เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 459 สือฟางมาแล้ว
บทที่ 459 สือฟางมาแล้ว
เมืองจินโจว ทรายสีเหลืองหมุนวนอยู่บนพื้นเพราะถูกลมพัด
“ถุย” ทหารชั้นผู้น้อยที่ยืนประจำการถุยทรายสีเหลืองออกมาจากปาก ใบหน้าถูกลมปะทะจนแทบจะดูไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นคนหนุ่มแน่น แต่เห็นได้ชัดว่าสีผิวไม่สม่ำเสมอ ใบหน้ามีร่องลึก ทำให้ดูแก่กว่าวัยไปกว่าสิบปี
เขายกกางเกงขึ้นและปัดทรายสีเหลืองบนหัวออก ก่อนจะเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ให้ตายเถอะ เพิ่งจะผ่านเดือนหนึ่งมาได้ไม่นานแท้ ๆ เหตุใดถึงราวกับเข้าหน้าร้อนแล้วอย่างไรอย่างนั้น”
จินโจวมีสภาพอากาศเลวร้าย แม้จะชื่อว่าจินโจว ทว่าแหล่งน้ำกลับหาได้ยาก นอกจากท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย หนาวก็หนาวจัด ร้อนก็ร้อนจัด จะเข้าสู่ฤดูหนาวก็แค่เพียงชั่วข้ามคืน เวลาหนาวขึ้นมาก็หนาวจนคนแทบจะแข็งตาย แต่เมื่ออากาศร้อนขึ้นก็แผดเผาราวกับจะเอาชีวิตคนไปเสียให้ได้
แต่สถานที่เช่นนี้กลับเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญจุดหนึ่ง เพราะมีสันเขาที่สูงชันขนาบทั้งสองข้าง มีเพียงต้องผ่านจินโจวเท่านั้น จึงจะสามารถมุ่งตรงไปยังใจกลางจงหยวนได้
เดิมก็นับเป็นสถานที่ของผีสางอยู่แล้ว แต่หลังจากต้าจิ้นให้กำเนิดเผยยวนขึ้นมา และมีแนวหน้ามาประจำการที่ฝั่งตะวันตก ตีพวกป่าเถื่อนกลุ่มนั้นจนพ่ายแพ้และล่าถอยไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายในเมืองที่ป้องกันง่ายแต่โจมตียากอย่างจินโจวอีก
แต่เมื่อสองปีก่อน หัวหน้ากบฏชาวบ้านสือฟาง ที่เติบโตขึ้นมาจากการซ่องสุมคนเพื่อต่อต้านราชสำนักและปล้นสะดม ได้ยึดเพี่ยวโจวที่อยู่ติดกันได้สำเร็จ ดังนั้นในช่วงสองปีมานี้จึงต้องมีการเสริมกำลังลาดตระเวน เพราะกลัวว่าเจ้าสือฟางจะมาบุกยึดที่นี่ต่อ
กว่าจะหาหญ้าหางสุนัขจิ้งจอกได้สักต้นมาคาบเล่น ทหารชั้นผู้น้อยก็อ้าปากหาวไปอีกหนึ่งที ก่อนจะเห็นว่าไกลออกไปมีทรายสีเหลืองถูกลมหอบขึ้นมา ราวกับว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังจินโจว
คนมากมายเช่นนี้ไม่มีทางเป็นคาราวานพ่อค้าอย่างแน่นอน
“รีบเอากล้องส่องทางไกลมาเร็วเข้า”
ทหารชั้นผู้น้อยหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา ในใจก็ร้องตะโกนขึ้น แย่แล้ว มีทหารซุ่มโจมตีบุกมา!
กว่าเขาจะถลกกางเกงหยิบธงคำสั่งและวิ่งกลับเข้าเมือง คนกลุ่มนั้นก็เข้ามาประชิดประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว
รูปแบบการจู่โจมเช่นนี้ มีเพียงเจ้าโจรเฒ่าสือฟางผู้นั้นที่ทำได้ไม่ใช่หรือ!
ทันใดนั้นภายในเมืองก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อได้ยินว่าสือฟางจะบุกเข้ามาแล้ว ตระกูลเศรษฐีจำนวนมากต่างก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด พวกเขาเป็นไม้ใหญ่ย่อมรับลม* หากจะหนีก็ไม่สามารถขนทรัพย์สินมากมายเพียงนั้นไปได้ในเวลาอันสั้น ร้านค้าและอสังหาริมทรัพย์ก็ล้วนอยู่ในเมือง
* ไม้ใหญ่ย่อมรับลม (树大招风) หมายถึง คนที่ร่ำรวยมักจะดึงดูดผู้คนและปัญหาก่อนใคร
เหล่าชาวนาก็ไม่กล้าหนีไปเช่นกัน หากหนีไปแล้ว เกิดพวกนั้นไม่ได้บุกเข้ามา เช่นนั้นพืชผลในที่ดินจะทำเช่นไรเล่า?
ทั้งหมดจึงวิ่งไปรอฟังข่าวที่ที่ว่าการ แต่หากพวกโจรต้องการบุกเข้ามาจริง ๆ พวกเขาไหนเลยจะสะกดความตื่นตระหนกเอาไว้ได้เช่นนี้อีก
เจ้าโจรเฒ่าสือฟาง ตั้งใจปั่นหัวราษฎร!
ในคืนนั้นทุกครัวเรือนในเมืองจินโจวจึงไม่มีใครกล้าดับเทียน บางคนถึงขนาดนอนไม่หลับ ปีนขึ้นไปเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์อยู่บนกำแพง ส่วนเจ้าหน้าที่ในเมืองก็ได้สั่งให้คนไปขอความช่วยเหลือจากทหารรักษาการณ์ของเมืองที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว
กองกำลังสือฟางมีทหารที่แข็งแกร่งมากมาย ซึ่งล้วนมาจากกลุ่มที่เขาได้ซ่องสุมคนเอาไว้เพื่อต่อต้านราชสำนักและปล้นสะดม ดังนั้นพวกเขาจำต้องมีแผนสำรองเช่นกัน
เหล่าทหารรักษาการณ์มารวมตัวกัน แต่เมื่อรวมทั้งในและนอกเมืองแล้วก็มีเพียงสามพันคนเท่านั้น ส่วนคนที่ต่อสู้เป็น สามารถทำตามคำสั่ง รู้วิธีเดินกระบวนทัพก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก คืนนั้นจึงได้มีการเรียกผู้ชายในเมืองมาร่วมด้วย แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ลุกออกมา ประตูเมืองทั้งสี่ มีสองด้านที่หันหน้าไปทางสันเขาที่สูงชัน ภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด เสียงลมที่แผ่วเบาก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตกใจจนประสาทเสียได้แล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความแตกตื่นดังขึ้น ทหารยามที่ยืนอยู่ที่หอคอยบนกำแพงเมืองถูกยิงด้วยลูกธนูจนตกลงมาจากบนหอคอย
“มีคนบุกเข้ามา! ป้องกันเร็วเข้า!!”
หลังจากเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจดังขึ้น ทุกคนต่างก็จับตามองสถานการณ์รอบตัวด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก เมื่อยิงธนูกลับไปก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย
หลังจากอยู่กับความรู้สึกหวาดระแวงเช่นนี้มาครึ่งค่อนคืน ก็พบว่าทุกชั่วยามจะมีทหารยามถูกฆ่าหนึ่งคน
เป็นการเชือดด้วยมีดช้า ๆ ไม่ให้ตายง่าย ๆ
จนกระทั่งรุ่งสาง ในที่สุดทุกคนก็สามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาได้แล้ว กองทัพของสือฟางไม่ได้บุกเข้ามา แต่เมื่อศพของทหารยามถูกนำไปเรียงไว้ที่ลานประหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจินโจวทีละร่าง ความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้นขึ้น!
สือฟางได้สังหารคนไปมากมาย!
แต่สิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวมากขึ้นไปอีกก็คือ จดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งไปเพื่อขอกำลังเสริมถูกโยนกลับเข้ามาในสภาพเดิม และติดไว้ที่หน้าประตูของที่ว่าการ
คราวนี้จึงเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที มีคนจำนวนไม่น้อยแม้แต่ทรัพย์สินก็ไม่เอาอีกแล้ว เพราะต้องรีบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะพูดว่าออกไปตอนนี้ก็เท่ากับไปตายก็ไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว พวกเขารีบพาคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนแก่หนีไป สุดท้ายก็ล้วนถูกฆ่าระหว่างทาง ทรัพย์สินทั้งหมดรวมทั้งวัวและแกะก็ถูกยึดไปจนหมด
สือฟางเดิมทีเป็นโจรภูเขามาก่อน ตอนนั้นที่บุกยึดเพี่ยวโจวเขาก็ใช้วิธีการนี้!
เวลานี้จึงไม่มีใครกล้าหนีอีก แต่ก็ไม่มีทางรอดให้พวกเขาเช่นกัน
อยู่ต่อก็เท่ากับรอความตาย ออกไปก็ตายทันที สือฟางจะรังแกกันเกินไปแล้ว ต้องการจะบีบคนให้ตาย!
“ใต้เท้าขอรับ พวกเราต้องคิดหาวิธีอื่นนะขอรับ ทั้งในเมืองและนอกเมืองยังมีคนอีกจำนวนมาก”
“ใช่แล้วขอรับ พวกเราไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือขอรับ?”
“หลีกทางหน่อย” มีคนเบียดเข้ามา เขาสวมชุดราชการ บุคลิกท่าทางไม่ธรรมดา ทว่าใบหน้ากลับละม้ายคล้ายคลึงสตรี งดงามราวกับไม่มีอยู่จริง เห็นได้ชัดว่าเขาก็คือนายอำเภอของจินโจว–ลู่เอี้ยน
ผู้ตรวจการซ่งเห็นเขาก็รีบพุ่งตัวออกมา “ลู่เอี้ยน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที เจ้ารีบเขียนจดหมายให้ครอบครัวของเจ้าเร็วเข้า แล้วเจ้าพอจะหาคนมาช่วยได้หรือไม่?”
อย่ามองว่าลู่เอี้ยนผู้นี้เป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในใจของผู้ตรวจการรู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้สอบจอหงวนรุ่นเดียวกับเผยยวน เกิดในครอบครัวบัณฑิต ผู้อาวุโสในตระกูลล้วนเป็นขุนนางที่ใสซื่อมือสะอาด มีสิทธิ์มีเสียงในราชสำนักอย่างมาก ต่อมาเผยยวนทิ้งเรื่องพลเรือนเลือกเข้าสู่เส้นทางทหารไปอยู่ซีเป่ย แต่เขาอยู่ในเมืองหลวงต่อ เดิมมีอนาคตสดใส แต่กลับไปพูดแทนเผยยวนต่อหน้าเซี่ยเจิน จึงถูกลดตำแหน่งและส่งมาที่นี่
แม้แต่ผู้ตรวจการเองปกติแล้วหากมีอะไรก็มักจะไปถามความคิดเห็นจากเขา
ลู่เอี้ยนมองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยออกมาตามตรง “ข่าวจากในเมืองหลวงบอกว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กประกาศศึกแล้ว ตามการเคลื่อนทัพเร็วของพวกเขา อีกไม่กี่วันก็คงจะมาถึงด้านนอกเมืองเพี่ยวโจว ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอเท่านั้น ไม่สามารถทิ้งเมืองและยอมจำนนได้”
ผู้ตรวจการคิดว่าเขาจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับบอกให้รอสิ่งที่เลื่อนลอยเช่นนี้!
“กองทัพทหารเกราะเหล็กนั่นต่อให้มีอิทธิฤทธิ์เพียงใด ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกเราเกิดอะไรขึ้นอยู่ดี รอพวกเขามาช่วย ไม่เท่ากับพวกเราอยู่รอความตายหรอกหรือ?”
“หรือใต้เท้าผู้ตรวจการมีวิธีอื่นที่ดีกว่าขอรับ” ลู่เอี้ยนย้อนถาม
เขาจะมีวิธีการอะไรได้ วิธีการเดียวที่มีก็คือ รอความช่วยเหลือ!
“ในเมื่อไม่มีวิธีอื่น เช่นนั้นก็ร่วมกับแม่ทัพจาง สาบานว่าจะปกป้องจินโจว อาวุธยุทโธปกรณ์ สมุนไพร และอื่น ๆ ก็ต้องหาทางแก้ปัญหา ท่านเอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ รวบรวมผู้ชายทั้งหมด ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย การปล่อยชาวบ้านทำอะไรตามอำเภอใจ ก็เท่ากับเป็นการเปิดประตูให้สือฟางบุกเข้ามาก็เท่านั้น”
ผู้ตรวจการครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว! ข้าจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ลู่เอี้ยนพยักหน้าให้ มองสีหน้าลุกลี้ลุกลนของบรรดาผู้คนในเมือง ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันหม่นหมองลง เขาเองก็กำลังเดิมพัน เดิมพันว่าพวกเผยยวนจะมาถึงที่นี่โดยเร็วที่สุด
…
“นี่คือหลี! นี่คือซู่” อาอินชี้ตัวอักษรบนหนังสือ ก่อนจะหาวออกมาหวอดใหญ่
แค่อ่านหนังสือก็รู้สึกง่วงแล้ว ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ไปเอาสมาธิมาจากที่ใดกัน
เซียวเซวียนจิ่นเอื้อมมือไปประคองคางของนางเอาไว้ ภายในรถม้าคันใหญ่ อาชิงนอนฉีกแข้งฉีกขาไปนานแล้ว
อาอินยังคงอดทนฝืนความง่วงงุน หากวันนี้รู้ตัวอักษรไม่ครบ คืนนี้ก็ต้องถูกลงโทษให้คัดตัวอักษรอีก
เซียวเซวียนจิ่นเห็นนางง่วงจนน้ำตาคลอ ก็อยากจะหัวเราะออกมา
จี้จือฮวนเปิดม่านรถม้าและเข้ามา อาอินก็หยิบหนังสือขึ้นมาท่องพลางโยกหัวไปมาทันที
เนื่องจากเป็นการเร่งเดินทัพ เพราะกลัวว่าสือฟางจะบุกยึดเมืองอื่นอีก ดังนั้นหลังจากออกมาจากเมืองหลวง นอกจากตอนกลางคืนที่นอนพักแล้ว ช่วงกลางวันกองทัพไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด
พวกเด็ก ๆ เองก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว ทั้งหมดล้วนเรียนหนังสืออยู่บนรถม้า
ส่วนเซียวเซวียนจิ่นนั้น! ทำเป็นพูดจาสวยหรูว่าจะตามกลับไปเยี่ยมท่านพ่อของเขา แต่ความจริงกลับเลยเส้นทางนั้นมาแล้ว และยังติดตามพวกเขาอยู่ ดังนั้นเมื่อช่วยไม่ได้ จี้จือฮวนจึงทำได้เพียงพาเขาไปด้วย ไม่สามารถปล่อยให้เด็กที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาเดินทางเพียงลำพังได้
.
.
.
………………………………………………..