เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 461 จู่โจมยามค่ำคืน
บทที่ 461 จู่โจมยามค่ำคืน
“ใต้เท้า! นายอำเภอลู่!” มีทหารรักษาการณ์วิ่งมาและล้มลงตรงหน้าของลู่เอี้ยน “ใต้เท้าขอรับ มีกองกำลังศัตรูจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ อย่างน้อยน่าจะเกินหมื่นคนขอรับ!”
ทั้งเมืองเงียบสงัด พวกชาวบ้านต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
บางคนทนไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมา แต่กลับถูกคนข้าง ๆ ตำหนิเสียงเข้ม “ร้องไห้ทำไม มาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนล้วนต้องตาย มีอะไรให้ร้องไห้กัน ไม่สู้มาตายเพื่อบ้านเมืองดีกว่า”
อย่างน้อยก็ยังตายอย่างสมเกียรติ
“พวกเราจะไม่ลองดูสักตั้งก่อนหรือ?”
“ใช่ พวกเรามาลองดูกันสักตั้งเถอะ ใต้เท้าลู่ พวกเราจะเชื่อฟังท่าน ขอเพียงท่านบอกมาว่าจะต้องทำเช่นไรก็พอ และพวกเรามีคำขอเดียว ขอให้ท่านช่วยหาที่หลบภัยให้คนแก่กับเด็กด้วย”
ลู่เอี้ยนใจเต้นแรง ความวุ่นวายภายในเมืองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้ตระหนักอย่างแท้จริงถึงภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเสนอที่จะร่วมมือด้วย ลู่เอี้ยนย่อมดีใจอยู่แล้ว
“ให้แต่ละครัวเรือนส่งผู้ชายที่แข็งแรงออกมาหนึ่งคน เพื่อเข้าร่วมกับทหารรักษาการณ์ ผู้หญิงมีหน้าที่ช่วยเหลือเป็นแนวหลัง ทำอาหาร จัดส่งอาหาร ส่วนผู้สูงอายุและเด็กที่โตหน่อยมีหน้าที่ลาดตระเวนในเมืองและปกป้องยุ้งฉาง หากพบเห็นคนต้องสงสัยอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้ไปรายงานให้กองทหารรักษาการณ์ทราบทันที ส่วนเด็กเล็ก ๆ ให้ย้ายไปอยู่จวนผู้ตรวจการ โดยจะมีคนที่นั่นคอยดูแล จินโจวตกอยู่ในช่วงเวลาความเป็นความตาย แต่หากเราสามารถปกป้องเอาไว้ได้ ทุกคนร่วมใจกันปกป้องจนตัวตาย หากสี่วันแล้วกำลังเสริมยังมาไม่ถึง เช่นนั้นก็คงจะเป็นชะตากรรมของเราแล้ว”
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พวกเขารู้อยู่แล้วว่าคงอยู่ไม่ถึงสี่วันแน่
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากยอมจำนน
แต่คนที่มาคือสือฟาง พวกมันรู้จักแต่การปล้นฆ่า ต่อให้ต้องฆ่าตัวตายก็ยังดีกว่ายอมจำนนต่อสือฟาง
“ในห้องใต้ดินบ้านข้ายังมีเสบียงเหลืออยู่ ข้ายินดีนำมาบริจาค”
“บ้านข้าก็มี”
“ใครมีจอบก็ถือจอบ สู้ตายกับพวกมัน!”
“ใช่ จะตายพวกเราก็ต้องตายอย่างมีเกียรติ”
เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงเชื่อฟังลู่เอี้ยนเท่านั้น และเชื่อมั่นว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กจะมา
…
‘ตู้ม!’ เสียงหินก้อนใหญ่กระแทกเข้ากับประตูเมือง ทุกคืนเมื่อถึงกลางดึกก็จะมีเสียงเช่นนี้ดังขึ้นมา
“ท่านปู่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ”
ดวงตาขุ่นมัวของชายชราจ้องมองออกไปด้านนอก โดยอุ้มหลานสาวเอาไว้ในอ้อมแขน
“น้ำมันร้อน น้ำมันร้อนยังมีอยู่หรือไม่?!”
มีผู้คนร่วงลงมาจากกำแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่พวกเขาสามารถใช้ต่อสู้ได้ก็มีน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
ร่างของลู่เอี้ยนโชกไปด้วยเลือด ที่มือก็ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นตอนที่เขาไปยืนอยู่บนหอคอยแทนเหล่าทหารแล้วถูกศัตรูทำร้าย
ตอนที่ถูกคนลากลงมาจากหอคอย ลู่เอี้ยนมองดูทหารชั้นผู้น้อยที่อายุยังน้อยผู้นั้นเอาตัวบังเพื่อปกป้องเขาเอาไว้
“ใต้เท้าลู่ ท่านเป็นขุนนางที่ดี ท่านจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ในเมืองยังมีพ่อแม่ของข้า และลูกของข้าอยู่ หากท่านล้มลงพวกเราก็จะล้มไปด้วยนะขอรับ”
ลู่เอี้ยนไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ออกมาง่าย ๆ เวลานี้เขาจึงกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้จนดวงตาแดงก่ำ มองดูฟ้าที่ค่อย ๆ สาง ก่อนจะหลับตาลง
หลายวันมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้ ทันทีที่ฟ้าสาง ศัตรูก็จะถอยทัพกลับไป
ลู่เอี้ยนเข้าใจว่าสือฟางต้องการบีบให้เขายอมจำนน จึงตะโกนเข้ามาว่าขอเพียงพวกเขายอมจำนน ก็จะไม่ฆ่าผู้คนในเมือง
แต่กลอุบายนี้ตอนเพี่ยวโจวเขาก็เคยใช้มาแล้ว สุดท้ายก็ยังปล่อยให้ทหารใต้บังคับบัญชาของเขา ฆ่าชาวบ้านเหมือนผักปลาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
“เผยยวน เจ้าจะมาหรือไม่?” ลู่เอี้ยนพึมพำออกมา
…
“ย่ะ ๆ!”
สายลมยามค่ำคืนพัดมาปะทะใบหน้า จี้จือฮวนควบม้านำอยู่ด้านหน้า ความเร็วของจ้านอิ่งนั้นถึงขีดสุดแล้ว ด้านหลังมีทหารชั้นยอดของกองทัพทหารเกราะเหล็กหนึ่งพันคน รวมถึงสมาชิกกลุ่มเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของกองปืนไฟตามมาติด ๆ
เผยเสี่ยวเตาแบกดาบใหญ่เอาไว้ ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อสืบข่าวสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
พวกเขาไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาสามวันติด ก่อนจะพบว่าด้านหน้าก็เป็นเมืองจินโจวแล้ว
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อบินวนอยู่บนท้องฟ้า และมุ่งไปยังส่วนลึกในป่าทึบ
เผยเสี่ยวเตาและหลิวเฟิงย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งสัญญาณให้พวกจี้จือฮวนหยุดก่อน
“พระชายาขอรับ บนภูเขาทั้งสองด้านต่างก็มีทหารเฝ้าอยู่ จำนวนคนประมาณหนึ่งหมื่นคนขึ้นไป พวกเขาเลือกที่จะโจมตีในเวลากลางคืนเท่านั้น คงเป็นเพราะต้องการบีบให้จินโจวยอมจำนน ส่วนจินโจวก็ใกล้จะหมดแรงเต็มทีแล้วขอรับ”
จี้จือฮวนมองไกลออกไปก็เห็นภูเขาสองลูกอยู่ตรงข้ามกัน ก่อนออกเดินทางเผยยวนได้นำเอาแผนที่ของเจียงจือหวยให้นางมาด้วย
ในนั้นคือแผนที่ภูมิศาสตร์ของจินโจวที่มีทิวเขาสูงชัน พื้นที่บริเวณนี้แทบจะเป็นป่าทึบทั้งหมด เดิมทีจินโจวได้มีการสร้างหอเฝ้ายามเอาไว้ แต่หลังจากที่ไม่มีศัตรูรุกรานมานาน ท้องพระคลังของราชสำนักก็เริ่มขัดสน จึงได้ลดเบี้ยหวัดของทหารลง ทำให้ทหารจำนวนไม่น้อยต่างก็กลับบ้านไปทำไร่ทำนา ล่าสัตว์แทน หอเฝ้ายามจึงไม่มีใครเหลียวแลอีก
“พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหรือไม่?”
“ไม่ได้ตั้งขอรับ แต่สามารถรู้ข่าวในเมืองได้อย่างละเอียด”
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้น หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อจึงถลาลงมา นางรีบหยิบกระดาษและพู่กันออกมา เขียนข้อความถึงคนในเมืองจินโจว และให้หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อเอาไปส่ง
“ทุกคนพักผ่อนกันสักครู่เถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราจะขึ้นเขากัน”
เผยเสี่ยวเตาวางดาบลงบนพื้น “พวกเราจะไปเขาลูกใดกัน?”
จี้จือฮวนชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่ ปากก็คาบไฟฉายเอาไว้
ทุกคนคุ้นเคยกับการที่นางนำของเล่นแปลกใหม่ออกมาใช้เป็นครั้งคราว จึงรู้สึกชินชาเสียแล้ว ดังนั้นจึงพุ่งความสนใจไปที่แผนที่แทน
“ตรงหอเฝ้ายามเดิมของทหารรักษาการณ์จินโจวแทบจะไม่มีคนดูแลแล้ว ดังนั้นจึงทำให้กองทัพของสือฟางได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ส่วนด้านหลังยังมีบ้านไม้ซ่อนอยู่ รวมถึงมีที่เก็บเสบียงอย่างดี เท่ากับสร้างหอสังเกตการณ์ไว้ให้กับพวกมันชัด ๆ หากเราบุกขึ้นไปตรง ๆ ก็จะเสียเปรียบได้ง่าย ดังนั้นพวกเราจึงต้องชิงลงมือก่อนที่พวกมันจะลงมา”
จี้จือฮวนชี้ไปที่เส้นทางทั้งสองบนแผนที่
“นี่คือป้อมที่พวกมันจะลงจากเขา ให้แบ่งคนออกเป็นสี่กลุ่ม รองแม่ทัพจ้าว”
“พระชายาเชิญพูดมาได้เลยขอรับ”
“ท่านนำคนห้าร้อยคนและมือดีของกองปืนไฟอีกสองคนไปดักซุ่มที่นี่ก่อน
ส่วนรองแม่ทัพหวัง ให้ท่านรับผิดชอบที่นี่”
นางหยิบธงทหารที่นำมาจากกองทัพทหารเกราะเหล็กก่อนออกเดินทางออกมา “ใช้กำลังน้อยสยบกำลังมาก พวกเราต้องทำลายแนวหน้าของพวกมันให้ได้ก่อน เพื่อถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่ได้เตรียมตัว ดังนั้นอย่าเผชิญหน้าตรง ๆ เพราะเราสามารถใช้วิธีการพรางตัวได้
ตอนนี้ให้ทุกคนเข้าไปในป่าทึบเพื่อตัดต้นไม้ และพยายามเบาเสียงให้มากที่สุด
ใช้ธงเป็นสัญญาณ ให้พวกมันตั้งรับไม่ทัน”
…
ยามจื่อ*
* ยามจื่อ (子时) หมายถึง เวลา 01.00 – 03.00 น.
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ก่อนที่กองกำลังสือฟางจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง
ลู่เอี้ยนไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่น้อย เขายืนอยู่กลางถนน รอเสียงตะโกนเข่นฆ่าข้างนอกดังขึ้น
รอบกายเขามีเหล่าทหารนอนอยู่ พวกเขาต่างนอนพิงกันไปมา ไม่สนใจว่าร่างกายของตัวเองจะเหม็นหรือสกปรกเลยแม้แต่น้อย
ยังมีหมอที่กำลังไล่รักษาคนเจ็บทีละคน
เสบียงก็หมดแล้ว เกรงว่าวันพรุ่งนี้คงไม่มีใครปกป้องเมืองได้อีกแล้ว
“ใต้เท้าขอรับ”
เมื่อลู่เอี้ยนได้ยินคนเรียกก็ตื่นตัวขึ้นมา เขาขยับริมฝีปากที่แห้งผาก มองทหารชั้นผู้น้อยอย่างเลื่อนลอย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่เกิดเรื่องขอรับ แต่มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งส่งข่าวมาขอรับ!” ทหารชั้นผู้น้อยขยับเข้ามาใกล้ ลู่เอี้ยนจึงเห็นนกเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวอ้วนกลมตัวหนึ่งกำลังใช้กรงเล็บจิกมวยผมของทหารชั้นผู้น้อยผู้นั้นอยู่ ที่ขาข้างหนึ่งมีจดหมายมัดเอาไว้ ก่อนจะยื่นขาข้างนั้นออกมาให้ทุกคนเห็น
“ใช่กองกำลังสือฟางส่งมาหรือไม่! จับมาตุ๋นกินซะเลย!”
“ใช่แล้วกระมัง คงบีบให้เรายอมจำนนอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ทหารรอบ ๆ ที่ยังไม่หลับต่างก็ลุกขึ้นมาทันที หวังจะจับเจ้าหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อ
ลู่เอี้ยนจึงยื่นแขนออกไป มันก็กระพือปีกและเหยียดกรงเล็บออกมาอีกครั้ง
ลู่เอี้ยนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก “ไม่ใช่ กองกำลังสือฟางก่อนหน้านี้โวยวายจะตายไป และมักจะยิงจดหมายมาปักบนกำแพง”
ไหนเลยจะส่งเหยี่ยวมาเช่นนี้กัน
.
.