เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 515 เฉียวเหลียนเฉิง : เมียฉันต้องไม่ลำบากแบบนี้
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 515 เฉียวเหลียนเฉิง : เมียฉันต้องไม่ลำบากแบบนี้
บทที่ 515 เฉียวเหลียนเฉิง : เมียฉันต้องไม่ลำบากแบบนี้
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกนายจริง ๆ!” เจียงเฉิงขอบคุณอย่างจริงใจ
เจียงหว่านขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร ดวงตาของเธอมีความสงสัย แต่ไม่ได้ถามออกไปในเวลานี้
“ฉันจะถูกลดขั้น ดังนั้นก็จะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่ก็ยังดีที่ไม่ถูกปลดออกจากกองทัพแหละนะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงตบไหล่เขา มิตรภาพระหว่างทั้งสองส่งผ่านสู่กันและกัน
เจียงเฉิงก็พูดอย่างเสียใจ “อีกอย่าง เรื่องหน่วยปฏิบัติการพิเศษน่ะ นายถูกปฏิเสธ เพราะนายไม่ได้ไปรายงานตัว”
“เขาบอกว่าให้จัดการเรื่องของตัวเองก่อน แล้วค่อยสมัครใหม่ปีหน้า!”
ก่อนที่เฉียวเหลียนเฉิงจะพูดอะไร เจียงหว่านก็เริ่มวิตกกังวล “หมายความว่าอะไร? เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่!”
“ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเขาถูกตัดสินให้ติดคุกไม่ใช่หรือไง?”
เจียงเฉิงส่ายหัว “ไม่ มันสายเกินไปที่จะรายงาน”
เจียงหว่านพูดด้วยความโกรธ “เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวในตอนนั้น และก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนทำให้เขาไม่ได้ไปรายงานตัว แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด!”
เจียงเฉิงต้องการอธิบาย แต่เฉียวเหลียนเฉิงก็จับมือของเจียงหว่านไว้ แล้วกล่าว
“หยุดพูดเถอะ มันเป็นความผิดของผมเอง และผมก็ล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว!”
เจียงหว่านประหลาดใจ “ทำไมล่ะ นายไม่ได้คาดหวังกับมันมากไม่ใช่เหรอ?”
สายตาของเฉียวเหลียนเฉิงสงบนิ่ง แต่ทว่ามีความเศร้าในดวงตานั้น
“ตอนที่อยู่ในคุก ไห่หรงเทียนก็ไม่ต้องการผมอีกแล้ว!”
“ไห่หรงเทียนบอกว่า ไม่ว่าเหตุผลของการตายของเฉินผิงคืออะไร ความจริงก็คือผมต่อยเขา”
“นายทหารที่กล้าต่อยคนทั่วไป ไม่สมควรที่จะเป็นทหารของเขา!”
“นี่เขา…”
“เขาบ้าหรือเปล่า?” เจียงหว่านไม่อยากจะเชื่อ
“อย่างน้อยเขาก็ควรรอจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้นสิ!”
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอว่าเฉียวเหลียนเฉิงตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษมากแค่ไหน
ไม่ใช่แค่หน่วยปฏิบัติการพิเศษเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบิดาผู้ให้กำเนิดของเขาด้วย เขาตั้นตารอที่จะได้ร่วมงานกับพ่อของเขา
แต่หลังจากรอคอยมานาน เขากลับไม่ได้อะไรเลย ซึ่งคงยากที่ใครจะยอมรับได้!
เจียงเฉิงถอนหายใจเบา ๆ “จะไปตำหนิไห่หรงเทียนก็ไม่ได้ เขาเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว”
“ไห่หรงเทียนคงจะคิดว่าที่นายควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะอายุยังน้อยและใจร้อน”
“เขาบอกว่าเขาคงจะให้อภัยได้ ถ้านายเป็นทหารเกณฑ์ใหม่ แต่นายเป็นถึงทหารผ่านศึกและอยู่ในกองทัพมาหลายปี อีกทั้งได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้ากองพันแล้ว จะมาผิดพลาดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
เฉียวเหลียนเฉิงมีท่าทีสงบนิ่งมาก และพูดอย่างใจเย็น “ฉันรู้ ฉันไม่ตำหนิเขาหรอก”
เขาแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก็เท่านั้น
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าเขาและไห่หนิงซวงคงจะต้องสู้กันจนตายไปข้าง
เจียงเฉิงถอนหายใจ หากเขาไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉียวเหลียนเฉิงกับไห่หรงเทียนมาก่อน เขาอาจจะตำหนิเฉียวเหลียนเฉิงที่ดื้อรั้นเกินไป
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจความรู้สึกของเฉียวเหลียนเฉิงดี
ถ้าเป็นเขา เขาคงจะรู้สึกเสียใจและอยากจะหนีไปให้ไกลเหมือนกัน
หลังจากที่เจียงเฉิงจากไป เฉียวเหลียนเฉิงเริ่มทำงานในฟาร์ม เขาไปเลี้ยงหมูไปพร้อมกับอ่านหนังสืออย่างหนัก
นอกจากกิน นอน และทำฟาร์มแล้ว เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการเรียน
แม้แต่ตอนกินข้าว เขาก็มุ่งมั่นกับเรื่องการเรียน และจะถามคำถามเจียงหว่านบ้างเป็นครั้งคราว
เจียงหว่านก็ตอบทุกคำถามเสมอ
และไม่นาน เมษายนก็มาถึงในชั่วพริบตา
ในที่สุดแขนของเจียงหว่านก็หายเป็นปกติ
ทันทีที่แขนของเธอหายดี เจียงหว่านก็นั่งรถเข้าออกเมืองตลอด
แต่เฉียวเหลียนเฉิงไม่เห็นด้วยมากนัก
“ทำไมล่ะ แม่ของนายไม่ได้ค่าครองชีพมานานแล้วนะ ฉันต้องไปสิ!”
“ไม่อย่างนั้นเธออาจจะไปร้องเรียนนายก็ได้!”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบอย่างเฉยเมย “แขนของคุณตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะไปสู้กับใคร!”
เจียงหว่านตกตะลึงเล็กน้อย “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปสู้กับใคร?”
เฉียวเหลียนเฉิงถอนหายใจเบา ๆ แล้ววางปากกาลงพลางเงยหน้าขึ้นพูด
“มีคำว่า ‘สู้’ แปะไว้บนใบหน้าของคุณขนาดนั้น ผมต้องพูดอะไรอีกไหม”
เจียงหว่านหน้ามุ่ยและเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของเฉียวเหลียนเฉิง
“เหล่าเฉียว ฉันแค่จะไปสำรวจเอง”
เฉียวเหลียนเฉิงเหลือบมองเธอ และแววตานั้นก็ทำให้เจียงหว่านรู้สึกผิดเล็กน้อย
“จริง ๆ ฉันสัญญากับฮวาจือว่าจะเปิดฟาร์มเพาะพันธุ์ให้เธอหลังปีใหม่!”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบ “จริงจังเหรอ?”
เจียงหว่านพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง “ฉันจะไปหารือเรื่องเปิดฟาร์มเพาะพันธุ์กับฮวาจือ แล้วมันก็เป็นทางผ่านบ้านหลี่หงเหมยพอดี!”
เฉียวเหลียนเฉิงถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบผมของเจียงหว่าน
“ผมคิดไว้แล้วว่าจะสอบเข้าวิทยาลัยในปีนี้ ผมจะไม่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว และผมจะออกจากกองทัพหลังจากสอบเข้าวิทยาลัยได้!”
“ไม่ต้องห่วง ถึงผมจะไม่รับราชการแล้ว แต่ผมก็สามารถปกป้องคุณให้ปลอดภัยได้!”
เจียงหว่านสับสน “ทำไมนายถึงไม่อยากเป็นทหารแล้วล่ะ? ตอนนี้นายเป็นหัวหน้ากองพันแล้ว อีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้บัญชาการกองทหาร ผู้บัญชาการกองพลน้อย หรือแม้แต่นายพลในอนาคตเลยนะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ “กลับมาก่อนมืดนะ อย่าทำให้ผมเป็นห่วง”
สิ่งที่เขาไม่พูดออกไปก็คือ เขาไม่ต้องการให้เจียงหว่านใช้ชีวิตที่วุ่นวายเช่นนี้อีก
ถ้าเป็นคนธรรมดา เขาก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเหมือนตอนเป็นทหาร ที่ไม่สามารถสู้กลับได้แม้จะถูกทำร้าย หรือต้องยอมอดทนกับคนในครอบครัวทั้งที่ถูกเอาเปรียบ
เขารู้ว่าเจียงหว่านทนทุกข์ทรมานมาตลอดเพราะแต่งงานกับเขา
ตอนนี้เขาจึงต้องการให้เจียงหว่านมีชีวิตที่มั่นคงและมีความสุข
เฉียวเหลียนเฉิงรีบอธิบาย
“อย่ากลับมืดค่ำ ถานหย่งไปเที่ยวเกากวนจวงเมื่อสองสามวันมานี้ ผมกังวลว่าเขาจะมาที่นี่เพราะเรื่องคุณ”
เจียงหว่านถอนคำพูดประท้วงของเธอกลับไป และรีบพยักหน้า
“ได้ ฉันจะรีบกลับ!”
เจียงหว่านไปหาฮวาจือ ส่วนมู่เหย่ออกจากหลินเฉิงหลังจากคดีของเฉินผิงมีการฟ้อง และก่อนออกเดินทาง เขาก็ให้ใบเสร็จฝากเงินกับเจียงหว่านไว้
‘ฉันฝากนี่ไว้ให้เธอที่ธนาคาร หนึ่งแสนหยวน!’
‘นี่คือเงินปันผลของเธอในปีแรก เธอตรวจสอบบัญชีของบริษัทได้ตลอดเวลาเลยนะ’
เจียงหว่านตรวจสอบบัญชีไม่เป็น แต่เธอรู้ว่าถ้ามู่เหย่ต้องการโกงเธอ เขาคงจะหาวิธีมานับไม่ถ้วน
ยังไงเรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคน
ด้านฮวาจือ เมื่อหล่อนได้ยินว่าเจียงหว่านกำลังจะเปิดโรงงานให้จริง ๆ หล่อนก็ยิ้มอย่างดีใจ…