เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] - บทที่ 561 ความเจ็บปวดของฉือเก๋อ
บทที่ 561 ความเจ็บปวดของฉือเก๋อ
บทที่ 561 ความเจ็บปวดของฉือเก๋อ
หลังจากพวกหัวขโมยถูกพาตัวไป เด็ก ๆ ก็โล่งใจกันมาก จากนั้นเหล่าซานก็เร่งให้พวกเขารีบเข้านอน
ทีแรกเสี่ยวเถียนอยากให้พ่อนอนด้วย แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ เขาจะวางใจได้ยังไงถ้าปล่อยให้เด็ก ๆ คอยเฝ้าระวังน่ะ
วุ่นวายอยู่ค่อนคืน ในที่สุดทุกคนก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนคนที่ตามเจ้าหน้าที่ไปยังไม่กลับมากระทั่งฟ้าสาง
เหล่าซานแค่สอบถามสถานการณ์คร่าว ๆ และบอกให้พวกเขาพักผ่อนเสีย ตอนนั้นพวกคนที่อยู่ตื่นกันแล้ว จึงบอกให้เหล่าซานพักสักหน่อย
และหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น การเดินทางต่อจากนี้ราบรื่นมาก ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนต่างมีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อกลับมาถึง
การเดินทางครั้งนี้เราหาเงินได้เยอะก็จริง แต่ก็เล่นเอาเสียเหนื่อยทีเดียว
คุณย่าซูมองเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าหลานสาว แกร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ ก่อนจะเอาของอร่อย ๆ มาให้ และบอกให้เธอรีบพักผ่อน
ท่ามกลางสายตาขมขื่นของลูกชายและหลานชาย
คนอื่น ๆ ก็มีค่าเหมือนกันนะ ทำไมปฏิบัติต่อกันแบบนี้เล่า?
แต่ช่วงเวลาพักผ่อนสั้นไปหน่อย แค่วันเดียวก็ถึงวันเปิดเทอมลงทะเบียนเรียน
หลังจากพักผ่อนอย่างสบายกายสบายใจจนรู้สึกฟื้นตัวดีแล้ว เสี่ยวเถียนถามคนอื่น ๆ เรื่องสถานการณ์ฝั่งนี้
พวกเสี่ยวลิ่วและคนอื่น ๆ ที่กลับมาก่อนทำหลู่เว่ยขายต่อเหมือนเดิม และพวกเขาก็ทำเงินได้ดีมาก
ส่วนถานจื่อสือที่กลับมาพร้อมกันนั้นเริ่มช่วยงานกับเขาบ้างแล้ว ชายชราพยายามทำทุกวิถีทางให้ภรรยาพึงพอใจ และสัญญาว่าต่อจากนี้ไปจะอยู่กับเธอที่เมืองหลวง
หลีอวี๋เหนียงเป็นคนหัวโบราณ แกคิดเสมอว่าในเมื่อจับมือกันไว้แล้วก็ต้องจับไปจนสุดทาง ดังนั้นเธอขึงให้อภัยถานจื่อสือ
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าสิ่งที่หญิงชราเลือกถูกหรือผิด
แต่ชีวิตเธอเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง คนอื่น ๆ จึงไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรได้
ตอนได้ยินว่าพวกเสี่ยวเถียนกลับมา สองสามีภรรยาตู้รีบมาหาหลานสาวด้วยความปวดใจ
“เสี่ยวเถียน จากนี้ไปอย่าทำงานหนักอีกเลยนะ ย่ากับปู่มีหนูเป็นหลานบุญธรรมคนเดียว อะไรที่เป็นของเรานับจากนี้จะเป็นของหลานทั้งหมดเลย!” อวี่รุ่ยหยวนมองหลานอย่างปวดใจ
นี่คือสิ่งที่เราปรึกษากันดีแล้ว หลังจากผ่านอีกหลายปี ทุกอย่างในบ้านจะเป็นของเสี่ยวเถียน
แต่เสี่ยวเถียนกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าสิ่งไหนที่ตนต้องการ ต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้มันมาถึงจะถูกสิ
“คุณย่า ย่ากับปู่จะมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายสิบปีค่ะ ตอนนี้หนูยังเด็กอยู่ไง เลยต้องทำงานหนัก”
“ไม่ใช่ว่าย่าโอ๋หลานมากหรอกนะ แต่เพราะสาวน้อยแบบนี้ต้องเลี้ยงดูดี ๆ สิ ทำไมต้องให้ไปลำบากด้วยล่ะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูชอบ!” เด็กสาวยิ้มหวาน “จะให้หนูทำตัวเป็นลูกผู้ดีกิน ๆ นอน ๆ ไม่ทำอะไรได้ยังไงคะ?”
ได้ยินเช่นนั้น หญิงชราไม่คิดค้านต่อ ถึงจะควรเลี้ยงเด็ก ๆ ให้ดี แต่ได้ออกแรงสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย เมื่อได้รับอนุญาตจากคนที่บ้าน เสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ใช้เวลาว่างไปกับการขายของ
สินค้ารอบนี้ทั้งฉืออี้หย่วนและพวกเราต่างให้ความสำคัญกับมันมาก
เราจะหาเงินได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับมันเลย
แถมยังคุยอยู่เลยว่าถ้าขายดี จะเปิดร้านทำเป็นธุรกิจอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้การเป็นพ่อค้าเก็งกำไรค่อนข้างเป็นเรื่องที่ดี แต่เราจะทำพลาดไม่ได้เหมือนกัน
และถ้าสามารถเปิดร้านได้เมื่อไร ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเลย ปัญหาอื่น ๆ จะได้รับการแก้ไขด้วย
ต้องบอกว่าการขายของในช่วงเวลานี้ นับว่าเป็นการทำธุรกิจที่ทำกำไรได้จริง
ราคานาฬิกาในหรงเฉิงคือ ห้าสิบสองหยวน แต่ถ้าเป็นที่เมืองหลวงแม้ราคาของมันจะต่ำกว่าในห้อง แต่อย่างน้อยก็ขายได้เรือนละแปดสิบกว่าหยวนด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าใครใช้คารมคมขายเก่ง สามารถซื้อได้ในราคาเก้าสิบหยวนด้วยซ้ำ
ฉืออี้หย่วนมีเส้นสายอยู่บ้างเลยทำธุรกิจได้ราบรื่น ยิ่งได้ฮั่วซือเหนียนคอยช่วยเหลือ สินค้ามูลค่าสูงอย่างนาฬิกากับวิทยุจึงขายออกได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ยังมีพวกเครื่องประดับเหลืออยู่บ้าง
พวกเด็กหนุ่มค่อนข้างเขินที่จะขายสินค้าเกี่ยวกับผู้หญิง เสี่ยวเถียนเสี่ยวเหมยจึงจัดการแทน และด้วยคุณภาพและรูปแบบที่คัดมาอย่างดีจึงเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ
แต่ยอดขายค่อนข้างช้าเพราะราคาสูง เด็กสาววัยมัธยมต้นหลายคนเอื้อมไม่ถึงเลย
หลังจากขายในโรงเรียนได้ช่วงหนึ่ง เสี่ยวเถียนก็หมดความอดทน ที่เหลืออยู่เธอวางขายในร้านป้าเถาฮวาค่อย ๆ ขายกันไป ขายได้หนึ่งชิ้นให้ค่านายหน้าป้าหนึ่งหยวน
ทีแรกเถาฮวาปฏิเสธ แต่เสี่ยวเถียนกับคนอื่น ๆ ยืนกรานว่าเดี๋ยวต่อไปก็จะเป็นแบบนี้อีก ต้องแบ่งสันผลตอบแทนตามการใช้แรงงาน*[1]
ถึงจะไม่รู้ว่าการแบ่งสรรผลตอบแทนตามการใช้แรงงานคืออะไร แต่เถาฮวามองว่าเป็นความคิดที่ดีเช่นกัน
ตอนนี้สินค้าเหลือไม่มากแล้ว ในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็ก ๆ ต่างนั่งอยู่ในห้องหลักของบ้านซู ละเริ่มนับจำนวนสินค้าที่เหลืออยู่
ประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้เราเจอทางสว่าง
ทีแรกฉืออี้หย่วนกลัวว่าปู่จะค้านสิ่งที่ตนทำ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ฉือเก๋อได้ยินการพัฒนาของเขาในช่วงนี้ก็ไม่ว่าอะไร
“ปู่ ปู่ไม่คิดว่าผมจะทำให้บ้านเราขายหน้าเพราะทำเรื่องแบบนี้หรือครับ?” สุดท้ายหลานชายก็เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
ตระกูลฉือเป็นตระกูลนักวิชาการ ปู่คงจะหวังว่าเขาจะสร้างความแตกต่างในโลกแห่งการศึกษาในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้เขากลับตัดสินใจเป็นนักธุรกิจแล้ว
ฉือเก๋อมองหลาน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “เสี่ยวหย่วน มันไม่ใช่ว่าหลานเรียนรู้ที่จะไม่ทำให้ตระกูลเราขายหน้าหรอกนะ แต่ไม่ว่าหลานจะทำอะไร หากเป็นการช่วยเหลือประเทศนี้ ก็นับว่าไม่ขายหน้าแล้ว”
ฉือเก๋อเอ่ยด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไร
แต่มีหรือที่หลานชายอย่างเขาจะไม่เข้าใจ
สองปีมานี้คนอื่น ๆ ทยอยกลับมาจากต่างประเทศทีละคนสองคน แต่ป้า ลุง และพ่อแม่ของเขาไม่กลับมาเลย
ถึงจะได้ยินข่าวคราวมามาก แต่ไม่มีการติดต่อมาหาเลย
บอกแค่ว่าอีกสองปีจะกลับมาหาเท่านั้น
ฉือเก๋อเป็นคนรักชาติ ตอนส่งลูกไปต่างประเทศ เขาเต็มใจที่จะเลี้ยงดูพวกหลาน ๆ เอง เพื่อให้ลูกได้ไปเล่าเรียนศึกษาเพิ่มเติมและกลับมารับใช้ประเทศ
แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขากลับหลงลืมว่าตนเป็นคนจีน
เขาได้แต่สงสัยการสั่งสอนของตัวเอง และคิดอยู่เสมอว่าตัวเองล้มเหลวในการสอนพวกเขา
เพราะลูกชายและลูกสาวต่างก็ล้มเหลวเช่นกัน และเพราะมีหลานชายอยู่เพียงคนเดียว ชายชราจึงไม่อยากยุ่งมากเกินไป
“ปู่ครับ ผมจะไม่เป็นเหมือนพวกเขา!” ฉืออี้หย่วนตอบอย่างหนักแน่น
ฉือเก๋อมองหลานชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วถอนใจ
ไม่ต้องการประเทศแล้วไม่ว่า แต่ลูกชายก็ไม่ต้องการด้วยหรือ?
หลายปีก็แล้ว ไม่เคยคิดถึงเสี่ยวหย่วนบ้างเลยหรือไง? ถึงหลานจะไม่ได้พูด แต่ฉือเก๋อที่ได้แต่บ่นในใจก็ทำได้เพียงอดกลั้นมันเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจอันเปราะบางเด็กเอา
*[1] แบ่งสันผลตอบแทนตามการใช้แรงงาน – เป็นหลักการหนึ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำมาใช้ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่อยู่ในลัทธิมาร์กซ์ด้วย โดยพวกเขาหยิบเอาหลักการข้อนี้มาสอนเยาวชนหนุ่มสาว คนจีนส่วนใหญ่จึงรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งในทางของลัทธิเลนินก็พูดถึงหลักการนี้เช่นกัน โดยให้ความหมายโดยคร่าว ๆ ว่าหากทำงานเท่ากันตามมาตรฐาน จะได้รับผลตอบแทนเท่ากัน