เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 532 เจียงชีชี ราชินีข่าวในอนาคต ตอนนี้เป็นของฉันแล้ว!
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 532 เจียงชีชี ราชินีข่าวในอนาคต ตอนนี้เป็นของฉันแล้ว!
บทที่ 532 เจียงชีชี ราชินีข่าวในอนาคต ตอนนี้เป็นของฉันแล้ว!
เจียงหว่านขมวดคิ้ว “ฉันแนะนำให้เธอคิดก่อนพูดออกมานะ คนก่อนหน้าที่ด่าฉันว่านังสารเลวก็โดนฉันตบจนหน้ากลายเป็นหมูไปแล้ว เธออยากเป็นรายต่อไปเหรอ!”
“และหากเธออยากมีเรื่องตบตี ฉันก็ยินดีสนองความต้องการให้เธอนะ!”
เจียงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
เพราะเธอรู้ว่าเจียงหว่านกล้าทำจริง ๆ
เจียงหว่านมองไปที่เจียงชีชี
ตอนที่เจียงหว่านเข้าห้องมา เธอแค่มองเด็กสาวด้วยสายตาที่เรียบเฉย แต่ตอนนี้พอเจียงหว่านได้สังเกตอย่างรอบคอบ เธอก็เห็นอะไรบางอย่างในทันที
ท่าทีของเด็กสาวดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอค่อนข้างผอม จนเห็นกระดูกโหนกแก้มชัดมาก
แต่สิ่งที่ทำให้เจียงหว่านประทับใจมากที่สุดคือไฝสองจุดที่อยู่ตรงหางตาของเธอ
ใช่แล้ว ไฝสองจุดนี้เล็กมาก ๆ ดูเหมือนกับรอยถูกงูกัดแล้วทิ้ง
แต่ว่าไฝสองจุดนี้ หน้าตาแบบนี้ และชื่อนี้อีก
จู่ ๆ ในหัวของเจียงหว่านก็มีบุคคลหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ เด้งขึ้นมา
ราชินีข่าว ‘เจียงชีชี’
ไม่ผิดแน่ ในอนาคตผู้หญิงคนนี้คือหัวหน้าบรรณาธิการข่าว ที่มีประสาทรับกลิ่นข่าวที่ไวมาก ๆ ทำให้เจียงหว่านประทับใจเป็นที่สุด
ในชาติก่อนของเจียงหว่าน ข่าวสำคัญ ๆ ที่ทำให้ตระกูลฮวาสั่นสะเทือนก็มีเธอนี่แหละที่เป็นคนแพร่กระจาย
ชาติก่อนเจียงหว่านเขียนบทความออนไลน์ และบริษัทที่เธอทำงานด้วยก็ก่อตั้งขึ้นโดยเจียงชีชี
ตอนประชุมประจำปีหลาย ๆ ครั้ง เจียงหว่านก็มักจะเห็นอีกฝ่ายออกมาพูดบนเวที
และนอกจากเรื่องข่าว เจียงชีชีคนนั้นก็ยังมีจมูกดีเรื่องนิยายด้วย
นักเขียนกับนิยายที่ผ่านสายตาของเธอทั้งหมดต่างได้รับความนิยม
ผู้หญิงคนนี้เกิดขึ้นมาเพื่อข่าวและแวดวงบันเทิง
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เลือดของเจียงหว่านก็สูบฉีดไปทั่วทั้งร่างกาย เสียง ๆ หนึ่งที่อยู่ภายในจิตใจเริ่มตะโกนเสียงดังอย่างสุดชีวิต
‘รับหล่อนไว้ ข่าวของเธอต้องมีหล่อน จะกังวลเรื่องไม่เป็นที่นิยมไปทำไม!’
‘ในชีวิตนี้ ราชินีข่าวเป็นของเธอแล้ว!’
เมื่อเจียงหว่านคิดถึงตรงนี้ ร่างกายของเธอก็สั่นเทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอตื่นเต้นมาก
เจียงหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแล้วถามว่า “เธอติดหนี้เจียงเสวี่ยเท่าไหร่?”
เจียงชีชีรู้สึกสับสนนิดหน่อย แต่เธอได้ยินที่เจียงหว่านข่มขู่เจียงเสวี่ยจึงเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที และรีบตอบกลับ
“สามร้อยหยวน!”
เจียงหว่านพยักหน้า “ดี ฉันคืนเงินแทนเธอเอง และพอดีว่าฉันมีงาน ๆ หนึ่งที่อยากให้เธอทำ เธอเต็มใจไหม!”
เจียงชีชีรู้สึกมึนโง่นิดหน่อย จึงหันไปมองเจียงเสวี่ย
เมื่อเห็นเจียงเสวี่ยโกรธจนตาแดงก่ำ ท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าเจียงหว่านเสียให้ได้ จู่ ๆ เด็กสาวก็ยิ้มออกมา
“ฉันไป ๆ ต่อให้คุณจะไม่ให้เงินฉันก็จะไป!”
เจียงหว่านยิ้มกว้าง เธอชอบความตรงไปตรงมาของผู้หญิงคนนี้ที่สุด
เธอจึงหยิบเงินสี่ร้อยหยวนออกมาและปาใส่หน้าเจียงเสวี่ย
“เธอกับเด็กคนนี้ หายกัน! ส่วนเงินที่เกินก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ยเพื่อในอนาคตเธอจะไม่ตามมาระรานอีก!”
พูดจบ เจียงหว่านจึงเดินไปข้างหน้า คว้าข้อมือของเจียงชีชีมา แล้วพาเดินออกไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกไป เจียงเสวี่ยก็รู้สึกโกรธมาก เธอคว้าแก้วและถ้วยชาม คว้าทุกอย่างที่คว้าได้มาขว้าง มาทุ่มจนแตกกระจายเสียงดังโครมครามไปหมด
“เจียงหว่าน นังสารเลว แกจะต้องไม่ตายดี!” เจียงเสวี่ยโวยวาย
ทันใดเสียงของเจียงหว่านก็ดังมาจากด้านนอกประตู “ฉันจะตายยังไง เธอไม่ต้องมายุ่ง แต่ว่าเธอตายต่อหน้าฉันแน่นอน!”
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูดังขึ้นอีกครั้ง
เจียงหว่านจึงพาเจียงชีชีกลับไปยังห้องที่เกาซิ่วเหมยอยู่
ภายในห้อง เกาซิ่วเหมยยังสวมหมวกดัดผม หล่อนมองเจียงชีชีด้วยความสงสัย
“หว่านหว่าน เธอกับเจียงเสวี่ยไม่มีทางคืนดีกันได้อีกแล้วใช่ไหม?”
เจียงหว่านยิ้มเยาะ “พวกเราไม่มีทางคืนดีกันได้ตั้งแต่เธอยังไม่ได้แต่งงานแล้วค่ะ”
“เธอจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันตลอดเวลา ฉันก็แค่ติดนิสัยเธอมา!”
เกาซิ่วเหมยก็คิดแบบนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเจียงเสวี่ยจะแต่งงาน หล่อนก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน!
ตอนนั้นหล่อนยังคิดอยู่เลยว่าผู้หญิงแบบไหนที่บีบบังคับเจียงเสวี่ยให้แต่งงานกับผู้ชายที่อายุมากกว่าตั้งหลายปี อีกทั้งตอนเธอแต่งงานสีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่ยินดี
เพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่าเป็นเจียงหว่านสุดที่รักคนนี้นี่เอง
เกาซิ่วเหมยไม่ได้สนใจเจียงชีชี หล่อนแค่ทักทายตามประสาและเดินไปอีกทางทำราวกับเป็นปลาเค็ม
เจียงหว่านพาเจียงชีชีเดินไปอีกทางก่อนซักถามอย่างละเอียด
“ตอนนี้ฉันเปิดสำนักพิมพ์ แต่ว่าเราเพิ่งจะเริ่มเปิดเท่านั้น มีแค่ฉันกับหุ้นส่วนอีกหนึ่งคน”
เจียงชีชีคิดเพียงว่า ขอแค่เจียงหว่านให้งานเธอ ไม่ว่าจะได้เป็นแม่บ้านหรือได้งานอะไร ก็ขอแค่เธอสามารถเลี้ยงดูชีวิตของตัวเองได้ก็พอแล้ว
ทว่านึกไม่ถึง เจียงหว่านจะเธอเป็นบรรณาธิการ
เธอขมวดคิ้วก่อนพูดว่า “แต่ว่าฉันไม่ได้เรียนมหาลัย ให้ทำบรรณาธิการจะดีเหรอคะ?”
ขณะนั้นเจียงหว่านก็คิดขึ้นมาได้ว่าความจริงตลอดชีวิตของเจียงชีชี เธอจบการศึกษาแค่ชั้นมัธยมปลาย ต่อมาเธอจึงเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ถึงแปดภาษาด้วยตัวเอง
เธอไม่มีความกดดันสักนิดตอนติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ
สิ่งสำคัญคือความสามารถในการมองจนทะลุปรุโปร่งของเธอ เจียงชีชีมีสายตาแหลมคมกับความศรัทธาอย่างแน่วแน่ นั่นเป็นจุดเด่น
ได้ยินมาว่าเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องน้ำมันขยะ เจียงชีชีเคยถูกผู้ชายมากกว่าสามสิบคนไล่ล่าบนถนนแปดสาย
ทั้งที่เป็นแบบนั้น เธอก็ไม่ยอมถอยเลยสักนิด
เจียงหว่านยิ่งคิดดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกาย ตอนนี้เธอเริ่มวาดขนมแป้งแผ่นใหญ่ด้วยรอยยิ้ม
“ชีชี ประวัติการศึกษาไม่สำคัญอะไรหรอก ฉันมองเห็นถึงความสามารถของเธอ”
เจียงชีชีพูดออกมาอย่างไม่ได้ปิดบังอะไร “คุณรู้ว่าฉันมีความสามารถอะไรเหรอ?!”
เจียงหว่านเก้อเขินนิดหน่อย เธอเผลอโกหกไปแล้ว จึงรีบหันกลับมาพูดว่า
“ฉันหมายถึงความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวที่ยอมเสียสละมากกว่ายอมจำนน ฉันเห็นที่ทำกับเจียงหว่านเมื่อสักครู่ และฉันชอบสุด ๆ ไปเลย”
“ฉันเชื่อว่าเธอจะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้อย่างแน่นอน”
“ส่วนเงินเดือน เพราะว่าพวกเราไม่ใช่รัฐวิสาหกิจจึงไม่สามารถให้งานข้าราชการกับเธอได้ไปตลอดชีวิต”
“แต่ฉันรับประกันได้ว่า ฉันจะให้เงินเดือนเธอมากกว่ารัฐวิสาหกิจสามเท่า ช่วงแรก ๆ ฉันจะให้เงินเดือนเธอสามร้อยหยวนต่อเดือน”
เจียงชีชีทวนคำพูดอีกครั้ง “คุณบอกว่าเท่าไหร่นะ?”
เจียงหว่านพูดย้ำ “ช่วงแรกเธอจะได้รับเงินเดือนสามร้อยหยวน รอให้หนังสือพิมพ์ทำกำไรได้มากขึ้น ฉันก็จะให้สามส่วนของกำไรสุทธิเป็นโบนัส!”
ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงชีชีเบิกกว้าง
สามเท่าของกำไรสุทธิคืออะไร เธอไม่รู้ว่านั่นมีค่าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เธอรู้แค่ว่าจะได้เงินสามร้อยหยวนต่อเดือน
ตอนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เงินเดือนพวกเขาเดือนหนึ่งรวมกันยังได้แค่สามสิบแปดหยวน
ในปี ๆ หนึ่งก็ได้ประมาณสามร้อยกว่าหยวน แต่ตอนนี้เดือนหนึ่งของเธอจะได้ตั้งสามร้อยหยวนเชียวเหรอ?
เจียงหว่านเกรงว่าเธอจะรังเกียจจึงวาดฝันต่อ “ขอแค่หนังสือพิมพ์ของพวกเราเติบโตขึ้น เธอก็จะเป็นหุ้นส่วนด้วยนะ!”
“เมื่อถึงตอนนั้น ฉันสามารถให้เธอเข้าเป็นผู้ถือหุ้นของสำนักพิมพ์เราได้”
“นอกจากนี้ ช่วงปีใหม่ วันหยุดกับวันเกิดของคุณ สำนักพิมพ์ก็จะมีเงินพิเศษให้ นี่คือวัฒนธรรมองค์กรของพวกเรา!”
เจียงหว่านพูดไปมากมายบลา ๆๆ จนใบหน้าเล็ก ๆ ของเจียงชีชีกลายเป็นสีแดงเพราะคิดว่าตัวเองถูกหลอกลวง!
สุดท้ายเกาซิ่วเหมยที่ทนฟังไม่ไหวก็พูดขึ้น “หว่านหว่าน ถ้างั้นฉันจะไปสำนักพิมพ์กับเธอด้วย ฉันอยากทำบรรณาธิการด้วย”
“แต่ฉันเขียนบทความได้แค่สองสามบทนะ ส่งต้นฉบับเป็นครั้งคราวได้ใช่ไหม”
เจียงหว่านเห็นด้วยโดยที่ไม่ต้องคิด
ตอนนี้สำนักพิมพ์ไม่มีอะไรเลยและคนก็ขาดอยู่พอดี เธอไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว!
ส่วนเจียงชีชี ตอนนี้เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เพราะคิดว่าถูกเจียงหว่านหลอก
เจียงหว่านคงลืมไปว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ตอนนั้นราชินีข่าวเจียงชีชีได้ให้สัมภาษณ์ เธอถูกถามว่าทำไมถึงเลือกทำข่าวสายนี้
เจียงชีชีก็ตอบว่า ‘เป็นเพราะคำพูดของคน ๆ หนึ่งที่ล่อลวงฉันทำให้คิดว่าอีกไม่นานฉันจะกลายเป็นบรรณาธิการที่ยิ่งใหญ่ มีคนรู้จักไปทั่วโลก’
‘กระทั่งฉันไปที่นั่น ฉันถึงเพิ่งจะรู้ว่าสำนักพิมพ์นั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อ ฉันต้องเริ่มจากศูนย์และทำเอาทั้งหมด!’
‘หลังจากนั้นและอีกนานแสนนาน ไม่ว่าจะหัวหน้าบรรณาธิการ รองหัวหน้าบรรณาธิการ การพิสูจน์ การตรวจสอบ การจัดจำหน่าย ฉันล้วนทำแค่คนเดียว รวมไปถึงหนังสือพิมพ์ข่าวกรองฉันก็ทำคนเดียว’
‘ในช่วงนั้นแค่ฉันเห็นเจ้านายพูด ฉันก็อยากหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บปากเธอแล้ว!’
กลับมายังปัจุบัน ด้านเจียงหว่านที่กำลังดีใจที่ในที่สุดสำนักพิมพ์ก็จะมีคนแล้ว และเธอจะไม่ต้องนั่งเฝ้าสำนักพิมพ์อีกต่อไป
พอมาถึงสำนักพิมพ์ หลังจากเธออธิบายการทำงานเบื้องต้นอย่างชัดเจนแล้ว เจียงหว่านก็โบกมือลาและเดินออกไป เหลือไว้เพียงสายตาที่คับแค้นใจของเจียงชีชี
[1] ทำราวกับเป็นปลาเค็ม หมายถึง คนที่ไร้ความฝัน ไร้จุดมุ่งหมาย ไม่มีชีวิตชีวา
[2] วาดขนมแป้งแผ่นใหญ่ หมายถึง การวาดภาพฝัน การวาดฝัน