เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 567 บุคคลที่ได้รับการตามใจ
บทที่ 567 บุคคลที่ได้รับการตามใจ
ช่วงนี้สวี่ชิงงานยุ่งมาก ทว่าเธอไม่สามารถขาดเรียนได้ตลอด เธอจึงใช้เวลาพักเที่ยงและเวลาหลังเลิกเรียนในตอนบ่ายไปจัดการกับปัญหาที่ตามมาในร้าน
โดยเฉพาะค่าชดเชยที่ต้องมอบให้แก่ผู้โดยสารทั้งสองราย
โชคไม่ดีที่พวกเขาทั้งสองเริ่มถึงทางตัน เรียกร้องเงินเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนต่อคน และไม่ต้องการยอดที่น้อยไปกว่านี้
สวี่ชิงไม่ได้จ่ายเงินจำนวนมากนั้นออกไป นอกจากนี้ค่ารักษาพยาบาลของทั้งสองคนยังตกไม่ถึงคนละร้อยหยวน การให้ค่าชดเชยคนละหนึ่งพันหยวนนั้นก็มากโขแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้สวี่ชิงคาดไม่ถึงคือทั้งสองคนยืนหยัดจะต่อสู้อยู่ที่นี่
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ร้างแผงลอยกลับมาเปิดขายอีกครั้ง ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านไม่ยอมออกไปไหน นั่งอยู่หน้าร้านขณะถือแผ่นป้ายไว้ในมือ
ร้านค้าทั้งหมดได้รับการตกแต่งใหม่ รวมถึงจ่ายเงินค่ามัดจำให้กับทางสถานีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สวี่ชิงกับผางเจิ้งหัวไม่ได้มีเงินอยู่ในกำมือมากนัก ซึ่งหมายความว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาพวกเขาทำงานโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากนี้ยังมีเงินจำนวนสองพันหยวนที่สวี่ชิงยืมมาจากเหยียนจี้ชวน
ถึงกระนั้นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหยียนจี้ชวนได้เงินมาจากไหน
ร้านแผงลอยกลับมาเปิดอีกครั้งหลังจากปิดปรับปรุงล่วงเวลา ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังโวยวายอยู่ที่หน้าร้าน หน้าประตูเต็มไปด้วยผู้ชมมากมายที่ไม่กล้าเข้ามากิน
โดยพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินว่าร้านอาหารระเบิดและไม่มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกค้า ลูกค้าที่วางแผนจะมากินอาหารต่างหวาดกลัวและจากไปในที่สุด
ยุคสมัยที่ผู้อ่อนแอกลายเป็นผู้ถูกต้อง และสิ่งที่ได้ยินมาย่อมเป็นเรื่องจริง
ธุรกิจร้านอาหารร้างมาก ทั้งที่สวี่ชิงแวะไปในตอนเที่ยง แต่ก็ไม่มีลูกค้าเข้ามากินอาหารในร้านเลย
ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองคนยังคอยยืนกันอยู่ทางหน้าร้าน ราวกับลูกสมุนของผู้มีอิทธิพลที่ชอบระรานชาวบ้าน คอยส่งเสียงร้องบอกคนที่เดินผ่านไปมา
สวี่ชิงไม่สนใจทั้งสองคนและเดินเข้าไปในร้าน มองดูลี่ซิ่วเจินกับซุนเถียนที่ต่างพากันขมวดคิ้ว แล้วจึงเข้าไปสะกิดไหล่ซุนเถียน “มีอะไรเหรอ?”
ซุนเถียนถอนหายใจ “พี่ดูร้านเราสิ พอร้านแผงลอยมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้ คนอีกหลายคนก็พากันไปกินข้าวข้างนอก”
สวี่ชิงยิ้ม “ไม่ต้องห่วงไป เดี๋ยวก็แก้ไขได้”
ซุนเถียนยังคงเป็นกังวลมาก “จะแก้ไขยังไงคะ? อาหารของเมื่อวานกับเมื่อวานก่อนยังขายไม่หมดเลย เราหั่นพวกกะหล่ำปลีกับมันฝรั่งเอาไว้แล้วไม่ทอด มันจะดูไม่น่ากินเอานะ พี่เจิ้งหัวยังบอกให้ทิ้งเลย”
โชคดีที่อากาศเย็นลง จึงวางพวกเนื้อแช่แข็งทิ้งไว้ข้างนอกได้
เนื่องจากหู่จือไปทำงาน ผางเจิ้งหัวจึงต้องเข้าไปช่วยหลังครัวตลอดทั้งสองวันที่ผ่านมา และเขารีบออกมาตะโกนบอกซุนเถียนหลังจากเห็นสวี่ชิงเดินเข้ามา “เถียนเถียน พูดให้น้อย ๆ หน่อย พูดมากไปเดี๋ยวสวี่ชิงก็โกรธเอาหรอก”
ก่อนจะมองไปที่สวี่ชิงด้วยความรู้สึกผิด “ตอนที่เธอเซ็นสัญญากับฉันในตอนนั้น เธอไม่ได้เรียกร้องเงินรายเดือนอะไรเยอะแยะ แต่ตอนนี้เธอคงกังวลขึ้นมาแล้วสินะ”
สวี่ชิงแสร้งทำเป็นโกรธขณะชำเลืองมองผางเจิ้งหัว “ถ้านายพูดแบบนั้น นายก็คงจะถือว่าฉันเป็นคนนอกแล้วจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน ธุรกิจของเราเริ่มมาจากความพากเพียรอุตสาหะ ไม่ว่านายจะทำธุรกิจต่อไปหรือไม่ก็ตาม จะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้ไม่ได้”
ผางเจิ้งหัวยิ้มเหยเก “ฉันแค่รู้สึกแย่ที่เธอต้องไปเข้าเรียนทุกวัน เรียนเสร็จแล้วยังจะต้องถ่อมาถึงที่นี่อีก คงลำบากแย่ ฉันบอกซุนเถียนแล้วว่าต่อจากนี้ไปเราจะเตรียมของให้น้อยลง ถ้าพวกเขาเข้ามาสร้างปัญหาอีก เราจะเข้าไปแจ้งที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยของทางสถานี แต่ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขาจะคอยสร้างปัญหาไปได้ตลอดหรอก”
ทันทีที่เขาพูดจบ ชายหนึ่งในนั้นก็เดินเข้ามา เขาสวมใส่เสื้อสีขาวที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงว่าคนใจดำชอบปอกลอกคนอื่นเพื่อความร่ำรวยของตนเอง และคำอื่นที่เห็นได้บ่อย ๆ บนหนังสือพิมพ์ เพียงแวบแรกเขาดูเหมือนกับนักเคลื่อนไหวทางกิจกรรม
ชายร่างท้วมทำหน้านิ่งทันทีที่เห็นสวี่ชิง “คุณกะจะไม่จ่ายเงินสักเหมาเดียวให้พวกเราเลยเหรอ?”
สวี่ชิงยิ้ม “ถ้ามันสมเหตุสมผลฉันก็พอจะรับได้อยู่หรอกนะ จริงอยู่ที่มันเป็นความผิดพลาดของเรามาตั้งแต่ต้น ถึงอย่างนั้นก็ควรจ่ายค่าชดเชยตามความเหมาะสมสิ คุณจะมาฉวยโอกาสสร้างเงินสร้างทองแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน”
ชายร่างท้วมลูบแขนที่ได้รับบาดเจ็บ “ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะยกแขนด้วยซ้ำ ไม่รู้ต่อไปมันจะหายเป็นปกติหรือเปล่า แต่ในเมื่อคุณไม่สนใจ หวางเหวินหลงคนนี้ก็จะไม่ยอมปล่อยเรื่องไปแน่นอน”
สีหน้าของสวี่ชิงดูเย็นชาขึ้น “ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย สุดท้ายศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าเราจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ถึงตอนนั้นฉันจะให้ค่าเงินพวกคุณไม่ให้ขาดแม้แต่เหมาเดียว”
ก่อนจะมองไปที่ผางเจิ้งหัว “ไปแจ้งตำรวจ”
ผางเจิ้งหัวมองดูสวี่ชิงด้วยความลำบากใจ ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาพยายามติดต่อหาตำรวจถึงสามสี่ครั้ง และตำรวจจะมาพูดให้ความรู้ทุกครั้งที่มาที่นี่
ให้คนทั้งสองฝ่ายนั่งลงและหารืออย่างรอบคอบ เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดไปจากปกติ
หวางเหวินหลงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เรียกตำรวจอีกแล้ว คุณคิดว่าเรียกตำรวจมาแล้วพวกคุณจะได้รับความเป็นธรรมเหรอ? แขนผม กับหัวไหล่เพื่อนร่วมงานได้รับบาดเจ็บในร้านค้าของคุณ ถ้าคุณไม่สนใจ คืนนี้พวกเราจะเขยิบเข้าไปในร้าน”
ผางเจิ้งหัวส่ายหัวขณะมองไปที่สวี่ชิง หมายความว่าการเรียกตำรวจนั้นเปล่าประโยชน์
สวี่ชิงรู้ดีว่าหลังจากเรียกตำรวจมาแล้ว เธอเองจะต้องโต้เถียงไม่หยุด ทว่ามันกลับค่อนข้างน่ารำคาญหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
ก่อนจะจ้องไปที่หวางเหวินหลงด้วยสายตาเย็นชา “คุณจะพูดกันดี ๆ ไม่ได้ใช่ไหม?”
หวางเหวินหลงยิ้ม “ไม่ใช่ว่าผมพูดดี ๆ ไม่ได้ แต่พวกคุณนั่นแหละที่ไม่คอยพูดดี ๆ กัน ถ้าคุณยอมรับเงื่อนไขที่พวกผมเสนอให้ ผมจะรีบออกจากที่นี่ไปทันที พวกเรายังต้องไปทำงานทำการกัน วันเวลาที่เสียไปล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น คุณคดว่าพวกผมอยากจะต่อล้อต่อเถียงกับพวกคุณนักหรือไง?”
สวี่ชิงพูดแทรกขึ้น “เอาล่ะ ฉันรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร เชิญพวกคุณสร้างปัญหาต่อไปได้เลย แล้วฉันจะบอกอะไรพวกคุณให้นะ ตราบใดที่คำขอของพวกคุณมันสมเหตุสมผล ฉันก็จะเห็นด้วยแน่นอน แต่นี่คุณดื้อดึงมาก ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จะปิดร้านซะ!”
เธอหันกลับมามองผางเจิ้งหัว และพูดเสียงกระแทกว่า “ปิดร้านทั้งหมด ช่วงนี้ปิดไปเลย”
เธอพูดและขยิบตาให้ผางเจิ้งหัว เพื่อส่งสัญญาณให้เขาร่วมมือกับเธอ
ผางเจิ้งหัวพยักหน้าทันที “ได้ ส่วนวัตถุดิบที่เหลือจากวันนี้ ฉันจะเอาไปแจกจ่ายให้พวกเพื่อนบ้านในละแวก”
สวี่ชิงไม่สนใจสีหน้าโกรธจัดของหวางเหวินหลง พูดคุยผางเจิ้งหัวและออกไปหาวิธีการ
เดิมทีแค่สงสัยว่ามีใครบางคนกำลังกลั่นแกล้งพวกเขา ทว่าตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามีคนแอบคิดร้าย และติดสินบนชายสองคนนี้ให้มาทำการแสดงดังกล่าว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวตนของชายสองคนนี้จะเหมือนอย่างที่พวกเขาบอกจริง ๆ หรือเปล่า?
สวี่ชิงคิดไตร่ตรอง และต้องการไปตามหาโจวจินหนาน พวกเขาน่าจะมีวิธีการค้นตัวตนของทั้งสองคนได้อย่างรวดเร็ว
เธอไปหาโจวจินหนานที่สำนัก และเหยียนจี้ชวนก็อยู่ที่นั่นด้วย
โจวจินหนานแปลกใจที่จู่ ๆ สวี่ชิงก็เข้ามาหาเขา เอาเอกสารยัดใส่ลงไปในลิ้นชักและลุกขึ้นยืน “ทำไมจู่ ๆ ถึงแวะมาที่นี่ล่ะ?”
สวี่ชิงยืนยิ้มอยู่หน้าประตูและไม่ทีท่าว่าจะเดินเข้าไป เพราะบนโต๊ะของโจวจินหนานอาจจะมีกองเอกสารบางอย่างที่เธอไม่สามารถรับรู้ได้ “ฉันมีเรื่องจะถามคุณ ออกมาคุยกันหน่อยสิคะ”
โจวจินหนานเดินตามออกไป “มีอะไรอีกที่ผมยังไม่รู้? ไปเถอะ ผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไปนั่งคุยกันตอนกินข้าวดีกว่า”
เขามองดูท่าทางลังเลของสวี่ชิง และรับรู้ได้ว่าปัญหาที่สถานียังไม่ได้รับการแก้ไข
โรงอาหารอยู่เลยร้านอาหารไปหน่อย เนื่องจากผู้คนในหน่วยงานมีเวลารับประทานอาหารที่ไม่แน่นอน ทางโรงอาหารจึงยังมีอาหารอยู่
โจวจินหนานกับเหยียนจี้ชวนสั่งอาหารมาสามอย่างและกลับมานั่งลง
สวี่ชิงมองดูชามข้าวใบใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้านบนมีผักกาดขาวนึ่ง วุ้นเส้นและหมูตุ๋นผัดซอสแดง ก่อนจะพูดติดตลกว่า “อาหารในหน่วยพี่ก็ดูใช้ได้นะ แต่ให้หมูตุ๋นมาเยอะมาก”
เหยียนจี้ชวนเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเธอ “เอาล่ะ อย่าฝืนยิ้มนักเลย มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
โจวจินหนานจ้องเขม็งไปทางเหยียนจี้ชวน และส่งตะเกียบให้สวี่ชิง “กินก่อนเถอะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยู่ที่นี่แล้วไม่เป็นอะไรหรอก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครกันนะที่คอยขัดแข้งขัดขา มาสร้างความรำคาญไม่หยุดอยู่ในเงามืดแบบนี้ ขอให้เจอตัวการเร็วๆ เถอะ
ไหหม่า(海馬)