เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 600 คนเห็นแก่ตัว
บทที่ 600 คนเห็นแก่ตัว
สวี่ชิงคิดว่าโจวจินหนานแค่พูดเล่น ถึงกระนั้นลูกน้อยทั้งสองอายุได้เพียงสองขวบหนึ่งเดือนเท่านั้น แค่ยืนได้มั่นคงก็ดีมากโขแล้ว ยังจะต้องไปเรียนรู้อะไรอีก
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป เธอกลับนึกไม่ถึงว่าโจวจินหนานจะให้ต้าเป่ากับเสี่ยวเป่าไปทำท่านั่งคร่อมม้าอยู่บนพื้น
การฝึกค่อนข้างเข้มงวดมาก เสี่ยวเป่าที่ยืนหยัดอยู่ถึงกับล้มลงกับพื้นด้วยขาที่สั่นเทา เขาลุกขึ้นและรีบวิ่งไปหาแม่ทันที โดยปฏิเสธที่จะฝึกฝนต่อ
ต้าเป่าติดตามการฝึกฝนของพ่อด้วยท่าทางจริงจังเป็นพิเศษ
ในวันแรกโจวจินหนานไม่ได้ปล่อยให้ต้าเป่ายืนนานเกินไป เพียงแต่ให้ยืนทรงตัวอยู่ประมาณสามนาที ถึงกระนั้นอย่าดูถูกสามนาทีของเด็กสองขวบ เพราะมันไม่ง่ายสำหรับเขาเลยสักนิด การยืนคร่อมม้าสามนาทีค่อนข้างยากทีเดียว
โจวจินหนานลงไปนั่งยอง ๆ ข้างหน้าต้าเป่า และแตะกำปั้นของต้าเป่าเบา ๆ “เหนื่อยหรือยัง?”
ต้าเป่าเม้มปากและส่ายหัว เขายังยืนหยัดได้อยู่
โจวจินหนานยิ้มขณะพูดชมเชย “ต้าเป่าเป็นเด็กกล้าหาญ ยังยืนหยัดได้อีก”
สองสามวันต่อมา ต้าเป่ามักจะติดตามโจวจินหนานไปฝึกท่ายืนคร่อมม้าทุกครั้ง และเขาสามารถยืนหยัดได้สามถึงห้านาที จนสวี่ชิงรู้สึกสงสารลูกชายมาก เขายังเล็กอยู่ การไปยืนฝึกฝนแบบนั้นย่อมทำให้คนเป็นแม่ทุกข์ใจ
ทว่าต้าเป่ากลับเต็มใจและเธอก็ไม่สามารถไปหยุดยั้งเขาได้ ทำได้เพียงพูดกระซิบกับโจวจินหนานว่า “คุณก็เบา ๆ หน่อยสิคะ อย่าทำให้ต้าเป่าเหนื่อยนัก เหนื่อยมากเดี๋ยวลูกก็ยอมแพ้เอาหรอก”
ขณะที่เสี่ยวเป่าไม่ได้สนใจอะไรเลย เขารีบวิ่งผละออกไปทันทีเมื่อเห็นพ่อกับพี่ชายทำท่ายืนคร่อมม้า กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้พ่อจะลากเขาไปฝึกด้วยอีกคน
สวี่ชิงหาคุณป้ามาช่วยทำความสะอาดสองมื้อต่อวันและทำความสะอาดบ้านได้แล้ว
กว่าจะรู้ตัววันสิ้นปีก็ใกล้เข้ามาแล้ว เย่หนานกับเฟิงซูฮวาส่งโทรเลขหาสวี่ชิงหลังจากมาถึงปักกิ่ง เนื้อหาหลัก ๆ มีเพียงแค่สี่คำเท่านั้น ว่าถึงแล้ว อย่าห่วง
เกาจ้านโทรหาโจวจินหนาน โดยบอกว่าเขาได้จัดเตรียมที่พักให้กับเย่หนานและเฟิงซูฮวาเรียบร้อยแล้ว และช่วยดูแลพวกหล่อนระหว่างพักอยู่ในปักกิ่ง
สวี่ชิงรู้สึกโล่งใจมาก และจัดเตรียมของขวัญวันปีใหม่ด้วยใจแน่วแน่ จากนั้นจึงไปจัดทำความสะอาดห้องให้โจวคังอันกับโจวเฉิงเหวินมาพักด้วยกันที่นี่ตลอดช่วงปีใหม่
ขณะเดียวกัน พ่อกับพี่ชายของซูช่านได้เดินทางมายังตัวเมืองเอกมณฑล
เดิมทีคุณพ่อซูไม่เห็นด้วยที่ซูช่านกับอวี๋เซี่ยงตงคบหากัน เขาไม่พอใจที่อวี๋เซี่ยงตงชอบทำตัวเกเร และไม่ต้องการให้ลูกสาวอาศัยอยู่ในตัวเมืองเอกมณฑล
แต่ไม่รู้ว่าอวี๋เซี่ยงตงใช้วิธีการใดเกลี้ยกล่อมคุณพ่อซูให้อิ่มเอมใจ อีกทั้งยังตกลงให้สองคนนี้หมั้นหมายกันก่อน เพราะที่จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านในอนาคต
แม้ว่าจะบอกว่าสนับสนุนเสรีภาพทางความรัก ทว่าซูช่านยังเรียนอยู่ ดังนั้นการค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์จึงดีกว่า
อวี๋เซี่ยงตงส่งรายงานความสัมพันธ์ไปยังหน่วยงาน และได้รับการอนุมัติแล้ว
งานหมั้นหมายของทั้งสองถูกจัดขึ้นในวันที่ยี่สิบแปดเดือนธันวาคม มีการจองโต๊ะกับทางโรงอาหารของรัฐบาลที่อยู่ใกล้เคียงกับทางมหาวิทยาลัย พวกเขาเชิญชวนสวี่ชิงกับสามี และเหยียนจี้ชวนไปด้วย
มื้ออาหารค่อนข้างเรียบง่ายและเป็นไปตามความยินยอมของพ่อแม่ นอกจากนี้ทั้งสองยังเป็นคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ
สวี่ชิงมองดูอวี๋เซี่ยงตงที่อยู่ในชุดเครื่องแบบสีเขียว มีจิตวิญญาณของวีรบุรุษ จากนั้นจึงหันไปมองซูช่านที่อยู่ในชุดคลุมสีแดงอีกครั้ง หล่อนนั่งถัดจากอวี๋เซี่ยงตง ใบหน้ามีสีขาวผ่องเหมือนกับกระต่ายน้อย ชายหญิงดูเหมาะสมราวกิ่งทองใบหยกและมีเสน่ห์กันมาก
ภายในใจรู้สึกปีติยินดีกับทั้งสองคนมาก ถึงกระนั้นกลับอดสงสัยไม่ได้ว่าอวี๋เซี่ยงตงทำงานในหน่วยงานรักษาความปลอดภัยไม่ใช่หรือ แล้วทำไมชุดเครื่องแบบของเขาถึงเป็นสีเขียว?
ชุดเครื่องแบบปัจจุบันของโจวจินหนานถูกแทนที่ด้วยชุดจงซาจวนขนสัตว์สีน้ำเงินเข้ม แล้วตอนนี้อวี๋เซี่ยงตงทำงานที่หน่วยงานไหนกันแน่?
สวี่ชิงกับโจวจินหนานพาลูก ๆ กลับบ้านหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ และอดจะเอ่ยถามระหว่างทางไม่ได้ “พวกอวี๋เซี่ยงตงเปลี่ยนเครื่องแบบกันเหรอ?”
โจวจินหนานเงียบไปครู่หนึ่ง อวี๋เซี่ยงตงเลือกสวมชุดเครื่องแบบใหม่เพราะรู้สึกว่าตนเองดูหล่อเหลาในชุดนี้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ต้องการให้สวี่ชิงรู้เรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้
สวี่ชิงเห็นโจวจินหนานไม่พูดไม่จา และคิดว่าเขาไม่ได้ยิน จึงถามขึ้นอีกครั้งและพูดตามสิ่งที่เธอคิด “ดูไม่เหมือนชุดเครื่องแบบตำรวจเลย ดูเหมือนเครื่องแบบทหารที่พี่เคยใส่ก่อนหน้านี้มากกว่าอีก”
เว้นแต่ว่าไม่มีตราสีแดงตรงบ่า ดูไม่แตกต่างจากเครื่องแบบอื่น ๆ เธอจึงคิดว่ามันเป็นเพียงชุดเครื่องแบบของอวี๋เซี่ยงตงก่อนหน้านี้ และเขาเอามันออกมาใส่เพียงเพราะรู้สึกว่ามันใหม่กว่าหรือเปล่า?
โจวจินหนานลังเลว่าจะบอกสวี่ชิงดีหรือไม่ และรู้สึกว่าอวี๋เซี่ยงตงจัดการเรื่องนี้ได้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ทั้งที่เขาจะไปตั้งรับอยู่ที่แนวหน้า แต่ยังอยากจะหมั้นหมายกับซูช่าน ถ้าเกิดเขากลับมาไม่ได้ล่ะ?
แต่ก่อนที่เขาจะพูด จู่ ๆ สวี่ชิงก็เห็นคนเข็นรถเข็นขายเมล็ดแตงโมงและลูกอมถั่วลิสงอยู่ที่ข้างถนนเสียก่อน และรีบดึงเสี่ยวเป่าไปที่นั่น “ที่บ้านยังไม่ได้ซื้อขนมมาพอดี แวะไปดูกันเถอะ”
ทำให้หัวข้อดังกล่าวถูกขัดจังหวะในทันที
สวี่ชิงกลับไปที่สถานีในวันที่ยี่สิบเก้าเดือนธันวาคมอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้โดยสารมีจำนวนน้อยลงมาก และผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่เดินทางจากทิศใต้ล้วนกลับไปฉลองวันปีใหม่กับที่บ้านทางทิศเหนือกันแล้ว ทำให้ผู้โดยสารต่างถิ่นหลงเหลืออยู่ในสถานีกันเพียงไม่กี่คน
ธุรกิจแผงลอยค่อนข้างร้าง ร้านแผงลอยทั้งสองแห่งได้ปิดทำการชั่วคราวและกลับไปเตรียมพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ มีเพียงผางเจิ้งหัว ซุนเถียน ซุนเชียวเฟิ่ง และหลี่ซิ่วเจินเท่านั้นที่ยังอยู่ในร้าน
ธุรกิจทั้งหลายปิดทำการในช่วงปีใหม่ บางร้านค้าถึงกับปิดตัวลงถึงครึ่งเดือน และจะไม่เปิดร้านจนกระทั่งจะก้าวผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแรกไปแล้ว
ผู้คนให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองวันปีใหม่มาก และครอบครัวส่วนใหญ่มักจะกลับมาสังสรรค์วันปีใหม่ร่วมกัน
ผางเจิ้งหัวส่งยิ้มให่สวี่ชิงที่กำลังเดินเข้ามา และบอกแผนการของตนให้เธอฟัง “พรุ่งนี้ฉันไม่มานะ จะปิดร้านอีกทีหลังจากวันที่ห้าไปแล้ว”
สวี่ชิงไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน “ตอนนี้นายมีญาติสองฝ่ายแล้ว จะทำอะไรให้เสร็จก่อนวันที่ห้าได้เหรอ? ไม่ต้องห่วงไป ค่อยเปิดร้านหลังจากวันที่สิบห้าก็ได้”
เมื่อถึงเวลานั้น หลี่กั๋วหัวจากแผนกขนส่งจะยังสามารถเข้ามาทำงานหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ
ผางเจิ้งหัวลังเลเช่นกัน ที่บ้านเขามีญาติหลักผู้ใหญ่มากมาย และทุก ๆ ปีเขาไม่สามารถแวะเวียนไปเยี่ยมญาติให้เสร็จก่อนวันที่สิบห้าได้
สวี่ชิงรีบโบกมือ “ขอให้เงินทองไหลมาเทมา สวัสดีปีใหม่นะ”
ในอนาคตความสนุกสนานในการเฉลิมฉลองวันปีใหม่จะน้อยลงเรื่อย ๆ จนทำให้คิดถึงบรรยายกาศครื้นเครงและมีชีวิตชีวา
ซุนเถียนยังพูดเสริมอีกว่า “ใช่แล้ว ไหนจะญาติของพี่แล้วยังมีญาติของฉันอีก กว่าจะไปครบทั้งสองบ้านก็ใช้เวลาไปตั้งสิบกว่าวันแล้ว จะไม่แวะไปบ้านไหนก็ไม่ได้ด้วยสิ”
ผางเจิ้งหัวกัดฟันพูด “ถ้าอย่างนั้นเปิดร้านในวันที่สิบหก อาเชียวเฟิ่งว่าไงครับ?”
ซุนเชียวเฟิ่งไม่ได้คัดค้านอะไร “ได้สิ อาว่าจะใช้โอกาสในวันปีใหม่นี้ไปทักทายลูกสะใภ้หู่จืออยู่พอดี”
หลายคนเริ่มพูดซุบซิบเกี่ยวกับลูกสะใภ้ของหู่จืออีกครั้ง และถามว่าซุนเชียวเฟิ่งต้องการลูกสะใภ้แบบไหน?
ซุนเชียวเฟิ่งหัวเราะ “ฉันไม่อยากได้อะไรเยอะแยะหรอก ขอแค่อีกฝ่ายมีสมุดบัญชีธัญพืชและใช้ชีวิตกับหู่จือได้อย่างมั่นคงก็พอ”
พวกเขาทุกคนล้วนมีทะเบียนบ้านในชนบท และไม่เคยกล้าคิดหาลูกสะใภ้ที่มีสมุดบัญชีธัญพืช
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส หลี่กั๋วหัวก็เดินถือถุงดำเข้ามาพร้อมกับสีหน้ากระวนกระวายใจ
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสวี่ชิงอยู่ที่นี่ “สหายเสี่ยวสวี่ ไอหยา ดีจังที่คุณมาที่นี่ได้ทันเวลา พอดีผมมีเรื่องจะถามคุณหน่อย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
งงๆ กับเซี่ยงตงนะ หมั้นกับแฟนทั้งทียังจะไปประจำการอยู่แนวหน้าอีกเหรอ? แล้วทิ้งแฟนให้เป็นม่ายอยู่ในตัวเมืองเอกงี้?
ไหหม่า(海馬)