เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 624 วัยหนุ่มสาว~
บทที่ 624 วัยหนุ่มสาว~
…………….
สรุปก็คือ ครั้งหน้าก็ยังจะทำอีก
จี้จือฮวนคิ้วกระตุก อาฉือรีบลุกขึ้นมา “ท่านแม่”
นางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ “ใครอธิบายให้แม่ฟังได้บ้าง ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฝาแฝดในเรือนข้าง ๆ ชะโงกหน้าออกมา น้องสาวยังขยับแมลงที่ไม่สมมาตรบนหัวของพี่ชายทั้งสองตัวให้ตรงด้วย จากนั้นจึงได้ฟังต่อด้วยความพอใจ
“เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ผิด! แค่ไม่ระวังจนทำให้หอของอาจารย์ใหญ่พังก็เท่านั้นเอง”
“ใช่ขอรับ นี่ถือเป็นอุบัติเหตุ จากที่ข้าหาเบาะแสได้จึงสั่งลงโทษพวกที่อาศัยว่าบ้านพอมีเงินเล็กน้อยและสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางไปแล้ว ส่วนคนที่ทะเลาะกันเล็กน้อยก็ให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์จับมือและขอโทษอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วขอรับ”
อาฉืออยากแก้ตัวให้น้องสาวตัวเอง แต่จี้จือฮวนคิดว่าจะปล่อยให้นางเป็นอันธพาลในสำนักศึกษาเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“พวกเจ้าตามใจนางจนเสียคน”
เผยยวนรีบขยิบตาให้พวกเขารีบออกไป ส่วนเรื่องทำให้ภรรยาหายโมโหยกให้พ่ออย่างเขาจัดการเอง!
หางของเผยยวนแกว่งไปมา แต่ลูก ๆ ที่อยู่ในบ้านก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
กลุ่มที่ก่อปัญหาเดินออกมาจากห้องโถงและตรงไปยังห้องสารภาพผิด ลูกสาวตระกูลเซียวที่นั่งอยู่ที่นั่นก็หยิบลูกคิดทองคำฝังหยกออกมา แล้วเริ่มคำนวณทันที จากนั้นก็หยิบหลักฐานการยืมเงินแผ่นหนึ่งออกมาอย่างชำนาญ เพื่อให้เผยอวิ่นเกอประทับลายนิ้วมือ
จากนั้นก็เก็บสมุดบัญชีด้วยความพอใจ “บัญชีรายจ่ายของเดือนนี้เกินกว่าที่กำหนดแล้ว เจ้าต้องรออีกหนึ่งปีสามเดือน จึงจะสามารถเบิกค่าขนมได้”
เผยอวิ่นเกอทอดถอนใจ ยังไม่ตาย แต่มีแรงเหลือไม่มากแล้ว
ขายอาจารย์ให้คนมีเงินน่าจะดีกว่า ฮือ ๆ ๆ
ลูกสาวตระกูลเซียวกลับไปแล้ว คืนนี้นางยังต้องสอนพวกน้อง ๆ คิดลูกคิดอีก จึงยุ่งมากจริง ๆ
ส่วนฝาแฝดพิษกู่ก็ถูกพ่อแม่หิ้วตัวกลับไปแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกจับไปคัดกฎของครอบครัวเหมือนคนอื่น ๆ ด้วย
อาอินและอาชิงชำนาญแล้ว จึงใช้เครื่องมือที่ได้รับมาจากท่านอาจีฝูเย่เพื่อโกงเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนนี้เริ่มใช้งานได้อย่างชำนาญแล้ว
ไท่ซ่างหวงมียาหลิงเฉวียนบำรุงร่างกายจึงยังแข็งแรงอยู่ ดังนั้นจึงแอบเอาของกินมาให้พวกเขา
เพราะคืนนี้ทั้งสามคนถูกลงโทษไม่ให้กินข้าวเย็น แต่โชคดีที่พวกเขาชินแล้ว
อาฉือถอนหายใจ อยากจะสั่งสอนน้องรอง แต่มองดูอาอินที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือก็ถอนหายใจ และทำใจไม่ลง
น้องสาวน่ารักเพียงนี้ เขาจะดุได้อย่างไร มิหนำซ้ำพวกเขายังผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย
มองน้องเล็กก็ยิ่งตำหนิไม่ลงเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ว่าน้องเล็กจะทำอะไรก็น่ารักไปหมด
เมื่อมองอาชิงที่กำลังมองเขาตาปริบ ๆ อย่างออดอ้อน
“…”
อาฉือจึงตบโต๊ะหนึ่งที “เขียน เจ้าเขียนให้พวกนางสองคนด้วย โตป่านนี้แล้ว กฎของครอบครัวยังต้องให้พี่สาวกับน้องสาวมาคัดเป็นเพื่อนเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
อาชิง “…”
…
หลังจากที่เผยอวิ่นเกออาบน้ำเสร็จ เมื่อเดินกลับไปที่ห้อง นางยังคงทำท่าทางเศร้าสร้อยอยู่อีกเล็กน้อย รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองยังทำผลงานได้ไม่ดี! น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
จากนั้นก็กลิ้งไปมาบนเตียงสองครั้ง แล้วจึงพึมพำขึ้นมา “พี่จิ่ว!”
ฮั่วจิ่วเซียวที่กำลังแกะสลักไม้อยู่บนคานก้มมองนางเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกตัวลงมา
เผยอวิ่นเกอกลับก้มหัวลงแกล้งตายให้เขาตกใจ ฮั่วจิ่วเซียวจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดผมให้นาง
สาวน้อยพลิกตัว อุ้มตุ๊กตาของตัวเองแล้วเอียงคอมองเขา “พี่จิ่ว ข้าเล่านิทานให้ท่านฟังดีหรือไม่?”
ฮั่วจิ่วเซียวรู้อยู่แล้วว่าวันนี้นางทำผิด ดังนั้นเพื่อชดเชยความผิดจึงต้องการแสร้งทำตัวน่าสงสาร
เขาปรายตามองนางเล็กน้อย “ทุ่งหญ้าสีเขียวข้าฟังจนเบื่อแล้ว”
“ข้าเคยฟังท่านน้าฮวนฮวนเล่าแล้ว”
เผยอวิ่นเกอหันหน้าไป “ข้าไม่ใช่เด็กน้อยที่น่ารักของท่านอีกแล้วสินะ”
ฮั่วจิ่วเซียวเอือมระอา “ฟัง ๆ ๆ”
สาวน้อยหันหน้ามาด้วยความดีใจ “นานมาแล้ว มีทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่~”
ฮั่วจิ่วเซียว “ว้าว~”
“อย่างนั้นหรือ!”
“ยังมีแพะน้อยใจดีกับแพะน้อยแสนสวยด้วย!”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามสาวน้อยช่างพูดก็ผล็อยหลับไป เท้าเล็ก ๆ สีขาวราวกับหิมะถีบผ้าห่มจนแทบจะร่วงลงพื้น หลับไปปากก็ยังพึมพำว่า “อย่าไป ห้ามไปนะ”
ฮั่วจิ่วเซียวเอือมระอา ก่อนจะจับมือของนางเอาไว้ และนั่งพิงอยู่บนที่วางเท้าคอยเฝ้านางตลอดคืน
นางบอกไม่ให้ไปเขาก็ไม่ไป บอกว่าไม่ให้ขยับเขาก็ไม่ขยับจริง ๆ
…
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่อาฉือกำลังกลับเข้าวังในคืนนั้น ก็ได้ยินเสียงของพ่อค้าหาบเร่จึงบอกให้คนหยุด
“ใช่ขนมพุทราของหลูโจวหรือไม่?”
“ใช่ขอรับ นายท่านต้องการหรือไม่ขอรับ?”
“เอามาให้ข้าชุดหนึ่ง”
…
เรือนตระกูลเสิ่นในเมืองหลวง
เสิ่นเยี่ยนชิวเพิ่งแกะสลักตำราไม้ไผ่เสร็จ และเก็บลงไปในหีบตำรา สาวใช้ข้างกายก็ก้าวเข้ามา “คุณหนู ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ ดึกแล้วนะเจ้าคะ”
“ใกล้แล้ว จัดการพวกนี้เพิ่งเสร็จ ถึงเวลาจะได้ส่งไปอำเภอที่ยากจน บัณฑิตที่นั่นก็จะสามารถยืมไปอ่านได้”
“อีกไม่นานคุณหนูก็จะขึ้นเป็นฮองเฮาแล้ว ควรกังวลเรื่องงานแต่งก่อนสิเจ้าคะ”
“กรมพิธีการมีคนมากมายเพียงนั้น ต้องจัดการตามที่เห็นสมควรอยู่แล้ว ข้ายังต้องกังวลอะไรอีก?”
“บำรุงผิว แต่งเนื้อแต่งตัว ไปพบฮ่องเต้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนชิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับเขาโตมาด้วยกัน หลายปีมานี้ปีหนึ่งแยกกันแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ช่วงเวลาที่เหลือล้วนศึกษาด้วยกัน ทำนาด้วยกัน อยู่กับเขามากกว่าอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เสียอีก”
สาวใช้คนนี้นางเพิ่งจะซื้อตัวมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เสิ่นเยี่ยนชิวเห็นนางเป็นคนร่าเริง สามารถทำให้ชีวิตของนางสนุกสนานขึ้นและมีชีวิตชีวา จึงได้เก็บไว้ข้างกาย
ทว่าสาวใช้กลับไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เมื่อเห็นนางกำลังจะล้างหน้า จึงรีบยกอ่างล้างหน้ามาให้
เสิ่นเยี่ยนชิวกำลังนั่งพิงอยู่บนเตียง จู่ ๆ หน้าต่างก็มีเสียงหินดีดกระทบดังขึ้น นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง
“ข้ามาเยี่ยมเจ้า แต่เข้าไปไม่ได้” เสียงของอาฉือดังขึ้น
เสิ่นเยี่ยนชิวใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที คิดถึงสิ่งที่แม่นมในวังพูดก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าก่อนแต่งงานไม่สามารถพบหน้ากันได้
จากนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากนอกหน้าต่าง วางขนมที่ห่อด้วยใบบัวลงบนโต๊ะ “ข้าซื้อระหว่างทางมาที่นี่ เจ้าลองชิมดู ใช่รสชาติที่เจ้าชอบหรือไม่”
เสิ่นเยี่ยนชิวรับมา ก่อนจะเอ่ยด้วยความดีใจ “ขนมพุทรา?”
“อืม”
นางเปิดห่อด้านนอก ยังร้อน ๆ อยู่เลย
ก่อนจะกัดไปคำหนึ่ง เป็นรสชาติของบ้านเกิดนางจริง ๆ
“อร่อยหรือไม่?”
เสิ่นเยี่ยนชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็คิดได้ว่าเขามองไม่เห็น จึงเอ่ยเบา ๆ ว่า “อร่อย เป็นรสชาติดั้งเดิมจริง ๆ”
อาฉือก้มหน้าลงยิ้มบาง ๆ “หากชอบกินต่อไปข้าจะซื้อให้เจ้ากินทุกวัน”
เสิ่นเยี่ยนชิวรู้สึกขบขัน “ของต่อให้อร่อยเพียงใด แต่หากกินทุกวันจะไม่เบื่ออย่างนั้นหรือ?”
เสิ่นเยี่ยนชิวก็เอาหลังพิงกับหน้าต่างเช่นกัน โดยมีกำแพงกั้นกลางอยู่
นางเอ่ยเบา ๆ “อืม”
คืนนั้นอาฉือจึงกลับเข้าวังอาบน้ำอย่างมีความสุข และออกไปเดินเล่นรอบ ๆ ตำหนักเจียวฝางซึ่งเป็นสถานที่สำหรับงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮาหนึ่งรอบ หลังจากพอใจแล้วจึงได้กลับเข้าตำหนัก
“ฝ่าบาท เซียวเหยาอ๋องส่งของขวัญมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าพระองค์ย่อมต้องการอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหยาอ๋องก็คือเซี่ยห่วงเชลยอ้วนนั่นเอง อาฉือสงสัยว่าเขาจะเอาของขวัญแปลก ๆ ที่มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ซื้ออะไรมาให้กันแน่
จึงให้คนนำเข้ามา
แต่เมื่อเห็นว่าเป็นกองหนังสือจึงไม่ได้สนใจเท่าใดนัก และให้คนเอาไปวางไว้บนหัวเตียง ก่อนจะเปิดดูคร่าว ๆ เล็กน้อย
“!!!”
ทันใดนั้นเลือดลมก็พุ่งพรวดขึ้นสมอง
นอกจากนี้ยังมีจดหมายของเซี่ยห่วงแนบมาด้วย จดหมายบอกว่า ‘อายุป่านนี้เพิ่งแต่งงานจะแพ้ข้าไม่ได้ ดังนั้นต้องเรียนรู้แก่นแท้ด้วยภาพเร้าอารมณ์ชั้นยอดเหล่านี้ และเจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน!
สู้ ๆ! หลานชาย!
ไม่ต้องขอบใจข้า โปรดเรียกข้าว่า ‘ทูตน้อยแห่งความรักบนโลก’ ก็พอ’
ค่ำคืนนั้นโอรสมังกรก็ทรงกริ้วอย่างหนักจนต้องเรียกหมอหลวง ดื่มชาสมุนไพรไปสองกาจึงทรงดีขึ้น
.
.
.
…………….