลี่ยนยุคจากยุคที่สองไปที่ยุคที่สาม จากนั้นก็ฆ่าตัวตายครับ”
“หลังจากการฆ่าตัวตายของเขา นักโบราณคดีจำนวนหนึ่งก็พยายามขุดคุ้ยหาสาเหตุการตายของรูเพิร์ด แล้วสุดท้ายก็ตายเสียเอง จากนั้นเลยไม่มีใครกล้าแตะสิ่งที่เกี่ยวข้องเลยครับ พวกเขากลัวข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลานั้นสุด ๆ เลย ความตื่นกลัวแพร่กระจายออกไป แล้วก็มีข่าวลือว่า ‘มหาโรคระบาด’ จากเมื่อหลายพันปีก่อนจะกลับมาด้วย เพื่อหยุดความตื่นกลัวนี้ แผนกโบราณคดีเลยถูกยุบไปครับ”
การเสียชีวิตหมู่ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยนั้นแปลกจริง ๆ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจากช่วงเวลานั้นจะล้มล้างความเข้าใจของนักวิชาการเหล่านี้ ซึ่งพวกเขามองว่ารับไม่ได้
หลินเจี๋ยตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกผนึกไปเหรอครับ?”
“ใช่ครับ ยังมีหนังสือยุคมืด การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ดที่สมบูรณ์เหลืออยู่อีกฉบับในสมาคมแห่งสัจธรรม ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้รูเพิร์ดเป็นบ้าและเพราะเช่นนั้นมันจึงถูกจำกัดการเข้าถึงอย่างสูงครับ”
ฮู้ดพูดต่ออย่างกระตือรือร้น ไร้ความลังเล “ผมนำมันมาให้คุณได้นะครับถ้าคุณต้องการ”
หลินเจี๋ยแปลกใจเล็กน้อย “คุณเอามันมาได้เหรอครับ?”
ฮู้ดพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายอย่างปลื้มใจ “ประธานมาเรียของสมาคมแห่งสัจธรรมเป็นน้าของผมเองครับ ตอนนี้เธอปลีกวิเวกอยู่และให้สิทธิ์การยืมกับผมครับ”
โอ้…เราเดาไว้ว่าผู้ปกครองของหมอนี่มีฐานะพอตัวในสมาคมแห่งสัจธรรม แต่เราไม่คิดฝันเลยว่าจะระดับสูงขนาดนี้
ด้วยเสาค้ำที่ใหญ่ขนาดนี้หนุนหลังอยู่ ไม่แปลกเลยที่เขากล้าบุกรุกเข้ามาขโมยของ
หลินเจี๋ยไม่ลืมที่จะย้ำเตือนเขา “ทำได้แต่ต้องอยู่ในขอบเขตความสามารถของคุณนะครับ อย่าล้ำเส้นเชียว”
“เข้าใจแล้วครับ” ฮู้ดฉีกยิ้ม
ในตอนนี้ ผู้บุกรุกคนอื่น ๆ อีกสองสามคนเริ่มตื่นขึ้นด้วยสีหน้ามึนงงและปากที่มีน้ำลายยืดเหมือนผู้ป่วยสมองเสื่อมแล้ว
หลินเจี๋ยให้มูเอนช่วยแก้มัดให้พวกเขาในขณะที่พวกเขาลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล โชคดีที่พวกเขายังจำฮู้ดได้ แล้วหลังจากสบตากับเขา คนอื่น ๆ ในกลุ่มก็ทยอยกันโค้งขอโทษให้หลินเจี๋ยแล้วสัญญาว่าจะไม่เที่ยวขโมยความรู้และไม่เชื่อในผู้แสวงหาความจริงแล้ว
เมื่อคล็อดมาถึง เขาก็เห็นเจ้าพวกผู้แสวงหาความจริงวัยรุ่นในสภาพเชื่องราวลูกแกะในทันที แล้วก็เข้าใจว่าเจ้าพวกนี้รนหาที่แล้วก็เจอดีเข้าไป
ในฐานะที่เจ้าพวกนี้โดน ‘จัดการเป็นการส่วนตัว’ ไปแล้ว คล็อดจึงแค่ถามคำถามพื้น ๆ นิดหน่อยแล้วปล่อยพวกเขาไป
หลังจากนำกลุ่มของเขาออกห่างร้านหนังสือไปสักระยะหนึ่งแล้ว เขาก็หันกลับไปหากลุ่มของเขา “พวกนายเห็นมากับตากันแล้วใช่ไหม?”
คนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าตื่นเต้นสุดขีดแล้วส่งเสียงเซ็งแซ่
“ใช่!”
“ความจริงที่แท้จริงอยู่ในหนังสือ!”
“ใช่แล้ว มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
“ช่างสวยงามจริง ๆ!”
“ฉันตะลึงไปเลย!”
“ฉันรู้สึกอิ่มเอิบจากภายในและยังอยากจะทำอีก!”
“หนังสือพวกนั้นคือบัญญัติแห่งปัญญา มันสุดยอดจริง ๆ!”
ฮู้ดที่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเหมือนไข่มุกมองไปที่กลุ่มของเขาแล้วกางแขนออกกว้าง “อืม จากนี้ไป เราก็ไม่เชื่อในความจริงแล้วนะ?”
ทั้งกลุ่มพากันตะโกนโดยพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าหลงใหล “ใช่!”
ฮู้ดพูดต่อ “แล้วพวกเราเชื่อในใคร?”
คนทั้งกลุ่มแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วพูดอย่างเบิกบานใจ “คุณหลินพูดว่าปัญญาสร้างความรู้ใหม่ เราจะเชื่อในปัญญากัน!”
—
กลับมาที่ร้านหนังสือ คล็อดยังไม่ไปไหน หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เขาก็ถามหลินเจี๋ยว่า “คุณหลินครับ คุณได้ข่าวคราวอะไรจากไวลด์ในช่วงนี้บ้างไหมครับ?”