เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 61 ทุกสิ่งอยู่ในกำมือ อรหันต์เดินดิน!
Sign in Buddha’s palm 61 ทุกสิ่งอยู่ในกำมือ อรหันต์เดินดิน!
“เจ้าไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!”
“เจ้า…เจ้าคือระดับตำนานยุทธ!!!”
เสียงคำรามที่ฟังดูสิ้นหวังของจอมมารชุดดำกระจายไปทั่ววัดเส้าหลินโดยพลัน
“ระดับตำนานยุทธ?”
“ระดับตำนานยุทธคืออะไรเยี่ยงนั้นหรือ?”
ศิษย์วัดเส้าหลินที่เพิ่งเข้ามาใหม่เผลอตั้งคำถามโดยไม่ได้ตั้งใจ
พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่วัดเส้าหลินได้ไม่นาน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นแบ่งอย่างไร นับประสาอะไรกับตำนานยุทธ
แต่เมื่อเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่เห็นว่าศิษย์พี่ที่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึง การแสดงออกของพวกเขาบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ ศิษย์ใหม่เหล่านั้นจึงไม่กล้าที่จะพูดต่อ
“ตำนานยุทธ?”
“ระดับอรหันต์?”
หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์บ่นพึมพำอยู่กับตนเอง
ปัจจุบันนี้ระดับของวิทยายุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับ และมีเพียงผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับวิทยายุทธทั้งเก้าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการขนานนามว่าเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ หรือ ระดับตำนานยุทธ
ในความเป็นจริงแล้วทั้งสถานะของ ‘อรหันต์‘ และตำนานยุทธนั้นมีความหมายเดียวกัน แต่อย่างแรกมักจะใช้กันในวัดเส้าหลินหรือไม่ก็นักบวชในสำนักพุทธอื่นๆ ส่วนอย่างหลังนั้นเป็นชื่อที่เรียกกันในหมู่จอมยุทธ
“ระดับตำนานยุทธ?”
“เจินกวน?”
นัยน์ตาของหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่พลันหม่นลง
เดิมทีที่เจินกวนก้าวกระโดดจากพระกวาดลานกลายมาเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเหลือวัดเส้าหลินไว้จากวิกฤติตั้งหลายต่อหลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว
แต่ตอนนี้
ถึงกับมีคนกล่าวออกมาว่า
เจินกวนไม่ได้เป็นเพียงบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
แต่เป็น ‘อรหันต์‘ ตัวตนที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินมาเกือบพันปีแล้วน่ะหรือ?
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่?
หัวหน้าลานจิปาถะไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่เขาตกใจจนสุดขีด ไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ในตอนนี้
หัวหน้าลานโพธิ์ หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ หัวหน้าลานอรหันต์ หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมไปถึงศิษย์อีกหลายคนต่างตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถ้าประโยคนี้ไม่ได้ออกมาจากปากยอดปรมาจารย์อย่างจอมมารพวกเขาก็คงจะไม่เชื่อถือ
ระดับตำนานยุทธ?
น้ำหนักของคำแต่ละพยางค์ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นคำคำนี้แทบจะกดทับได้ทุกสรรพสิ่ง จะให้พูดคำพวกนี้ออกมาอย่างลวกๆ ได้อย่างไร?
ในฐานะจอมมาร คงจะน่าอับอายอย่างมากถ้าจะมาโกหกด้วยเรื่องเช่นนี้ และน้ำเสียงที่จอมมารพูดออกมาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย
“อะไรนะ?”
“ระดับตำนานยุทธ?”
เมื่อเทียบกับอาการตกใจของศิษย์วัดเส้าหลิน เหล่าสาวกพรรคมารต่างก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าอย่างสิ้นเชิง
พวกมันเตรียมที่จะบุกทำลายวัดเส้าหลินอย่างอุกอาจ เดิมทีพวกมันคิดว่าการที่มีจอมมารอยู่ด้วยจะสร้างโอกาสชนะให้กับพวกมัน แม้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น มันก็ยังสามารถฉกฉวยมรดกตกทอดจาก ‘เหล่าอรหันต์‘ ในอดีตของวัดเส้าหลินไปได้
ด้วยระดับของจอมมารยังไงก็ไม่มีปัญหาในการคุ้มกะลาหัวพวกมันทุกตัวให้อยู่รอดปลอดภัย
แต่ตอนนี้?
วัดเส้าหลินในยุคนี้ดันมี ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ หลบซ่อนอยู่?
เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน?
แม้ว่าเหล่าสาวกพรรคมารเหล่านี้จะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในตัวจอมมาร แต่พวกมันก็คงไม่คิดว่าจอมมารจะสามารถเอาชนะ ‘อรหันต์‘ ได้แน่ๆ
ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย
“มันจบแล้ว”
“มันจบสิ้นแล้ว”
บรรดาสาวกพรรคมารต่างหมดสิ้นซึ่งความหวัง
พวกเขาคิดที่จะหนี แต่ทันทีที่คิดเรื่องนั้น พวกมันก็รู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยพลังงานจากทุกทิศทาง
ราวกับว่าทั้งวัดเส้าหลินถูกแปรสภาพกลายเป็น ‘อาณาเขต‘ ที่สิงสถิตของเทพเซียน
“เขาคือระดับตำนานยุทธ?”
คุนคงสาวกพรรคมารรู้สึกว่าเขากำลังได้ยินตลกร้ายเรื่องหนึ่ง
หลังจากการสูญเสียชีวิตของเหล่าอาวุโสไปกว่าเก้าคน เขาเดินทางรอนแรมข้ามทะเลทรายตะวันตกเพื่อตามหาจอมมารโดยทันที และเชิญจอมมารกลับสู่ยุทธภพ เขาต้องการจะฟื้นฟูพรรคมารกลับมา แก้แค้นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามจากวัดเส้าหลิน
แต่เจ้ากลับบอกว่าอีกฝ่ายเป็นระดับตำนานยุทธเช่นนั้นหรือ?
นี่มันไม่ใช่การแก้แค้นแล้ว นี่มันรนหาที่ตาย!!
ทันใดนั้นในหัวของคุนคงก็พลันฉายภาพย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน ยามเมื่อซูฉินสวมจีวรสีเทาเข้ามากวาดล้างฐานที่มั่นหลักของพรรคมาร
ในตอนนี้ความสิ้นหวังทั้งหมดทั้งมวลพลันรวมกลับเข้ามาในใจของคุนคงแล้วกลั่นออกมาเป็นประโยคเดียว
“เจ้าเป็นถึงตำนานยุทธ เหตุไฉนจึงต้องใช้อำนาจรังแกผู้อ่อนแอด้วย!!”
…
หน้าโถงศาลาการประชุมใหญ่
ในขณะที่ซูฉินโบกมือเบาๆ นั้น ร่างของเขาก็วูบไหวราวภูตผี และจอมมารก็กระเด็นห่างออกไปแล้วถูกกดกระแทกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น ไม่สามารถขยับไปไหนมาไหนได้
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”
จอมมารชุดดำดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง มองดูซูฉิน พูดออกด้วยเสียงแหบแห้ง
ความคิดในการใช้แรงกดดันที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเพื่อพัฒนาวิทยายุทธอะไรนั่น กล่าวได้ว่าจอมมารโยนมันทิ้งไปตั้งนานแล้ว
ตอนนี้สิ่งเดียวในสมองของจอมมารชุดดำคือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ตัวมันมีชีวิตรอดต่อไป
ตราบใดที่ชีวิตไม่สิ้น นั่นย่อมเท่ากับยังมีหวัง
“ข้าก็เป็นเพียงพระกวาดลานที่อยู่ในวัดเส้าหลินก็เท่านั้น”
ซูฉินคิดอยู่สักพักแล้วพูดขึ้น
ซูฉินไม่ได้โป้ปด เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่เขาไม่เคยย่อท้อต่อการกวาดลานวัดเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งนี้สามารถยืนยันได้จากทุกคนในวัดเส้าหลิน
“พระกวาดลาน?”
จอมมารในชุดคลุมสีดำนิ่งไปชั่วขณะ ท่าทางไม่อาจเชื่อถือ
พระกวาดลานในวัดเส้าหลิน?
นี่ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?
ตำนานยุทธที่แสนจะโดดเด่น? จะไปเป็นพระกวาดลานในวัดเส้าหลินได้อย่างไร?
ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นแม้แต่เด็กสามขวบยังต้องเยาะเย้ย มันราวกับกล่าวว่าจักรพรรดิผู้มั่งคั่งไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว
“เอาล่ะ”
“ตอนนี้ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”
ฉับพลันซูฉินก็หมดความสนใจไปโดยสิ้นเชิง แต่เดิมเขาต้องการจะยืมมือของจอมมารผู้นี้เพื่อมาทดสอบความแข็งแกร่งของตนเอง
แต่มิคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอถึงขนาดนี้
“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!!!”
ทันใดนั้นจอมมารชุดดำก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่กักเขาเอาไว้ จู่ๆ ก็รุนแรงมากขึ้นจนเกือบจะบดขยี้ตัวของมันเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้เองมันก็รู้ตัวแล้วว่าซูฉินไม่ได้คิดที่จะปล่อยมันเอาไว้
“จงสลายออกไปให้หมด!”
“สลายไปซะ!!!!”
แม้ว่าจอมมารชุดคลุมสีดำจะรู้ว่าความหวังของเขาที่จะรอดชีวิตนั้นน้อยนิด แต่เขาก็ต้องฝืนสู้ให้ถึงที่สุด
พลันเผาผลาญกำลังภายใน และเปลี่ยนสภาพร่างกายของตัวเองด้วยทักษะต้องห้าม
ทันใดนั้นกลิ่นอายที่น่ากลัวก็พวยพุ่งออกมาจากจอมมารชุดคลุมดำ
กลิ่นอายนี้เหนือเสียยิ่งกว่าระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่จอมมารชุดดำไม่มีร่องรอยของความสุขบนใบหน้าแม้เพียงนิด
ด้วยทักษะลับต้องห้ามนี้ มันเผาผลาญทั้งกายเนื้อและกำลังภายในไปจนสิ้น แม้ว่ามันจะมีชีวิตรอดไปได้ ความแข็งแกร่งของมันย่อมต้องลดลงไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ระดับชั้นอาจจะตกจากระดับชั้นที่หนึ่งไปเลย
แต่ตอนนี้จอมมารชุดดำไม่สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม
ช่วงเวลาต่อมา
พลังที่แสนน่าหวาดหวั่นแห่งฟ้าดินก็บดขยี้ลงมา
แกร็ก
แกร็ก
ในทันทีทันใด กระดูกของจอมมารก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่คาดคิดเลยว่า ข้าที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วนมาทั้งชีวิต ต้องมาตกตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น”
จอมมารชุดดำพึมพำอยู่กับตนเอง
ร่างของเขาแหลกเหลว หลงเหลือไว้เพียง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘
แต่แค่ว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของจอมมารชุดดำนั้นอ่อนด้อยกว่ามารพุทธะมาก แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ยังควบแน่นออกมาได้ไม่สำเร็จ เมื่อสูญเสียร่างกายที่คอยคุ้นกันไป พลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะค่อยๆ สลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องให้ซูฉินต้องลงแรงด้วยซ้ำ
เป็นไปตามคาด
เพียงไม่ถึงอึดใจ
จิตของจอมมารชุดดำสั่นไหว หดตัว แล้วก็หายไป
ผู้คนโดยรอบเงียบกริบ
ทุกคนหยุดนิ่ง
หากจะบอกว่าในตอนแรกที่จอมมารชุดคลุมดำตะโกนออกมาว่า “ระดับตำนานยุทธ” ผู้คนยังสงสัยกันอยู่
แต่เมื่อได้เห็นผู้ที่อยู่เหนือผู้ใดเช่นจอมมารชุดดำไม่แม้แต่จะสามารถขัดขืนได้ แล้วสุดท้ายถูกกำจัดไป
ก็ไม่เหลือข้อสงสัยใดอีกในใจของทุกคน
ศิษย์ในวัดเส้าหลินและทุกคนจากพรรคมารต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับฉากดังกล่าวที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินน้ำตาไหลย้อยลงไปตามใบหน้า ตัวเขาสั่นสะท้านแล้วพูดว่า
“เก้าร้อยปีแล้ว”
“กว่าเก้าร้อยปี ในที่สุดวัดเส้าหลินของเราก็มีระดับอรหันต์กำเนิดขึ้นเสียที…”