เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 467 จะทนได้อย่างไรกัน
บทที่ 467 จะทนได้อย่างไรกัน
เยว่พั่วหลัวยิ่งเรียกไป๋จิ่นก็ยิ่งเดินเร็วขึ้น จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงพูดจาเหลวไหลแล้ว ไป๋จิ่นจึงได้พิงกับเสา พร้อมตบที่หน้าอกของตัวเอง
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังกลับมาจากเกาะโจรสลัด ยามที่เขาเห็นสตรีผู้นี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป มักอดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง
คงไม่ใช่เพราะถูกนางแอบวางกู่หรอกกระมัง!
เมื่อไป๋จิ่นคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอยขึ้นมา
เมื่อหันหน้าไปอีกครั้ง ก็เห็นเยว่พั่วหลัวยกยิ้มให้
บัดซบ เต้นเร็วกว่าเดิมอีก ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
ทางด้านจี้จือฮวนก็เพิ่งจะทำงานเสร็จ หลังจากดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลุ่มหนึ่งเสร็จแล้ว เมื่อได้ไปตรวจอาการคนที่เป็นหวัดและเป็นไข้ งานจึงง่ายขึ้นเยอะ
เมื่อเห็นไป๋จิ่นเข้ามาเปลี่ยนเวรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จี้จือฮวนก็ถอดถุงมือออก “พวกนี้ยังไม่ได้กินยาแต่กำลังต้มอยู่ พวกเจ้าสองคนคอยดูด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนลูกพี่ฮวนฮวน ท่านช่วยตรวจอาการให้ข้าหน่อยสิ”
จี้จือฮวนมองหน้าเขา “เจ้าเป็นอะไร?”
ไป๋จิ่นมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็ก้มหน้าลงกระแอมเล็กน้อย “ช่วงนี้หัวใจข้าเต้นแรงมาก”
“ทำเรื่องน่าละอายใจมาใช่หรือไม่?”
“ไม่มีอยู่แล้ว ตรงนี้” ไป๋จิ่นชี้ไปที่หัวใจ “หัวใจเต้นเร็วขึ้นง่ายมาก หายใจก็กระชั้น อีกทั้งสมองก็ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับอีกฝ่ายบ่อย ๆ”
“อืม อาการเจ้าฟังดูแล้วไม่เหมือนคนเป็นโรคหัวใจนะ”
“ท่านพูดมาเถอะ ต้องเป็นเจ้าเด็กเยว่พั่วหลัวนั่นวางกู่ใส่ข้าเป็นแน่ ข้าจะไปคิดบัญชีกับนางเดี๋ยวนี้แหละ”
จี้จือฮวนดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผลออกมา “ปกติอาการของโรคไข้ใจประเภทนี้ ที่เจ้าบอกมานับว่าเจ้ามีอาการครบถ้วน ไม่สู้เจ้าลองคิดทบทวนให้ดีสิว่าเจ้าเคยเห็นใครที่มีอาการเช่นนี้บ้าง?”
เอ่ยจบนางก็ไม่ได้สนใจไป๋จิ่นที่แข็งเป็นหินอีก เพียงแค่ตบไหล่ของเขาเบา ๆ เพราะจะออกไปกินข้าวแล้ว
กินข้าวอิ่มแล้วถึงจะมีแรงทำงานต่อ
…
ในค่ายที่ใกล้กับเพี่ยวโจว
มีคนกำลังรายงานถึงพฤติกรรมของเซี่ยเซวียนขณะอยู่ในพระราชวัง ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่างละเอียดอยู่
โดยที่ด้านหน้าสุดมีผู้ชายที่มีใบหน้ากว้าง รูปร่างสันทัด และเต็มไปด้วยความดุร้ายนั่งอยู่
คนผู้นี้ก็คือสือฟาง
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ก็แค่ปัดมือไปมา
“พี่ใหญ่ เจ้าเด็กตระกูลเซี่ยนั่นกล้าไม่สนใจซุ่ยซุ่ย เช่นนั้นก็ปลดเขาเถอะขอรับ!”
“ถูกต้อง ซุ่ยซุ่ยเป็นสตรีที่ดีพร้อมเพียงนี้ ทั้งยังเป็นลูกสาวคนเดียวของพี่ใหญ่ การแต่งกับเขานั่นก็ถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว ทว่าเขายังไม่รู้จักรักษาเอาไว้อีก ข้าว่านอกจากการเป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ยแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แค่คนที่ไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น รอให้เกาเฟยสยบจินโจวได้ พวกเราก็จะบุกไปเมืองหลวง ดึงเจ้าแก่ตายยากไท่ซ่างหวงกับหวงไท่ซุนที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นลงมาซะ จากนั้นพี่ใหญ่ก็ขึ้นครองบัลลังก์เอง เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
“เฮ้อ คนบนโลกล้วนดูถูกกองกำลังสือฟางของข้า คิดว่าที่มาของพวกเราไม่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อจะเป็นฮ่องเต้ก็ต้องหาเหตุผลที่ดีให้ได้ก่อน รอซุ่ยซุ่ยให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเซี่ยเซวียนนั่นเมื่อใด พวกเราก็ค่อยสนับสนุนลูกของซุ่ยซุ่ยขึ้นครองราชย์ เพราะเขาก็มีสายเลือดของตระกูลเซี่ยเช่นกัน! ส่วนเจ้าเซี่ยเซวียนนั่น สังหารทิ้งไปก็จบ”
ถึงเวลาสือซุ่ยซุ่ยก็จะได้เป็นไทเฮา โดยมีสือฟางอยู่เบื้องหลังคอยควบคุมราชสำนัก ดูสิว่าใครยังกล้าพูดมากอีก
สือฟางไม่ได้พูดอะไร แต่สองวันที่ผ่านมานี้ เจ้าเซี่ยเซวียนนั่นคาดว่าคงจะเริ่มรู้อะไรบ้างแล้ว จึงเอาใจใส่ซุ่ยซุ่ยอย่างมาก
แต่เบื้องหลังใครเป็นคนชี้นำเขานั้น ย่อมชัดเจนอยู่แล้ว
อาศัยแค่สมองของเซี่ยเซวียน ไหนเลยจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากไม่มีหานเหล่ยล่ะก็ เซี่ยเซวียนคงตายไปนานแล้ว
“หากเจ้าเซี่ยเซวียนนั่นยอมเชื่อฟัง การไว้ชีวิตเขาก็ไม่เป็นอะไร ใครใช้ให้ซุ่ยซุ่ยชอบเขากันเล่า” สือฟางเอ่ยขึ้นมา
ขอเพียงลูกสาวเขามีความสุข เซี่ยเซวียนก็เป็นได้แค่ของเล่นเท่านั้น
หลังจากฟังคำพูดของสือฟางแล้ว ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน สือซุ่ยซุ่ยเป็นลูกเพียงคนเดียวของสือฟาง หลายปีที่ผ่านมาบุกใต้ตะลุยเหนือ ตอนแรกที่ก่อการกบฏก็เพื่อให้ภรรยาและลูกสาวของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น สือฟางผู้นี้โหดร้ายทารุณ กับผู้อื่นเขาหาได้มีความเห็นอกเห็นใจไม่ แต่กลับรักภรรยาและลูกสาวมากกว่าชีวิตของตัวเอง
แม้ว่าตอนนี้จะมีอำนาจแล้ว แต่เขาก็ยังคงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสือซุ่ยซุ่ยไม่เปลี่ยน
หากเซี่ยเซวียนต้องการเป็นฮ่องเต้ ข้างกายย่อมต้องมีผู้หญิงคนอื่นอีก แต่ขอเพียงเขาดีต่อซุ่ยซุ่ย เรื่องเหล่านี้สือฟางก็สามารถยอมรับได้ คนที่ติดตามสือฟางเองก็รู้ดี เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยบังคับคนอื่นให้ต้องทำสิ่งใด
แต่ว่าสือซุ่ยซุ่ยเป็นสิ่งที่ใครก็จะล้ำเส้นเขาไม่ได้ ดังนั้นการโจมตีจินโจวครั้งนี้ เขาจึงส่งสือเกาเฟยไปเพื่อทำทีว่าจะบุกโจมตีทางทิศตะวันออกแต่กลับบุกทางทิศตะวันตก* เพื่อถ่วงเวลา และต้องการให้เซี่ยเซวียนได้รู้ว่า หากมีเขาสือฟางอยู่ เซี่ยเซวียนก็เป็นได้แค่ของเล่น หากไม่ทำดี ๆ กับลูกสาวเขาล่ะก็ สือฟางก็สามารถส่งตัวเขาไปให้เผยยวนได้ทุกเมื่อ
* ทำทีจะบุกโจมตีทางทิศตะวันออกแต่กลับบุกทางทิศตะวันตก (声东击西) หมายถึง การโจมตีศัตรู จะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึง เพื่อไม่ให้ศัตรูตั้งรับได้ถูก
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เกาเฟยไปตั้งหลายวันแล้ว ข้าคิดว่าเมืองจินโจวนั่นคงต้านไม่ไหวนานแล้วกระมัง”
“เมืองจินโจวเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ การยึดมาคงง่ายเหมือนเอามือล้วงไปหยิบของในกระเป๋า พวกเราวางแผนมาหลายปีเพียงนี้ ก็แค่ต้องการจะหยอกล้อกับเจ้าสุนัขเฒ่าจางม่อไม่กี่วันก็เท่านั้น รอทรมานพวกมันจนใกล้จะหมดแรงแล้ว การยึดจินโจวก็คงไม่เสียทหารแม้แต่คนเดียว”
พวกเขาต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข และมองชาวจินโจวเหมือนหมูเหมือนหมา ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องที่มีความสุขก็ต้องดื่มเหล้าฉลองกันสักหน่อย เป็นการเพิ่มความสนุกสนาน จากนั้นก็พูดถึงเรื่องภายภาคหน้า หลังจากได้ครองต้าจิ้นแล้ว จะขยายอาณาเขตต่อเช่นไรดี
“ท่านแม่ทัพขอรับ” ด้านนอกมีคนมารายงาน
“เข้ามา!”
คนผู้นั้นหลังจากเข้ามา ก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านแม่ทัพ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
คนในกระโจมต่างก็ขมวดคิ้ว “พูดมา เกิดเรื่องอันใดกัน?”
“แม่ทัพสือตายแล้วขอรับ กองกำลังทั้งหมดพ่ายแพ้ขอรับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสือฟางเลือนหายไปทันที เขาตบทีเดียวก็ทำให้โต๊ะตรงหน้าแยกเป็นสองส่วน “พูดมาให้ละเอียด ใครที่ตายแล้ว!”
“สือเกาเฟย แม่ทัพสือเกาเฟยตายแล้วขอรับ! เมืองจินโจวจู่ ๆ ก็มีกองทัพทหารเกราะเหล็กจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ใช้วิธีการจับเต่าในไห** ตอนที่ผู้น้อยไปสืบข่าวเห็นว่าบนกำแพงเมืองได้มีการเปลี่ยนทหารรักษาการณ์ชุดใหม่แล้ว อีกทั้งประตูเมืองสองด้านยังมีการแขวนผ้าสีขาวตามแนวขวางเอาไว้ และพวกเขาก็เอาร่างของแม่ทัพและรองแม่ทัพแขวน…แขวนไว้บนกำแพงเมืองเพื่อประจานด้วยขอรับ”
** จับเต่าในไห (瓮中捉鳖) หมายถึง สิ่งที่จะจับอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่แล้ว และจับได้ง่ายมาก
“มีอย่างที่ใดกัน!!!”
“พี่ใหญ่ มอบทหารให้ข้า ข้าจะไปสู้ตายกับทหารเกราะเหล็กพวกนั้นเดี๋ยวนี้”
“เผยยวนรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรากำลังโจมตีจินโจว?!”
ทุกคนต่างนิ่งงัน “หรือเขามาถึงตั้งนานแล้ว! เจ้าโจรเผยยวนจอมเจ้าเล่ห์”
“เกาเฟยตายน่าอนาถจริง ๆ หลงกลอุบายชั่วของเขา”
“เจ้าสืบรู้อะไรที่จินโจวมาอีก พูดมา!”
“กองทัพทหารเกราะเหล็กน่าจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อคืนนี้ขอรับ ไม่รู้ว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับเส้นทางใต้ดินของพวกเราได้อย่างไร ตอนนี้เส้นทางใต้ดินทั้งหมดที่จะไปสู่จินโจว ถูกระเบิดทิ้งหมดแล้วขอรับ”
“อะไรนะ!?”
นี่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของกองกำลังสือฟางอย่างไม่ต้องสงสัย
ในแง่ของจำนวนคน พวกเขาไม่สามารถสู้กับทัพใหญ่ของราชสำนักได้ หลายปีมานี้ที่พวกเขาอยู่นิ่ง ๆ มาตลอด ก็เพื่อลักลอบขุดเส้นทางใต้ดิน ทางเดินใต้ดินเหล่านี้มีการเชื่อมต่อกับทุกทิศทุกทาง สามารถทำให้กองกำลังสือฟางเข้าและออกจากเมืองศัตรูได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
โดยเฉพาะพวกเขาพี่น้องที่ร่ำรวยขึ้นจากการปล้นสุสาน ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขุดเส้นทางใต้ดิน
แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกกองทัพทหารเกราะเหล็กระเบิดเส้นทางใต้ดินที่จินโจวทิ้งเช่นนี้
ภูมิศาสตร์ของจินโจวนั้นซับซ้อน และมีภูเขาสองลูกพาดผ่าน หากจะทำลายจินโจวก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปี กว่าจะบุกเข้าไปถึงเมืองหลวงได้
ดังนั้นก็เท่ากับว่า สิ่งที่พวกเขาเตรียมการมาตลอดหลายปี ได้ถูกกองทัพทหารเกราะเหล็กทำลายลงหมดแล้ว!
“เจ้าชั่วเผยยวน ช่างน่าเจ็บใจนัก! พี่ใหญ่ยังจะรออะไรอีกขอรับ พวกเราไปสู้ตายกับพวกมันเถอะ ไม่อย่างนั้นหากพวกมันบุกมา พวกเราก็จะไม่มีทางถอยแล้วนะขอรับ!”
สือฟางก็โกรธแค้นมากเช่นกัน สือเกาเฟยเป็นลูกบุญธรรมของเขา! ทว่ากลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของกองทัพทหารเกราะเหล็ก ทั้งยังถูกเหยียดหยามเพียงนั้น เขาจะทนไหวได้อย่างไรกัน!
.
.
.
………………………………………………..