เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 568 คู่รักหวานชื่น
บทที่ 568 คู่รักหวานชื่น
เหยียนจี้ชวนมองดูโจวจินหนานที่กำลังปกป้องภรรยาของตนเอง “ฉันไม่ได้พูดแรงสักหน่อย แกจะเอาไงว่ามาเลย? อีกอย่างนี่หลานสาวฉัน ถ้าแกจะบอกว่า แกเองก็ไม่มีมารยาทเหมือนกัน นับจากนี้ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าอาเล็กเลยนะ”
โจวจินหนานส่งเสียงไม่พอใจ “ยังหาซ่งจิ่นสือไม่เจอด้วยซ้ำ กล้ามานั่งกินอย่างสบายใจเฉิบได้ยังไง?”
ความสนใจของสวี่ชิงเปลี่ยนแปลงไปทันที “ถึงตอนนี้ก็ยังหาซ่งจิ่นสือไม่เจอเหรอคะ? เขาไปที่ไหนกันนะ? จะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?”
เหยียนจี้ชวนชำเลืองมองเธอ “เก็บไว้เป็นความลับด้วยล่ะ รีบกินข้าวได้แล้ว”
สวี่ชิงรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากที่ถูกทั้งสองคนขัดจังหวะ และตัดสินใจจะพูดคุยระหว่างกินข้าว
เธอถอนหายใจหลังจากเล่าเรื่องราวต่าง ๆ “มันน่ารำคาญที่พวกเขามายืนขว้างประตูอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน พวกอาช่วยฉันหาตัวตนของพวกเขาหน่อยสิคะ ว่าพวกเขาแค่ผ่านมาธุรกิจ และอยู่ในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จริง ๆ หรือเปล่า”
เหยียนจี้ชวนวางตะเกียบลงและเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้หลานกังวลขนาดนี้เชียวเหรอ? ก็เรื่องกล้วย ๆ หาข้ออ้างมาจับกุมพวกเขาเอาสิ”
สวี่ชิงมองดูเหยียนจี้ชวยด้วยความตกตะลึง “อาเล็ก ถึงสองคนนี้จะเป็นคนหยาบคาย แต่ฝ่ายเราเป็นคนทำผิดพลาดก่อน จนทำให้คนพวกนั้นฉวยโอกาสเรียกร้องเงื่อนไขที่ไม่สมเหตุสมผล แต่การที่เราจะไปหาข้ออ้างมาจับกุมคนพวกนั้นมันไม่น่ารังเกียจไปหน่อยเหรอคะ?”
เหยียนจี้ชวนหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นมีวิธีการอื่นไหมล่ะ? เพราะนี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนพรรค์นั้น”
สวี่ชิงส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด”
เธอพูดและผลักอาหารที่ยังกินไม่หมดไปทางโจวจินหนาน โจวจินหนานรับมาอย่างตั้งใจและเทลงไปในชามตนเอง
เหยียนจี้ชวนมองดูด้วยความตกตะลึง ตั้งแต่ที่เขาทำงานมา เขาเป็นคนรักความสะอาดมาก ไม่แม้แต่จะแบ่งปันถ้วยกับตะเกียบให้ผู้อื่นสักครั้งเดียว
นับประสาอะไรกับการกินของเหลือจากผู้อื่น
ก่อนจะมองไปที่สวี่ชิงด้วยความรังเกียจอย่างถึงที่สุด “หลานกินไม่หมดก็น่าจะบอกก่อนสิ เอาของเหลือไปให้คนอื่นได้ยังไง”
สวี่ชิงยิ้มขณะก้มหน้าก้มตา “ก็ตอนนั้นฉันหิวมาก นึกว่าตัวเองจะกินหมด อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นสามีของฉัน”
เหยียนจี้ชวนรู้สึกคลื่นไส้และสั่นสะท้านไปกับน้ำเสียงออดอ้อนของสวี่ชิง “หลานนี่มันน่าคลื่นไส้จริง ๆ เอาล่ะ ๆ กินกันต่อเถอะ อาไปก่อนนะ ให้สามีหลานพูดแนะนำเอาก็แล้วกัน”
เขารีบเก็บจานและเดินออกไปอย่างว่องไว รู้สึกคลื่นไส้กับสามีภรรยาคู่นี้เต็มที
สวี่ชิงมองดูโจวจินหนานเงยหน้ากินข้าวต่อเงียบ ๆ เธอชอบดูเวลาคนรักของตนเองกินข้าว ทั้งว่องไวและไม่เคอะเขิน สมแล้วที่มีความเป็นผู้ชายสูง
โจวจินหนานกินข้าวเสร็จภายใต้สายตาเร้าร้อนของสวี่ชิง ก่อนจะวางชามและตะเกียบลงอย่างไม่มีทางเลือก “ไหนคุณช่วยเล่าเรื่องของสองคนนั้นให้ผมฟังหน่อย”
สวี่ชิงนั่งตัวตรงอย่างว่องไว “คนหนึ่งชื่อหวางเหวินหลง ปีนี้อายุสามสิบเก้าปี ส่วนอีกคนชื่อเฉินหวาชิง อายุสี่สิบปี ฉันเห็นป้ายทะเบียนทำงานของพวกเขาอยู่ที่โรงงานผลิตรถยนต์หงกวงในฉ่านซี ส่วนหน้าที่ของพวกเขาคือการออกไปนำเสนอธุรกิจ”
ทว่าต่อมาภายหลังตำแหน่งนี้ไม่ใช่การส่งเสริมการขาย มีหน้าที่คอยช่วยเหลือโรงงานในการคิดคำนวณบัญชี และติดตามเงินค้างค่าชำระงวดสุดท้ายในด้านผลิตภัณฑ์
กล่าวโดยสรุปว่าเป็นตำแหน่งที่มั่งคั่งมาก
โจวจินหนานพยักหน้า “ได้ ผมจะใช้เส้นสายช่วยคุณค้นหา คุณให้เจิ้งหัวไปตรวจสอบดูด้วยว่าตอนกลางคืนสองคนนี้ไปพักที่ไหน หรือพวกเขาได้ติดต่อกับใครบ้างหรือเปล่า”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “ถ้าส่งเจิ้งหัวไปตามดู เขาจะต้องโดนจับได้แน่ ๆ คุณก็รู้นี่คะว่าเจิ้งหัวไม่ใช่มืออาชีพ”
โจวจินหนานยิ้ม “ก็ต้องให้พวกเขาจับได้สิ เราถึงจะสามารถหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังได้”
สวี่ชิงคิดเพียงว่ามันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และไม่อาจนึกถึงความหมายที่ลึกซึ้งจากการกระทำของโจวจินหนานได้ ทว่าในเมื่อโจวจินหนานจัดแจงแล้วจะต้องไม่มีปัญหาตามมา
ถึงกระนั้นเธอกลับรู้สึกกังวลและถามขึ้นอีกครั้ง “ฉันขอให้คุณมาช่วยแบบนี้ มันจะไม่กระทบกับงานคุณใช่ไหม?”
โจวจินหนานส่ายหัว “ไม่หรอก วางใจได้ เป็นเส้นสายส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับงาน สายแล้ว ให้ผมไปส่งคุณกลับไหม?”
สวี่ชิงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้ คืนนี้คุณก็กลับบ้านไว ๆ ล่ะ เสี่ยวเป่าบอกว่าเขาคิดถึงพ่อ”
โจวจินหนานหัวเราะเบา ๆ เสี่ยวเป่าจะคิดถึงเขาก็ต่อเมื่อทำอะไรผิดจนถูกสวี่ชิงทำโทษ และบอกคิดถึงพ่อทั้งน้ำตา
เขาชอบเอามือเล็ก ๆ ลูบหัวใจตนเอง ร้องไห้งอแงและพูดว่า “คิดถึงพ่อ คิดถึง ข้างในนี้เจ็บ”
จนสวี่ชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทุกครั้ง
เนื่องจากมีโจวจินหนานคอยช่วยเหลือ สวี่ชิงจึงกลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดี และแวะซื้อถังหูหลู่สองไม้ระหว่างทางกลับไปให้ต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า
ช่วงนี้การกลับบ้านไวแทบจะเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือซูช่านที่กำลังคุยกับเย่หนานอยู่บนที่นอนในบ้าน
ต้าเป่าถือจับหนังสือขึ้นมามองดูด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เด็กที่มีพรสวรรค์สามารถเรียนรู้ตัวอักษรหนึ่งพันตัวได้เมื่ออายุครบสองขวบ ต้าเป่าจำตัวอักษรได้สิบตัวแล้ว ในขณะที่เสี่ยวเป่ารู้เพียงแค่ตัวเดียว อีกทั้งยังเขียนตัวอักษรในแนวตั้ง และไม่รู้วิธีการเขียนในแนวนอน
เสี่ยวเป่านอนเล่นลูกบอลอยู่กับแมวดำบนที่นอน
เย่หนานรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อเห็นสวี่ชิงกลับมา “วันนี้วันนี้ลูกกลับมาเร็วจัง แม่เพิ่งบอกว่าซูช่านว่าช่วงนี้ลูกยุ่งมาก จนเด็ก ๆ หลับไปแล้วถึงกลับมากัน”
สวี่ชิงยิ้มและเดินเข้าไปจับเสี่ยวเป่าที่กำลังคลานเข้ามา “วันนี้ไม่ค่อยยุ่งค่ะ พอไม่มีเรียนคาบบ่ายฉันก็รีบกลับมาเลย ว่าแต่ซูช่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
ซูช่านยกรูปทรงรองเท้าในมือขึ้น “ฉันมาขอโครงวาดรองเท้ากับป้าเย่น่ะ ว่าว่างแล้วจะทำรองเท้าสักคู่”
สวี่ชิงมองดูโครงวาดรองเท้าและถอนหายใจ “แต่อันนั้นมันเป็นโครงสร้างรองเท้าของโจวจินหนาน คุณจะเอาไปทำรองเท้าให้ใครคะ?”
ซูช่านหน้าแดงก่ำทันที รู้สึกอายเกินกว่าจะตอบออกไป
เย่หนานยืนมือออกไปตีสวี่ชิงเบา ๆ “ทำไมลูกพูดมากจัง? ซูช่านจะมีแฟนบ้างไม่ได้หรือไง? พูดอย่างกับหล่อนเป็นคนซื่อบื้องั้นแหละ”
ซูช่านหน้าแดงก่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินเย่หนานพูดเช่นนั้น
สวี่ชิงมองดูท่าทางของซูช่าน และคิดว่าหล่อนอาจจะทำมันให้อวี๋เซี่ยงตง
เนื่องจากเริ่มมืดแล้ว สวี่ชิงจึงขอให้ซูช่านอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งซูช่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ ม้วนแขนเสื้อขึ้นและเข้าไปช่วยสวี่ชิงล้างผักในห้องครัว
ทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างในชั้นเรียน พูดถึงความแตกต่างระหว่างแพทย์แผนจีนและแพทย์ตามแบบฉบับแม้วอย่างละเอียด
เนื่องจากทั้งคู่ไม่ใช่นักเรียนที่มีความรู้เริ่มจากศูนย์ บทสนทนาจึงลึกซึ้งกว่าในบทเรียนเป็นธรรมดา
สวี่ชิงพุดเปลี่ยนเรื่องโดยการมุ่งประเด็นไปที่อวี๋เซี่ยงตง “ตอนนี้อวี๋เซี่ยงตงฟื้นตัวไปถึงขั้นไหนแล้วคะ?”
ซูช่านหน้าแดงโดยที่ไม่รู้ตัวอีกครั้ง “ยังเหมือนเดิมเลยค่ะ”
สวี่ชิงยิ้มขณะชำเลืองมองซูช่าน “ตั้งแต่เขาย้ายออกไป ฉันยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมเขาเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน?”
ซูช่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันจะบอกคุณอย่างหนึ่ง อย่าหัวเราะเยาะฉันนะคะ”
สวี่ชิงเลิกคิ้วและรอฟังเงียบ ๆ เพื่อให้ซูช่านได้พูดประโยคต่อไป
ซูช่ายยังคงเขินอายและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันกับอวี๋เซี่ยงตงเราตกลงเรื่องความสัมพันธ์กันแล้วค่ะ”
ถึงแม้ว่าสวี่ชิงจะพอคาดเดาได้ แต่เธอก็ยังค่อนข้างประหลาดใจอยู่ดี เนื่องจากอวี๋เซี่ยงตงเป็นคนปากแข็ง ในขณะที่ซูช่านเป็นคนขี้อาย ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนน่าจะต้องพยายามกันน่าดู
ถึงกระนั้นกลับไม่คิดว่าจะมาลงเอยกันได้รวดเร็วขนาดนี้!
สวี่ชิงยังคงสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอน “คุณสองคนใครเป็นคนสารภาพก่อนคะ? ฉันนึกว่าอวี๋เซี่ยงตงจะไม่ยอมพูดอะไรเลยไปตลอดชีวิตซะอีก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยินดีด้วยนะพ่อคนปากแข็ง แสดงออกว่ารักใคร่ชอบพอใครได้เสียที
ไหหม่า(海馬)